ตั้งแต่สืออีเหนียงถูกสวีซื่อจุนเตะใส่ นางก็เริ่มรักษาระยะห่างจากคนอื่น เมื่อป้าเถาพุ่งเข้ามาหานางด้วยใบหน้าอันน่าหวาดกลัวราวกับผีร้าย ถึงแม้ว่านางจะตกใจ แต่นางก็ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว และระยะห่างสองสามก้าวก็ช่วยยื้อเวลาให้กับนาง นึกถึงเก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ข้างหลัง นางรีบหย่อนกายนั่งลงไปทันที
ป้าเถาพุ่งใส่อากาศ
สืออีเหนียงวิ่งหนี แต่กลับลืมไปว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว นางจึงรีบนั่งยองๆ ลงบนพื้น
ป้าเถาโน้มตัวลงไปจับไหล่ของนาง
สืออีเหนียงตะโกนเบาๆ ยกขาขึ้นกำลังจะเตะป้าเถาอย่างแรง
แต่ใครจะรู้ว่าจู่ๆ ก็เสียง ปัง! เครื่องลายครามกระทบลงบนหัวของป้าเถา นางตาเหลือกทั้งสองข้าง ก่อนที่จะทรุดตัวลงช้าๆ
สืออีเหนียงเห็นฮูหยินสองที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสน มือถือแจกันที่แตกจนเหลือครึ่งหนึ่ง
นางตกใจ
ฮูหยินสองรีบโยนแจกันทิ้งแล้วพูดเบาๆ “ข้า ข้าทำเช่นนี้ครั้งแรก…”
ผู้หญิงสมัยโบราณไม่ก้าวขาออกจากประตูบ้าน ประสบการณ์น้อย ฮูหยินสองเติบโตมาในสกุลนักปราชญ์ ให้ความสนใจกับคำพูดที่ว่า ‘คนมีความรู้ใช้สมอง คนต่ำต้อยใช้กำลัง’ นางคงจะเหมือนตน ไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ข้าก็เช่นกันเจ้าค่ะ”
ทันใดนั้น พวกนางก็มองหน้ากัน ไม่รู้ว่าทำไม กลับเกิดความรู้สึกเข้าใจกันและกัน ราวกับเห็นนิสัยที่แท้จริงของกันและกันที่ปกติไม่เคยมองเห็น
บรรยากาศในห้องพลันเงียบสงัด
ไท่ฮูหยินเดินเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก
“สืออีเหนียง สืออีเหนียง เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง เจ็บตรงไหนหรือไม่” พูดด้วยสีหน้าที่ซีดขาวพลางนั่งลงไปประคองสืออีเหนียง
สืออีเหนียงได้สติกลับมา นางนั่งเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้สึกผิดปกติอะไร จากนั้นก็ออกแรงลุกขึ้นยืน “ดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ”
“เชิญท่านหมอมาดูดีกว่า!” ระหว่างที่นางพูด ฮูหยินสองก็กลับมามีท่าทีสุขุมเหมือนเดิมแล้ว นางตำหนิแม่นมเบาๆ “ยืนเฉยอยู่ที่นั่นทำไม ป้าเถาเสียใจจนหมดสติไป ยังไม่ไปเรียกเจี๋ยเซียงและจู๋เซียงเข้ามา จะได้มีคนคอยรับใช้”
แม่นมจึงได้สติกลับมาอีกครั้ง นางตอบรับ “เจ้าค่ะ” พร้อมกับออกไปเรียกเจี๋ยเซียงและจู๋เซียงเข้ามา กลัวว่าเรื่องนี้จะแพร่กระจายออกไป นางรีบเดินเข้าไปข้างในก่อนที่เจี๋ยเซียงและจู๋เซียงจะเข้ามา เห็นสืออีเหนียงและไท่ฮูหยินนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ ฮูหยินสองยืนอยู่ข้างไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินตบหน้าอกตัวเองเบาๆ แล้วพูดว่า “…ข้าอายุเยอะขนาดนี้ พึ่งเคยเจอคนที่กล้าทำอะไรเช่นนี้ต่อหน้าข้า” นางจึงรีบไปรินชาให้ไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินรับถ้วยชามายื่นให้สืออีเหนียง “มา จิบชาให้ใจเย็นก่อน” จากนั้นก็พูดด้วยความเป็นห่วง “เมื่อครู่คงจะตกใจมากใช่หรือไม่”
สืออีเหนียงพยักหน้าแล้วจิบชา รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย
เจี๋ยเซียงและจู๋เซียงก็เข้ามา
ทันทีที่พวกนางเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าก็อดหันไปมองหน้ากันไม่ได้
ถึงแม้ว่าคนหนึ่งจะเป็นสาวใช้ของตัวเอง อีกคนหนึ่งเป็นสาวใช้ของสืออีเหนียง แต่ฮูหยินสองก็เลือกที่จะไม่อธิบายอะไรทั้งนั้น บอกแค่ให้เจี๋ยเซียงทำความสะอาด ให้จู๋เซียงไปเรียกคนมาช่วยแบกป้าเถาออกไป “…ร้องไห้จนเป็นลมไป เจ้าไปบอกผู้ดูแลลานข้างนอกเถิด บอกให้เขาเชิญท่านหมอมาดูนาง แล้วก็มาดูคุณชายน้อยสี่ แล้วเหตุใดท่านหมอหลิวถึงยังไม่มา!”
