“ไม่รู้สึกอะไรแล้วอย่างนั้นหรือเจ้าคะ” จู๋เซียงได้ยินสืออีเหนียงพูดอย่างดีใจ นางคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร แต่ก็ต้องรู้ให้ชัดเจน “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านคิดว่าควรจะเรียกป้าเถียนมาถามดีหรือไม่”
“ไม่จำเป็น” อากาศอึดอัดที่ติดอยู่ที่หน้าอกทุกเช้าตั้งแต่ตั้งครรภ์นั้นหายไปแล้ว ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย บวกกับสวีซื่อจุนฟื้นแล้ว สีหน้าของสืออีเหนียงจึงยิ่งมีความสุข “วันนี้นักพรตฉังชุนมาทำพิธีที่จวน ทุกคนกำลังยุ่งวุ่นวาย หากเราเอะอะโวยวาย ประเดี๋ยวทุกคนก็จะมาหาข้าอีก”
จู๋เซียงยิ้มแล้วตอบรับ
อยู่ที่เรือนของไท่ฮูหยินไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไร
หวังว่าเรื่องนี้จะสงบลงโดยเร็ว ทุกคนจะได้กลับคืนสู่ชีวิตที่สงบสุขเหมือนเดิม
ฟ้าพึ่งจะสว่างสวีลิ่งอี๋ก็ออกไปลานข้างนอก สืออีเหนียงล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้วก็ไปหาไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินตื่นตั้งนานแล้ว นางนั่งมองแม่นมป้อนข้าวเช้าให้สวีซื่อจุนอยู่ข้างเตียงเตา เห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา นางก็ยิ้มแล้วทักทาย “มาแล้วหรือ!” จากนั้นก็บอกป้าตู้ “ให้สาวใช้จัดอาหารเช้าเถิด!”
ป้าตู้ตอบรับแล้วเดินออกไป
สวีซื่อจุนที่กำลังกลืนเมล็ดข้าวลงไปตะโกนเรียก “ท่านแม่ขอรับ”
พึ่งจะฟื้นขึ้นมา สีหน้าของเขายังซีดเซียวดูไร้เรี่ยวแรง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วถามเขา “เจ้าสบายดีหรือไม่”
สวีซื่อจุนพยักหน้าด้วยความเขินอาย
ไท่ฮูหยินยืนยันว่าสวีซื่อจุนมองผิดไป การโกหกซ้ำๆ เป็นพันครั้ง บางครั้งแม้แต่คนโกหกเองก็ยังเชื่อ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนั้นสวีซื่อจุนกำลังตกใจ เขาไม่พูดถึงเรื่องที่ตัวเองเจอผี ก็แสดงว่ายอมรับแล้วว่าตัวเองมองผิดเอง
แม่นมยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อวานคุณชายน้อยสี่ทานข้าวต้มไปครึ่งชาม ตื่นมาทานข้าวอีกตอนกลางดึก แล้วยังทานขนมโก๋ขาวไปชิ้นหนึ่งเจ้าค่ะ” จากนั้นก็นำข้าวต้มที่เหลืออยู่สองช้อนในชามให้สืออีเหนียงดู “…ครึ่งชามใหญ่ เหลือแค่นี้เองเจ้าค่ะ”
ขณะที่นางกำลังพูด สะใภ้หนานหย่งก็อุ้มสวีซื่อเจี้ยมาคารวะไท่ฮูหยิน
สองพี่น้องจับมือกัน คนหนึ่งถามว่า “ช่วงนี้เจ้าตั้งใจเรียนหรือไม่” อีกคนหนึ่งก็ถามว่า “พี่สี่ดีขึ้นแล้วหรือยังขอรับ” เห็นพวกเขาสองพี่น้องรักกัน อารมณ์ที่หม่นหมองของไท่ฮูหยินก็สว่างไสวขึ้นมา
ทานข้าวเช้าเสร็จ สวีซื่อฉิน สวีซื่อเจี่ยนและเจินเจี่ยเอ๋อร์ก็มาเยี่ยมทีละคน
เรื่องที่อี้อี๋เหนียงเดินเล่นในลานตอนกลางคืนทำให้สวีซื่อจุนตกใจก็แพร่กระจายออกไป เมื่อสวีซื่อฉินและสวีซื่อเจี่ยนเจอหน้าสวีซื่อจุน พวกเขาก็รู้สึกผิด แต่สวีซื่อจุนกลับทำท่าทีใจกว้าง “เป็นความผิดของข้าเอง ข้าขี้ขลาดเอง ไม่โทษอี้อี๋เหนียง”
สวีซื่อจุนพูดเช่นนี้ สวีซื่อเจี่ยนยังพอไหว แต่สวีซื่อฉินที่โตกว่านิดหน่อยยิ่งรู้สึกผิดมากกว่าเดิม เขารีบพูด “ท่านพ่อของข้าเขียนจดหมายให้ท่านอาสี่แล้ว บอกให้ท่านอาสี่จัดการเรื่องนี้ ท่านอาสี่ตัดสินใจส่งอี้อี๋เหนียงไปที่มณฑลซานหยาง ต่อไปจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกแล้ว!”
