ประโยคที่ว่า ‘เช่นนั้นก็ให้เขากลับมา จะได้ให้เขาเจอฉินอี๋เหนียงอีกสักครั้ง’ ทำให้สืออีเหนียงรู้สึกใจหาย
นางอดไม่ได้ที่จะพูดเบาๆ ว่า “ท่านโหว” และเมื่อนางหันไปมอง ก็เห็นสีหน้าที่นิ่งเรียบของสวีลิ่งอี๋ แต่มือที่วางอยู่บนเข่าของเขากลับกำลังกำแน่น
หากพูดต่อคงไม่ดี
สืออีเหนียงจึงเปลี่ยนเรื่อง “หลังจากที่ท่านออกไป อี้อี๋เหนียงก็เอะอะโวยวายจะเจอท่านให้ได้” นางเล่าเหตุการณ์ตอนนั้นให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มอย่างเย็นชา “ก็คงจะแก้ตัว แต่ไม่ว่าจะพูดอะไร นางก็เป็นคนพาแม่เฒ่าจูเข้ามา แค่นี้ก็ผิดมากพอแล้ว พูดอะไรอีกก็ไม่มีประโยชน์!” เขาพูดต่ออีกว่า “หากไม่ใช่เพราะข้าอยากให้นางช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคน ข้าคงจะจัดการนางไปตั้งนานแล้ว ยังจะรอจนวันนี้เช่นนั้นหรือ! อี๋เหนียงบ้าที่ก่อเรื่อง ยังดีกว่ามีเรื่องทำพิธีสาปแช่งเกิดขึ้นที่จวน” พูดจบ สีหน้าของเขาก็มีความลังเล
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็พูดเบาๆ “ท่านโหวมีอะไรลำบากใจหรือไม่เจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิด จากนั้นก็พูดเบาๆ “พรุ่งนี้เช้า เจ้ากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปเจอกับบรรดาอี๋เหนียง พวกนางคงจะมาคารวะเจ้า ไถ่ถามถึงสถานการณ์ของจุนเกอ เจ้าควรจะหาอะไรให้บรรดาอี๋เหนียงทำ อย่าให้พวกนางก่อเรื่องไปทั่ว”
เช่นนี้ก็จะได้ไม่ต้องเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
“ท่านโหวไม่ต้องเป็นห่วง” นางพูดเบาๆ “ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า
สืออีเหนียงเข้าใจความคิดของเขาตลอด หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ลากนางเข้ามาเกี่ยวข้อง หากไม่ใช่เพราะตอนนี้นางกำลังตั้งครรภ์ เรื่องบางเรื่อง เขาคงจะให้นางเป็นคนจัดการเอง
“สำหรับฉินอี๋เหนียง” สวีลิ่งอี๋พูดเสียงเบา “นางเคยทำอะไรนั้นนางรู้ดีอยู่แก่ใจ นางอยู่กับข้ามาตั้งหลายปี นิสัยของข้า นางก็พอจะเดาออก หากข้าตำหนินางสองสามประโยค เมื่อใจเย็นลงแล้ว เรื่องที่เกิดก็ถือว่าจบลงแล้ว แต่หากข้าไม่พูดอะไรเลย เกรงว่าเรื่องนี้คงจะไม่จบลงง่ายดายขนาดนั้น แต่ที่ผ่านมาข้าเห็นแก่หน้าของสวีซื่ออวี้ ยอมอดทนอดกลั้นต่อนาง เกรงว่าในใจของนางคงจะยังอาลัยอาวรณ์ เช่นนี้ไม่สนใจนางแค่วันเดียวยังพอไหว แต่หากไม่สนใจนางนานๆ ภายใต้สถานการณ์คับขัน เกรงว่านางจะก่อเรื่องขึ้นมาอีก” เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง “ตอนนี้ในจวนล้วนแต่ลือว่า คนที่รังแกจุนเกอคืออี้อี๋เหนียง หากเราส่งคนไปจับตาดูนาง มันจะสะดุดตาเกินไป ข้าคิดว่า หากเจ้าเจอกับนาง หาข้ออ้างเรื่องที่นางสนิทสนมกับอี้อี๋เหนียงแล้วตำหนินางว่าคบสหายไม่รอบคอบ…คนเราก็เป็นเช่นนี้ คิดว่ามีโอกาสรอดก็จะไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ รอดูนางสักสองสามวัน รอให้เรื่องนี้เงียบไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เขาพูดต่ออีกว่า “นางมีสาวใช้ที่ชื่อว่าชุ่ยเอ๋อร์ใช่หรือไม่ เจ้าส่งคนไปบอกสาวใช้คนนั้นเถิดว่าหลังจากจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว ข้าจะส่งครอบครัวของนางไปยังเจียงหนาน”
พูดเช่นนี้ หมายความว่าจะให้ชุ่ยเอ๋อร์อยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว
สืออีเหนียงพูดอย่างเคร่งขรึม “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะจัดการเองเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็ถามถึงเรื่องของหู่พั่ว “…กำหนดไว้เมื่อไร?”