ข้ออ้าง การจัดการ ล้วนแต่คิดเอาไว้หมดแล้ว
โชคดีที่จู๋เซียงเป็นคนฉลาด นางเข้าใจความหมายของฮูหยินสองทันที
นางมองไปยังสืออีเหนียง เมื่อสืออีเหนียงบอกนาง “เจ้าไปเถิด” นางก็รีบออกไปทันที
ฮูหยินสองเห็นเช่นนี้ก็พยักหน้าเบาๆ คิดว่าสาวใช้คนนี้ไม่เลวเลยทีเดียว
เจี๋ยเซียงและแม่นมรีบทำความสะอาดแจกันที่แตกอยู่บนพื้น
ฮูหยินสองบอกแม่นม “เจ้าไม่ต้องทำความสะอาด ช่วยดูแลป้าเถาก็พอแล้ว”
แม่นมไม่กล้าขัดคำสั่ง นางจึงรีบไปเฝ้าป้าเถา
สวีซื่อจุนที่นอนอยู่บนเตียงเตาส่งเสียงร้องออกมา
ไท่ฮูหยิน ฮูหยินสองและสืออีเหนียงได้ยินก็รีบเดินเข้าไปหาเขา ไท่ฮูหยินอุ้มสวีซื่อจุนมากอดไว้ในอ้อมแขน “จุนเกอ จุนเกอ ท่านย่าอยู่นี่ไง!”
สวีซื่อจุนลืมตาขึ้น
สายตาที่สดใสของเขาตอนนี้กลับหม่นหมอง เขาจ้องมองพวกนางด้วยสีหน้าที่ไม่คุ้นเคย
ไท่ฮูหยินรู้สึกขมขื่น
เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ได้สติกลับมา
แม่นมได้ยินเช่นนี้ก็เป็นห่วง อยากเดินเข้าไปดูแต่ก็ไม่กล้า นางจึงเขย่งเท้ามองออกไป
จู่ๆ ป้าเถาที่นอนอยู่บนพื้นก็ส่งเสียงคร่ำครวญออกมา
แม่นมตกใจ นางไม่สนใจอะไรทั้งนั้น รีบพูดว่า “ไท่ฮูหยินเจ้าคะ ป้าเถาฟื้นแล้วเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินและคนอื่นๆ ต่างก็มองมา
ฮูหยินสองเห็นว่าคนหนึ่งอุ้มสวีซื่อจุน ส่วนอีกคนหนึ่งกำลังตั้งครรภ์ นางจึงกัดฟันพูดว่า “ไม่เป็นอะไร มีข้าอยู่!” พูดจบก็มองไปรอบๆ แล้วหยุดมองไปยังแจกันดอกไม้สีฟ้าที่วางอยู่ข้างโต๊ะเตียงเตา
นางสงบสติอารมณ์ลง จากนั้นก็เดินไปหยิบแจกันดอกไม้ด้วยความลังเล
สวีซื่อจุนที่งงงวยตะโกนเรียก “ป้าเถา” แล้วพูดเบาๆ ว่า “…มีผี! มีผี!”