“เอาล่ะ เอาล่ะ!” ไท่ฮูหยินไม่อยากให้เด็กๆ สนใจเรื่องนี้มากเกินไป นางยิ้มแล้วพูดแทรก “เรื่องพวกนี้ก็ผ่านไปแล้ว พูดให้รู้เรื่องเข้าใจกันก็พอ พี่น้องอย่างพวกเจ้าไม่ต้องคิดอะไรมาก” แล้วพูดต่ออีกว่า “วันนี้พวกเจ้าไปเรียนหรือไม่ นักพรตฉังชุนตั้งแท่นบูชาไว้ที่ลานข้างนอกเพื่อทำพิธีให้จุนเกอ พวกเจ้าจะไปดูหรือไม่”
สวีซื่อเจี่ยนได้ยินดังนั้นก็สายตาเป็นประกาย แต่ก็กลับมาหม่นหมองอีกครั้ง เขาพูดเบาๆ “วันนี้ยังต้องไปเรียนขอรับ”
ไท่ฮูหยินเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็ไปดูยามเที่ยงเถิด!”
สวีซื่อเจี่ยนดีใจขึ้นมาอีกครั้ง
ทุกคนพูดคุยหัวเราะกันอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นป้าตู้ก็ส่งบรรดาคุณชายน้อยออกไปเรียนที่เรือนซวงฝู
เจินเจี่ยเอ๋อร์บอกสวีซื่อจุนแค่ว่า “พักผ่อนให้ดี” แล้วเอ่ยขอตัวลา
นางไม่พูดอะไรตั้งแต่ต้นจนจบ
สืออีเหนียงแปลกใจ
ปกติเจินเจี่ยเอ๋อร์ไม่เป็นเช่นนี้…
ฮูหยินห้าอุ้มซินเจี่ยเอ๋อร์เข้ามา
“ท่านแม่ เราไปดูนักพรตฉังชุนทำพิธีกันดีกว่าเจ้าค่ะ!” นางเอ่ยชักชวนไท่ฮูหยิน “จะได้ให้นักพรตฉังชุนทำนายดวงชะตาให้ซินเจี่ยเอ๋อร์ด้วย”
ว่ากันว่านักพรตฉังชุนทำนายดวงชะตาให้ใครต้องขึ้นอยู่กับโอกาสและพรหมลิขิต เจ้านำทองไปให้เขา ใช่ว่าเขาจะยอมทำนายให้เจ้า เจ้าไม่ออกเงินสักตำลึงแต่บังเอิญไปเจอกับเขา บางครั้งเขาก็จะพูดกับเจ้าหลายชั่วยาม ด้วยเหตุผลนี้ ผู้คนจึงมักจะอุ้มลูกไปดูเขาทำพิธี หวังว่าจะได้รับคำแนะนำจากนักพรตฉังชุน
ไท่ฮูหยินรู้ว่าฮูหยินห้าทำเพื่อซินเจี่ยเอ๋อร์ นางจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไปกับซินเจี่ยเอ๋อร์เถิด! ข้าอยู่เล่นไพ่กับสืออีเหนียง อยู่พูดคุยกับจุนเกอดีกว่า”
สวีลิ่งอี๋วานให้ไท่ฮูหยินดูแลพวกนาง ไท่ฮูหยินกลัวว่าหากนางออกไปจะไม่มีใครดูแลตนกับสวีซื่อจุนกระมัง!