สืออีเหนียงขนลุกชัน
หู่พั่วคือหนึ่งในคนที่รู้เรื่อง หรือว่าหู่พั่วก็…
“ท่านโหวมีอะไรหรือเจ้าคะ” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่เจือความหวาดระแวง
สวีลิ่งอี๋กำลังครุ่นคิดจึงไม่ทันสังเกตเห็นท่าทางของนาง พูดเบาๆ “ให้หู่พั่วแต่งงานเร็วๆ เถิด แล้วยังมีชิวหง เมื่อนางแต่งออกไปแล้ว เยี่ยนหรงและลี่ว์อวิ๋นก็จะได้แต่งออกไป ถึงตอนนั้น คนของเจ้าก็ควรเปลี่ยนได้แล้ว!”
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
โชคดีที่เยี่ยนหรงหมั้นกับเฉาอานไว้แล้ว ถึงตอนนั้นบอกให้สกุลเฉามาสู่ขอเร็วหน่อย ก็ไม่ถือว่ากะทันหันเกินไป
นางพยักหน้า “ข้าจะจัดการเรื่องแต่งงานภายในสองวันนี้เจ้าค่ะ”
ขณะที่นางพูด หู่พั่วก็เปิดม่านแล้วรายงานเสียงเบา “ท่านโหว ฮูหยินเจ้าคะ บ่าวตักน้ำล้างหน้ามาแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงไม่รู้ว่าสวีลิ่งอี๋พูดจบแล้วหรือยังจึงเหลือบมองเขา เมื่อเห็นสวีลิ่งอี๋พยักหน้าให้เบาๆ สืออีเหนียงจึงบอกให้หู่พั่วเข้ามา
ล้างมือล้างหน้าที่นี่แล้ว สวีลิ่งอี๋ก็ไปหาสวีซื่อจุน สืออีเหนียงเดินตามออกไป
สวีซื่อจุนหลับไปแล้ว ในห้องไม่ได้จุดเครื่องหอมกล่อมนอน แม่นมคอยเฝ้าสวีซื่อจุนอยู่ข้างเตียง ไท่ฮูหยินกับฮูหยินสองกำลังนั่งคุยกันเสียงเบาบนเก้าอี้ไท่ซือข้างๆ
เห็นสวีลิ่งอี๋เข้ามา ฮูหยินสองก็รีบลุกขึ้นยืน
“จุนเกอไม่เป็นอะไรแล้ว!” ไท่ฮูหยินพูด “ยามบ่ายนอนหลับไปอย่างสงบ”
สวีลิ่งอี๋ตอบเพียง “ขอรับ” จากนั้นก็เดินไปหาสวีซื่อจุนที่เตียงเตาด้วยสายตาที่เจือความเศร้าโศก
“ในเมื่อจุนเกอเจอเรื่องร้ายเหมือนที่นักพรตฉังชุนพูด ข้าคิดว่า ไม่สู้เชิญนักพรตฉังชุนมาทำพิธีที่จวนดีกว่า!”