ไท่ฮูหยินและฮูหยินสองได้ยินเช่นนี้ก็มองหน้ากัน ไท่ฮูหยินรีบปลอบใจสวีซื่อจุน “ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว!”
ฮูหยินสองเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล นางหลับตาลงแล้วใช้แจกันทุบป้าเถาอีกครั้ง
นิ้วของป้าเถาขยับสองสามครั้ง จากนั้นนางก็สลบไป
เจี๋ยเซียงกำลังยุ่งอยู่กับการทำความสะอาด
สวีซื่อจุนตกใจกับเสียงแจกันแตก ตัวเขากระตุกสองครั้ง ดวงตาก็ค่อยๆ กลับมาดูสติ
“จุนเกอ…” ไท่ฮูหยินที่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนั้นดีใจเป็นอย่างมาก นางรีบเรียกฮูหยินสองและสืออีเหนียง “พวกเจ้ามานี่เร็ว! จุนเกอฟื้นแล้วใช่หรือไม่”
พวกนางเดินเข้ามา เห็นภาพเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะมีความคาดหวังในใจ
เสียงของจู๋เซียงดังขึ้นผ่านผ้าม่าน “ไท่ฮูหยิน ฮูหยินสอง ฮูหยินสี่เจ้าคะ ป้าซ่งมาแล้วเจ้าค่ะ”
ความดีใจที่สวีซื่อจุนฟื้นแล้วจางหายไปทันที
สืออีเหนียงบอกให้ป้าซ่งเข้ามา ป้าซ่งพาป้ารับใช้สองคนมาแบกป้าเถาออกไป ท่านหมอที่พ่อบ้านไป๋เชิญมาก็มาถึงพอดี จับชีพจร สั่งยาระงับประสาทให้นาง ป้าซ่งก็บอกให้ป้ารับใช้สองคนนั้นไปรับยา ส่วนตัวเองเฝ้าป้าเถาอยู่ข้างๆ
มีเสียงร้องไห้ของสวีซื่อจุนดังออกมาจากข้างใน เขากอดไท่ฮูหยินแน่น “ท่านย่า ท่านย่าขอรับ ข้ากลัวเหลือเกินขอรับ ข้าเจอผี!”
“เหลวไหล!” ไท่ฮูหยินทั้งตกใจและดีใจ นางกอดสวีซื่อจุนแล้วพูดว่า “คืออี้อี๋เหนียง นางนอนไม่หลับจึงออกมาเดินเล่น ไม่ใช่ผีเสียหน่อย ท่านป้าที่เฝ้าประตูก็เห็นแล้ว!”
สวีซื่อจุนมองไปที่ไท่ฮูหยินทั้งน้ำตา “จริง จริงหรือขอรับ” เขาทำสีหน้าสับสน “แต่ข้า แต่ข้าเห็นลิ้นยาวๆ… “
“เจ้านะเจ้า!” ไท่ฮูหยินยิ้มอย่างรักใคร่เอ็นดูแต่กลับมีความเอือมระอา “แอบออกไปข้างนอกไม่บอกย่ากับป้าตู้ กลัวแล้วยังขี้ขลาด ได้ยินเสียงอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ตื่นตระหนก เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้านอนหลับไปกี่วัน สองวันสองคืนเต็มๆ ทำเอาย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ ป้าสอง อาห้าและอาหญิงห้าตกใจกันหมด!”