สืออีเหนียงจึงรีบพูด “ท่านแม่ ท่านไปกับน้องสะใภ้ห้าเถิดเจ้าค่ะ ที่นี่มีข้าอยู่!”
เดิมทีลูกสะใภ้ไปดูพิธีที่ลานข้างนอกคนเดียว ฮูหยินห้าก็รู้สึกผิด เมื่อได้ยินเช่นนี้นางก็จับแขนเสื้อออดอ้อนไท่ฮูหยิน “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านไปกับข้านะเจ้าคะ!”
ไท่ฮูหยินลังเลใจ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วดันตัวไท่ฮูหยินออกไปเบาๆ “ท่านไปแล้ว ข้ากับจุนเกอจะได้ทานขนมกันอย่างเอร็ดอร่อย”
ทำเอาไท่ฮูหยินหัวเราะ นางจึงยอมออกไปลานข้างนอกกับฮูหยินห้า
สืออีเหนียงเดินเข้าไปนั่งบนเตียงเตา นั่งเย็บปักถักร้อยพลางพูดคุยกับสวีซื่อจุน แม่นมยกเก้าอี้เข้ามานั่งข้างสืออีเหนียง ยืมเข็มกับด้ายของสาวใช้มาทำถุงเท้าให้สวีซื่อจุน
พูดคุยกันไปพูดคุยกันมา สวีซื่อจุนก็ผล็อยหลับไป
หลังจากนั้นก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยินเจ้าคะ พี่หู่พั่วรอท่านอยู่ข้างนอกตั้งนานแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงได้ยินดังนั้นก็แปลกใจ จากนั้นก็ออกไปห้องปีกทางทิศตะวันตก
หู่พั่วเดินเข้ามากระซิบนาง “อี้อี๋เหนียงบอกว่า มีความลับของคุณหนูใหญ่จะพูดกับท่านเจ้าค่ะ!”
“พี่หญิงใหญ่?” สืออีเหนียงรู้สึกงุนงง “ความลับ?”
“ใช่เจ้าค่ะ!” หู่พั่วพยักหน้า “บอกว่านางเก็บเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว กลัวว่าหากครั้งนี้ไม่พูด ก็จะไม่มีโอกาสได้พูดอีก บอกท่านว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไปเจอนาง ท่านป้าที่เฝ้าประตูไม่กล้าตัดสินใจ จึงมาบอกบ่าวเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงขมวดคิ้ว
เมื่อคืนวานสวีลิ่งอี๋ได้รับจดหมายจากคุณชายสาม กำลังจะส่งอี้อี๋เหนียงไปมณฑลซานหยางเช้านี้ แต่ฟ้าพึ่งจะสว่าง นักพรตฉังชุนก็พานักบวชลัทธิเต๋ามาทำพิธีที่จวน จึงต้องเลื่อนให้อี้อี๋เหนียงออกเดินทางพรุ่งนี้แทน
ฟังจากน้ำเสียงของอี้อี๋เหนียง เห็นได้ชัดว่านางรู้แผนการของสวีลิ่งอี๋แล้ว
ตอนนี้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ อี้อี๋เหนียงบอกว่าอยากจะบอกความลับที่เกี่ยวกับหยวนเหนียงให้นางฟัง… มันคือเรื่องจริง? หรือไม่จริงกันแน่?
หากเป็นเรื่องจริง เหตุใดนางถึงเลือกที่จะพูดตอนนี้ หรือว่าเกี่ยวข้องกับแผนการของสวีลิ่งอี๋?
หากไม่ใช่เรื่องจริง แล้วนางจะมั่นใจได้อย่างไรว่าตนจะเชื่อเรื่องที่นางพูด?