ทุกคนในห้องได้ฟังก็ตกใจ ฮูหยินสองเอ่ยเห็นด้วย “เป็นความคิดที่ดีเจ้าค่ะท่านโหว! ข้าคิดว่าเราจะล่าช้าไม่ได้ พรุ่งนี้เช้าก็ไปเชิญนักพรตฉังชุนมาทำพิธีเถิด” จากนั้นก็พูดกับไท่ฮูหยิน “ท่านแม่ ท่านคิดว่าเราควรจะไปไหว้พระโพธิสัตว์ที่วัดหรือไม่เจ้าคะ”
“ไปสิ” คำพูดของฮูหยินสองเตือนไท่ฮูหยิน “ทำไมจะไม่ไปเล่า! ไม่เพียงแค่ต้องไปเท่านั้น แต่ยังต้องไปอย่างเงียบๆ!”
*****
เช้าวันต่อมา สวีลิ่งอี๋ส่งผู้ดูแลจ้าวไปรับสวีซื่ออวี้กลับมาจากเล่ออาน จากนั้นก็ไปลานข้างนอก ไปปรึกษากับพ่อบ้านไป๋ว่าจะเชิญนักพรตฉังชุนเช่นไร วางแผนจัดการส่งคนนำไท่ฮูหยิน ฮูหยินสองและคนอื่นๆ ไปจุดธูปที่วัดฉือหยวน ส่วนสืออีเหนียงก็กลับไปยังเรือนของตัวเอง
หู่พั่วรับใช้นางเปลี่ยนเสื้อผ้า นางถือโอกาสนี้กระซิบบอก “เมื่อวานตอนเที่ยง บ่าวส่งสาวใช้ไปดูการเคลื่อนไหวที่เรือนของอี้อี๋เหนียง สุดท้ายเห็นว่าบรรดาสาวใช้และท่านป้าของครอบครัวคุณชายสามหายไปหมดแล้วเจ้าค่ะ”
“หายไปหมด?” สืออีเหนียงพลันตัวแข็งทื่อ
หู่พั่วพยักหน้า
*****
เหวินอี๋เหนียงคอยสังเกตสถานการณ์อยู่ตลอด ได้ยินว่าสืออีเหนียงกลับมาแล้ว นางก็มาคารวะสืออีเหนียงเป็นคนแรก
“คุณชายน้อยสี่เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
สืออีเหนียงก็ไม่ปิดบังนาง “ยังนอนหลับอยู่ แต่ไม่ต้องจุดเครื่องหอมกล่อมนอนแล้ว อาการค่อยๆ ดีขึ้น”
เหวินอี๋เหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
สืออีเหนียงถือโอกาสนี้ปรึกษาเรื่องชิวหงกับนาง “ข้าคิดว่า หากอีกสองสามวันจุนเกอยังไม่ดีขึ้น ไม่สู้จัดงานมงคลสักสองสามงาน เรือนของเจ้าก็จะได้รับคนเข้ามาเพิ่มสองสามคน”
เหวินอี๋เหนียงคือคนที่รู้เรื่องดีที่สุด ได้ยินเช่นนี้นางก็พยักหน้า “ข้าจะไปปรึกษากับทางนั้นประเดี๋ยวนี้ แล้วมารายงานให้ฮูหยินฟังยามบ่าย”
พวกนางสองคนพูดคุยรายละเอียดกันอีกนิดหน่อย จากนั้นหยางอี๋เหนียงและเฉียวอี๋เหนียงก็มาพอดี
เมื่อรู้ว่าสถานการณ์ของจุนเกอยังน่าเป็นห่วง หยางอี๋เหนียงก็ซับน้ำตา “คนจิตใจดีอย่างคุณชายน้อยสี่ เหตุใดถึงเจอเรื่องเช่นนี้ได้”
เฉียวเหลียนฝังไม่พูดไม่จา นั่งดื่มชาอยู่ข้างๆ
ฉินอี๋เหนียงเดินเข้ามาอย่างสั่นเทา
สืออีเหนียงจึงเล่าเรื่องที่สวีซื่อจุนยังไม่สบายให้นางฟัง “…ไท่ฮูหยินแก่แล้ว สองสามวันนี้ข้าคงต้องอยู่ดูแลจุนเกอที่เรือนของไท่ฮูหยิน หากมีเรื่องอันใด พวกเจ้าก็ถามเหวินอี๋เหนียงเถิด!”