สวีซื่อจุนยังคงหวาดกลัวอยู่ รู้สึกว่าสิ่งที่ตนเห็นตอนนั้นไม่ใช่แบบนี้ เมื่อได้ยินเช่นนี้เขาเลยไม่เชื่อ แต่กลับไม่กล้าเอ่ยปากถาม พูดเบาๆ “เช่นนั้น เช่นนั้นฉาเซียงล่ะขอรับ…”
“เจ้ายังรู้จักเป็นห่วงฉาเซียง!” ไท่ฮูหยินทำสีหน้ามืดมน “กลางค่ำกลางคืน นางยังพาเจ้าออกไปข้างนอก ข้าลงโทษนางให้ไปโรงซักล้างแล้ว”
ในความทรงจำของสวีซื่อจุน ไท่ฮูหยินไม่เคยลงโทษใคร เขารู้ว่าครั้งนี้ท่านย่าโมโหจริงๆ จึงคิดว่าต่อไปหากมีโอกาสค่อยพูดขอร้องให้ยกโทษให้ฉาเซียง เขาก้มหน้าลงแล้วไม่กล้าพูดอะไรอีก
ฮูหยินสองเห็นเช่นนี้ก็กอบกู้สถานการณ์ “จุนเกอพึ่งจะฟื้น ท่านแม่มีอะไร ประเดี๋ยวค่อยพูดเถิดเจ้าค่ะ” จากนั้นก็พูดอีกว่า “จุนเกอนอนลงเถิด ประเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา เรื่องนี้ยังไม่จบก็จะเกิดเรื่องใหม่อีก ไท่ฮูหยินจะเป็นห่วงเจ้าเอา”
เพราะเขาไม่ได้ทานอะไรมาสองวันสองคืนแล้ว เมื่อครู่สวีซื่อจุนอดทนอยู่ ได้ยินฮูหยินสองพูดเช่นนี้ เขาถึงได้รู้สึกว่าตัวเองไม่มีเรี่ยวแรง ล้มตัวนอนลงอย่างรู้ความ
ไท่ฮูหยินห่มผ้าให้เขา รีบบอกให้เจี๋ยเซียงไปยกข้าวต้มเข้ามา
แม่นมเดินเข้ามา มองดูสวีซื่อจุนด้วยดวงตาที่รื้นไปด้วยน้ำตา “คุณชายน้อยสี่เจ้าคะ!”
สวีซื่อจุนพูดไม่ออก
เขาเห็นท่านแม่ เห็นป้าเถา เห็นแม่นม แล้วยังเห็นเสี่ยวเสาในความฝัน…คิดไม่ถึงว่า แม่นมกลับมาแล้วจริงๆ
“แม่นม” เขาพูดด้วยสีหน้าดีใจ “ข้าเห็นเจ้าอุ้มข้าในความฝัน นั่นมันไม่ใช่ความฝันหรือ เจ้าอุ้มข้าจริงๆ หรือ” พูดจบ เขาก็ยืดคอออกไปมองข้างหลังนาง “เช่นนั้นป้าเถากลับมาด้วยหรือไม่ นางได้ยินว่าข้าไม่สบาย ต้องมาหาข้าแน่นอน!”
สีหน้าของแม่นมดูไม่เป็นธรรมชาติ กำลังคิดว่าจะตอบเขาอย่างไร ไท่ฮูหยินก็ยิ้มแล้วพูดว่า “นอนเยอะเกินไปจริงๆ! จากต้าซิ่งมาถึงที่นี่ต้องใช้เวลาเป็นวัน เจ้าเพิ่งนอนหลับไปสองวันสองคืน ป้าเถาจะรู้ได้เช่นไรกัน!”
สวีซื่อจุนสีหน้าพลันหม่นหมอง เขาพูดเบาๆ “ที่แท้ข้าก็จำผิดไป”
พูดจบ เจี๋ยเซียงก็ยกข้าวต้มเข้ามา
ไท่ฮูหยินให้แม่นมรับใช้สวีซื่อจุนทานข้าวต้ม จากนั้นก็ให้สาวใช้ไปรายงานสวีลิ่งอี๋ที่อยู่ลานข้างนอก
หลังจากนั้นไม่นาน สวีลิ่งอี๋ก็มาพร้อมกับหมอหลิว
ครั้งนี้ ไท่ฮูหยิน ฮูหยินสองและสืออีเหนียงออกไปอยู่ที่เรือนหน่วนเก๋อ
“ป้าเถาเป็นคนอารมณ์ร้อน จุนเกอเป็นคนอ่อนโยน พวกเขาสนิทสนมกันเกินไป” ไท่ฮูหยินเดินเข้าไปในเรือนหน่วนเก๋อก็มองสืออีเหนียงด้วยสายตาที่ร้อนผ่าว “จุนเกอเป็นคนที่ต้องรับตำแหน่งหย่งผิงโหวคนต่อไป จะให้คนแบบนี้ดูแลเขาได้เช่นไร”
สืออีเหนียงรู้สึกเศร้าใจ
คนที่ตายไปแล้วจะถูกแช่แข็งอยู่ในกาลเวลา ทำให้ดูสมบูรณ์แบบอยู่เสมอ ตอนนั้นพยายามให้ป้าเถาอยู่ต่อ ก็เพราะหวังว่าเมื่อสวีซื่อจุนโตขึ้นแล้ว มีความสามารถในการแยกแยะถูกผิด แล้วค่อยให้สวีซื่อจุนตัดสินใจเอาเองว่าจะให้ป้าเถาอยู่ต่อหรือปล่อยนางออกไป แต่ตอนนี้…
นางแอบถอนหายใจในใจ
รับประกันไม่ได้ว่าจะไม่มีใครยุให้รำตำให้รั่วต่อหน้าสวีซื่อจุนเพื่อผลประโยชน์ ตอนที่เขายังไม่รู้ความยังพอไหว แต่หากเขาโตขึ้นแล้ว เกรงว่าคงจะเกิดความผลิกผัน
นี่คือเรื่องที่มนุษย์สู้สวรรค์ไม่ได้!