สืออีเหนียงลังเล
สวีลิ่งอี๋บอกกับตนชัดเจนแล้วว่าจะให้อี้อี๋เหนียงอยู่ที่จวนต่อไปไม่ได้ การส่งอี้อี๋เหนียงไปมณฑลซานหยางนั้นก็เพื่อปกปิดผู้คน กระนั้นหากเรื่องที่อี้อี๋เหนียงจะบอกตนคือเรื่องจริง ถ้าไม่ไป ตนก็จะเสียโอกาสที่จะได้รู้ไปตลอด
นางพลันนึกถึงท่าทีของไท่ฮูหยินที่มีต่อหยวนเหนียงตอนที่ตัวเองมาที่จวนครั้งแรก นึกถึงอคติที่สวีลิ่งอี๋มีต่อตัวเอง นึกถึงการดูถูกที่ฮูหยินสองมีต่อตัวเอง…หยวนเหนียง ทิ้งความลับเอาไว้มากมาย
หากเป็นเมื่อก่อน นางไม่มีทางไปแน่นอน
นางมักจะรู้สึกว่า เรื่องที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป
แต่ตั้งแต่เกิดเรื่องป้าเถาขึ้น นางก็ตระหนักได้ว่า เรื่องในอดีต กำลังจะส่งผลกระทบต่อชีวิตของนางในอนาคต
แต่หากไม่ใช่เรื่องจริง…
สืออีเหนียงถอนหายใจเบาๆ
ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเสียหายไม่ใช่หรือ
ต้องยอมรับว่าคำพูดของอี้อี๋เหนียงนั้นยอดเยี่ยมจริงๆ
สืออีเหนียงพาหู่พั่วไปยังเรือนที่กักตัวอี้อี๋เหนียง
บางทีอาจจะเป็นเพราะตัดสินใจว่าวันนี้จะส่งอี้อี๋เหนียงออกไปมณฑลซานหยาง อี้อี๋เหนียงจึงสวมเสื้อกั๊กผ้าทอใยกล้วยสีแดง ม้วนผมอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แล้วยังมีกลิ่นหอมดอกซ่อนกลิ่นบนตัว ถึงแม้ว่าจะดูสะอาดสะอ้าน แต่ผิวของนางซีดเหลือง สายตาไม่มีชีวิตชีวา มุมปากก็กระตุกอยู่ตลอดเวลา หน้าตาราวกับแก่ขึ้นเป็นสิบปี
ทันทีที่เห็นสืออีเหนียงเข้ามา สายตาของนางก็เป็นประกาย รีบวิ่งเข้ามาหาสืออีเหนียง
ป้ารับใช้ที่เปิดประตูให้พวกนางก็เดินมาขวางด้านหน้าสืออีเหนียงราวกับประตูไม้
สืออีเหนียงตาลาย ได้ยินเพียงเสียง พลั่ก! อี้อี๋เหนียงคุกเข่าลงกับพื้น “ฮูหยินสี่เจ้าคะ ฮูหยินสี่เจ้าคะ ข้าถูกใส่ร้าย ท่านต้องช่วยข้านะเจ้าคะ!”
ป้ารับใช้ที่เปิดประตูเหลือบมองสืออีเหนียง ราวกับถามว่าสืออีเหนียงจะทำเช่นไรต่อ
สืออีเหนียงพยักหน้าให้นางเบาๆ
ป้ารับใช้คนนั้นก็ออกไปเงียบๆ
หู่พั่วยกเก้าอี้ไท่ซือมาวางไว้ข้างหลังสืออีเหนียง จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเก้าอี้แล้วขยิบตาให้ป้ารับใช้คนนั้น
ป้ารับใช้คนนั้นกลัวว่าอี้อี๋เหนียงจะบ้าคลั่งแล้วทำร้ายฮูหยินสี่ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าฮูหยินสี่มาหานางคนเดียว คงจะมีความลับอะไรพูดกัน…ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแล้วเดินออกไป
สืออีเหนียงค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือ จ้องมองไปยังอี้อี๋เหนียงด้วยสายตาที่เย็นชา แต่กลับไม่ปริปากพูดอะไร
ทันใดนั้นบรรยากาศในห้องก็เงียบสงัด มีเพียงเสียงหายใจติดๆ ขัดๆ ของอี้อี๋เหนียง
อี้อี๋เหนียงไม่รู้ว่าท่าทางของสืออีเหนียงนั้นหมายถึงอะไร นางหลบตาสืออีเหนียงแล้วพูดเสียงเบาราวกระซิบ “ฮูหยินสี่เจ้าคะ ข้า…มีเรื่องจะบอกท่านเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงไม่พูดไม่จาเหมือนเดิม ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็พูดเบาๆ ว่า “มีเรื่องอันใดก็ยืนพูดเถิด!”