อี๋เหนียงสองสามคนหันมามองหน้ากัน จู่ๆ เหวินอี๋เหนียงก็ได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญเช่นนี้ นางจึงตกใจ “ฮูหยินเจ้าคะ…”
สืออีเหนียงใช้สายตาห้ามปรามนางเอาไว้
เหวินอี๋เหนียงจึงเงียบเสียงไป
ตอนที่ตนอยู่ที่เรือนสืออีเหนียงก็เคยสอนตนดูแลจวน ช่วยสืออีเหนียงดูแลเพียงสองสามวัน ตัวเองจะทำไม่ได้เช่นนั้นหรือ
ความคิดนี้ผุดขึ้นมา นางก็ลุกยืนขึ้นแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” อย่างนอบน้อม
ฉินอี๋เหนียงรู้สึกผิด นางนั่งอยู่ข้างๆ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ เฉียวเหลียนฝังไม่สนใจอะไร หยางอี๋เหนียงถือโอกาสตอนที่สืออีเหนียงก้มหน้าจิบชาส่งยิ้มให้เหวินอี๋เหนียง
สืออีเหนียงบอกให้ฉินอี๋เหนียงอยู่คุยเป็นเพื่อน
“ได้ยินว่าเจ้าไม่สบาย อยากเจอคุณชายน้อยสองหรือ”
ฉินอี๋เหนียงสวมเสื้อกั๊กยาวสีแดง ใบหน้าซีดเซียวและแปะแผ่นยาตรงขมับซ้ายและขวาเหมือนที่จู๋เซียงบอก สายตามืดมนห่อเหี่ยวราวกับมะเขือม่วง ไม่มีความสุขุมเหมือนเมื่อก่อนเลยแม้แต่น้อย ได้ยินเช่นนี้นางก็สะบัดมือ “ไม่ ไม่ ไม่” ทันทีที่พูดออกมา ก็รู้สึกว่าตัวเองพูดผิด จึงรีบเปลี่ยนเป็นพยักหน้า “เพียงปวดหัวนิดหน่อย แปะแผ่นยาสักประเดี๋ยวก็ดีขึ้นเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็มืดมนลง “ประเดี๋ยวก็เป็น ประเดี๋ยวก็ไม่เป็น เจ้าไม่สบายจริงหรือไม่”
คำถามที่เค้นถามเอาคำตอบเช่นนี้ ฉินอี๋เหนียงได้ยินออกมาจากปากของสืออีเหนียงเป็นครั้งแรก รวมถึงเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้ นางจึงตอบอย่างตื่นตระหนกว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงไม่สนใจนาง หันไปบอกหู่พั่ว “ไปนำป้ายชื่อของข้าไปให้ผู้ดูแลลานข้างนอกเชิญท่านหมอมาดูฉินอี๋เหนียง” จากนั้นก็พูดว่า “หากไม่สบายก็ต้องทานยา จะแปะแผ่นยาไปทั่วเหมือนสตรีไม่มีความรู้ทั่วไปได้อย่างไร!”
ฉินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็หน้าแดง นางพูดเบาๆ “ฮูหยิน คุณชายน้อยสี่ยังไม่สบาย หากข้ายังอยากจะไปหาท่านหมออีก ก็จะยิ่งสร้างปัญหาให้ครอบครัว ข้าจึงแปะแผ่นยาให้ตัวเองก็พอ ไม่ต้องเชิญท่านหมอมาดูข้าหรอกเจ้าค่ะ!”