สืออีเหนียงครุ่นคิดแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” อย่างแผ่วเบา
ไท่ฮูหยินไม่พูดอะไรอีก
*****
ป้ารับใช้สองคนนั้นไปรับยามา กำลังปรึกษากับป้าซ่งว่าจะไปยืมเตาเล็กๆ ที่โรงครัวมาต้มยา ป้าตู้ก็มาดูพอดี พวกนางจึงรายงานป้าตู้ ป้าตู้จึงให้สาวใช้พาพวกนางไปยืมเตาเล็กมาต้มยา ป้าตู้และป้าซ่งพูดคุยกันอยู่ในห้อง เมื่อต้มยาเสร็จแล้ว ป้าตู้ก็ช่วยป้าซ่งป้อนยาให้ป้าเถา จากนั้นก็กลับไปหาไท่ฮูหยิน
ตกเย็น ป้าเถาฟื้นขึ้นมาแล้ว ไม่มีใครสักคน มีเพียงตะเกียงที่จุดไฟเท่าเมล็ดถั่วอยู่กับนาง
นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสน
กำลังจะขอให้ใครสักคนไปถามสถานการณ์ของสวีซื่อจุน แต่จู่ๆ ก็รู้สึกปวดท้องมวนขึ้นมา
นางรีบวิ่งไปนั่งยองๆ ที่โถชำระหลังม่านตรงหัวเตียง ถึงจะค่อยรู้สึกดีขึ้น แต่ทันทีที่ล้มตัวลงนอน ท้องก็ปวดอีกครั้ง นางจึงลุกไปลุกมาอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งถึงยามเช้า นางก็หมดเรี่ยวแรง
ป้าตู้พาสาวใช้ยกข้าวเช้าเข้ามาให้นาง
“เจ้าเคยเป็นป้ารับใช้ผู้ดูแลของฮูหยินสี่คนก่อน ข้าคงไม่ต้องพูดอะไรไปมากกว่านี้ ทานข้าวเช้าแล้วก็กลับไปที่หมู่บ้านเสียเถิด! ต่อไปก็ไม่ต้องกลับมาอีก!” จากนั้นก็นำยาให้ป้าเถา “นี่คือยากระตุ้นการไหลเวียนเลือดและทะลวงเส้นลมปราณ”
ป้าเถามองไปที่ป้าตู้ด้วยสายตาที่เย็นชา นางไม่รับยามา แล้วก็ไม่ทานข้าวเช้า เดินออกไปจากจวนสกุลสวี แล้วขึ้นรถม้ากลับหมู่บ้านทันที
ระหว่างทาง นางก็ท้องเสียสองสามครั้ง กลับถึงเรือนตอนกลางคืน ก็เริ่มมีเลือดไหลออกมา
เถาเฉิงเห็นเช่นนี้ก็ตกใจ เขาถามป้าเถาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ป้าเถาคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจวนหย่งผิงโหวจึงพูดอะไรไม่ออก เชิญหมอมาดู บอกว่าเป็นโรคบิด ทานยาไปตั้งหลายตัว เปลี่ยนหมอตั้งหลายคนแต่ก็ไม่ดีขึ้น เพราะเรื่องนี้เถาเฉิงยังเคยไปที่จวนเพื่อขอร้องให้พ่อบ้านไป๋ส่งหมอไปดูนาง แต่นางก็ยังไม่ดีขึ้น ยื้อมาจนถึงกลางเดือนหก นางก็เสียชีวิต