“เจ้าค่ะ!” อี้อี๋เหนียงหยัดกายยืนขึ้นทันที
“เจ้าบอกว่ามีความลับของพี่หญิงใหญ่จะบอกข้า” สืออีเหนียงพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ไม่รู้ว่ามันคือเรื่องอันใด”
“ฮูหยินสี่เจ้าคะ เรื่องที่ฉินอี๋เหนียงทำพิธีสาปแช่งใส่คุณชายน้อยสี่ไม่เกี่ยวข้องกับข้าจริงๆ นะเจ้าคะ ข้าถูกใส่ร้ายเจ้าค่ะ” อี้อี๋เหนียงพูดด้วยท่าทีร้อนรน หู่พั่วเห็นเช่นนี้ นางก็ขยับเข้าไปหาสืออีเหนียง “ฉินอี๋เหนียงจิตใจชั่วร้าย นางอยากจะทำร้ายซื่อจื่อตั้งนานแล้ว ข้าถูกฉินอี๋เหนียงหลอก ไม่มีวิธีอื่น จึงแนะนำแม่เฒ่าจูให้นางรู้จัก ฮูหยินสี่เจ้าคะ เห็นแก่ข้าที่ไม่เคยเรียนหนังสือ ไม่มีความรู้ ไม่รู้ความรุนแรงของเรื่องราว ขอร้องท่านไปพูดกับท่านโหว จะลงโทษข้าเช่นไรก็ได้ แต่อย่าส่งข้าออกไปจากจวนเลยเจ้าค่ะ!” พูดจบนางก็คุกเข่าลงบนพื้นแล้วก้มหัว “ฮูหยินสี่เจ้าคะ ข้าขอร้องท่าน ขอร้องท่านล่ะเจ้าค่ะ!”
คนที่ทำความผิดมักจะคิดว่าตัวเองไม่ผิดเสมอ
สืออีเหนียงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับภูเขา มองดูนางก้มหัวจนหน้าผากแดงก่ำ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “อี้อี๋เหนียง เห็นแก่เจ้าที่เคยรับใช้คุณชายสาม คิดว่าเจ้าเป็นคนฉลาด ถึงมาหาเจ้าที่นี่ ถึงแม้ว่าวาจาจะเทียบกับตัวหนังสือไม่ได้ แต่มันก็ต้องมีหลักฐานที่ชัดเจน เจ้าพูดเหลวไหลเช่นนี้ ข้าคิดว่า…” นางหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง “เจ้าไม่ใช่คนฉลาดอะไร ข้าไม่อยากฟังคำพูดของเจ้าแล้ว” พูดจบก็ลุกขึ้นแล้วหมุนตัวจะเดินออกไป
อี้อี๋เหนียงเห็นเช่นนี้ก็รีบลุกขึ้นยืน
“ฮูหยินสี่เจ้าคะฮูหยินสี่!” นางเดินเข้ามาจับแขนเสื้อของสืออีเหนียง “ข้าไม่ได้พูดเหลวไหลเจ้าค่ะ ตอนนั้นทุกคนล้วนแต่บอกว่าพี่หญิงของท่านทำให้ถงอี๋เหนียงแท้ง แต่ความจริงแล้ว เรื่องนี้ฉินอี๋เหนียงเป็นคนทำเจ้าค่ะ นางจับปลาในน้ำขุ่น[1] ทำให้ถงอี๋เหนียงต้องตายแล้วโยนความผิดให้พี่หญิงของท่าน ให้พี่หญิงของท่านเป็นแพะรับบาปมาตั้งหลายปี…”
——————————————————-
[1]จับปลาในน้ำขุ่น สำนวนเปรียบเปรยว่า ฉวยโอกาสหรือหาผลประโยชน์ขณะเกิดเหตุการณ์ชุลมุน