“ในเมื่อรู้ว่าที่จวนกำลังมีเรื่องวุ่นวาย ก็ควรที่จะเชิญท่านหมอมาดู” สีหน้าของสืออีเหนียงไม่ได้ดีขึ้นเพราะคำพูดของนาง ตรงกันข้าม สีหน้าของสืออีเหนียงกลับเคร่งขรึมขึ้น “เจ้ากับอี้อี๋เหนียง ความสัมพันธ์เป็นอย่างไรกันแน่”
ฉินอี๋เหนียงราวกับกระต่ายขาวตัวเล็กที่ตกใจกลัว สายตาของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว พูดจาติดๆ ขัดๆ “ไม่รู้ว่าฮูหยินถามถึงเรื่องอันใดกันเจ้าคะ”
“บอกว่านางสนิทกับเจ้ามากที่สุดไม่ใช่หรือ” สืออีเหนียงพูด “นางสติสตังไม่ดี เดินเล่นในลานกลางค่ำกลางคืน ทำให้จุนเกอตกใจ เจ้าสนิทกับนาง หรือว่าอี้อี๋เหนียงไม่เคยเผยท่าทีอะไรที่ผิดปกติเลยหรือ”
ฉินอี๋เหนียงได้ยินแล้ว ท่าทางก็ยิ่งอ่อนยวบโอนเอนราวกับต้นถั่วเขียวอ่อน รีบเอ่ยปากบอก “ฮูหยินเจ้าคะ ถึงแม้ว่าข้าจะสนิทกับอี้อี๋เหนียง แต่ก็ไปมาหาสู่กันแค่เรื่องเย็บปักถักร้อย ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันมากกว่านี้ ฮูหยินโปรดตรวจสอบให้ชัดเจนเถิด”
สืออีเหนียงเห็นว่าเป้าหมายสำเร็จแล้ว นางก็ถือถ้วยชาขึ้นมาจิบ “ตอนนี้อี้อี๋เหนียงถูกกักตัวอยู่ในเรือน รอจดหมายของคุณชายสามมาถึง ช่วงนี้เจ้าก็อยู่แต่ที่เรือน อย่าออกไปไหน ทำให้คุณชายน้อยสองเสียหน้า…”
นางยังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นม่านขยับเบาๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่เป็นกังวลของจู๋เซียง
สืออีเหนียงนิ่งสงบ นางกำชับฉินอี๋เหนียงอีกสองสามประโยค จากนั้นก็บอกให้ฉินอี๋เหนียงออกไป
จู๋เซียงเข้ามากระซิบ “ฮูหยินเจ้าคะ ป้าเถามาเจ้าค่ะ!”
ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นจนถึงตอนนี้ เวลาผ่านไปแค่หนึ่งวันสองคืนเท่านั้น ป้าเถามาถึงเร็วขนาดนี้
“นางล่ะ?” นางพูดอย่างเย็นชา
“ข้างนอกมีข่าวลือแค่ว่าคุณชายน้อยสี่ไม่สบายเจ้าค่ะ” จู๋เซียงพูด “นางรีบกลับมา พูดจาคลุมเครือสองสามประโยค คนที่เฝ้าประตูเห็นว่าแม่นมของคุณชายน้อยสี่เข้ามาที่จวนเมื่อเช้าวานนี้ วันนี้ตอนเช้าท่านโหวก็บอกว่าจะเชิญนักพรตฉังชุนมาทำพิธี ไท่ฮูหยินจะไปขอพรให้คุณชายน้อยสี่ที่วัดด้วยตัวเอง คิดว่าคุณชายน้อยสี่ป่วยหนัก นึกว่าท่านโหวเรียกป้าเถาเข้ามา จึงปล่อยนางเข้ามา ตอนนี้กำลังไปที่เรือนของไท่ฮูหยินเจ้าค่ะ…”
สืออีเหนียงได้ฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว
จู๋เซียงเอ่ยถามว่า “ฮูหยิน ท่านจะออกไปดูหรือไม่เจ้าคะ”