ฉินอี๋เหนียงจ้องมองขาของชุ่ยเอ๋อร์ที่แกว่งไปมาอยู่กลางอากาศ นางก็เข้าใจได้ในทันที
ถึงแม้ว่าโรคไข้จับสั่นจะร้ายแรง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มียารักษาเสียหน่อย นางอายุน้อยเช่นนี้ จะฆ่าตัวตายทำไมกัน!
ฉินอี๋เหนียงรู้สึกเพียงว่าดวงตาทั้งสองข้างของตนลายไปหมด จากนั้นในหัวของนางก็ขาวโพลนและหมดสติไป
หลังจากที่นางฟื้นขึ้น ก็เข้าสู่เวลาพลบค่ำไปแล้ว
ในเรือนเงียบสนิท ป้ารับใช้สองคนที่ปรนนิบัติรับใช้ในเรือนของนางกำลังนั่งคุยเรื่อยเปื่อยอยู่นอกประตู
“ข้าเห็นว่าบนโต๊ะลงไพ่จิ่วสั่วไปสามตัวแล้ว ก็เลยลงไพ่จิ่วสั่วตาม ใครจะไปนึกว่าป้าอู๋จะชนะไปเสียก่อน เจ้าว่าตานี้ข้าอับโชคแค่ไหน”
“เจ้ายังดีที่ตอนท้ายยังได้ชนะรวดไปตั้งสี่ตา ได้ทุนที่เสียไปคืนมาจนหมด ส่วนข้าน่ะ เริ่มแรกก็ชนะมาตั้งสองร้อยกว่าอีแปะ หลังๆ แพ้ไปตาละตั้งหนึ่งร้อยอีแปะ รวมๆ แล้วข้าเสียไปตั้งสามร้อยกว่าอีแปะ”
“จะว่าไปแล้ว ช่วงนี้ป้าอู๋โชคดีเสียจริง พวกเราทั้งสี่เล่นไพ่นกกระจอกด้วยกัน เหตุใดถึงเลือกให้นางไปเป็นคนทำความสะอาดและห่อศพคนเดียว เห็นว่ายังให้เงินรางวัลนางอีกตั้งสองตำลึงด้วย!”
“หาเงินจากคนตาย มีอะไรให้น่าอิจฉากัน จะว่าไปแล้ว เด็กคนนั้นก็น่าสงสาร อายุยังน้อยก็ต้องมาด่วนตายจากไป มิเช่นนั้น จะได้ใช้โลงศพไม้จวี่มู่ได้อย่างไรกัน”
นังสารเลวนั่นได้ใช้โลงศพไม้จวี่มู่เชียวหรือ!
ฉินอี๋เหนียงไม่สามารถอดทนฟังได้อีกต่อไป นางกระโดดลงจากเตียงตรงไปที่ประตูทันที ใช้ทั้งสองมือดึงประตูให้เปิดออกอย่างสุดแรง แต่ประตูกลับไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว เห็นได้ชัดว่าประตูถูกลงกลอนเอาไว้
นางโกรธจนเนื้อตัวสั่นเทาไปหมด ใบหน้าร้อนผ่าวราวกับไฟที่กำลังแผดเผาอย่างไรอย่างนั้น
“เปิดประตู เปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้!” นางเขย่าประตูด้วยความบ้าคลั่ง
ตนจะไปงัดนังสารเลวคนนั้นออกจากโลงศพ คว้านหัวใจของนางออกมาดู ว่าหัวใจนั้นเป็นสีแดงหรือสีดำกันแน่
เสียแรงที่ตนดีกับนางขนาดนี้ ที่ผ่านมาตนตกรางวัลให้นางไม่เคยขาด ปีใหม่ก็ไม่เคยที่จะลืมให้ซองแดง นางไปได้อะไรจากสืออีเหนียงกัน ถึงได้หันมาทำร้ายตนเช่นนี้
ตอนนั้นนางก็กลัดกลุ้มใจจะแย่อยู่แล้ว ทั้งๆ ที่ตนไม่ได้เป็นอะไรเลย แต่นังสารเลวคนนั้นกลับเอาแต่บอกว่าตนมีอาการตัวร้อน อีกทั้งยังออกไปป่าวประกาศว่าตนเป็นโรค ‘ไข้จับสั่น’ อีกด้วย ในปีนั้นนางก็ได้ยินโรคนี้จากปากฮูหยินสอง ฮูหยินสองยังบอกอีกว่าโรคนี้สามารถแพร่ระบาดได้ ตอนที่ฮูหยินสองพูดถึงโรคนี้ ปีนั้นที่ซานซีก็มีคนเสียชีวิตเพราะติดโรคห่าพอดี มิเช่นนั้นนางก็คงจะจำไม่ได้ ชุ่ยเอ๋อร์เป็นสาวใช้น้อยที่ไม่รู้หนังสือ นางจะไปรู้ดีขนาดนั้นได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่ามีคนคอยบงการนาง
เกลียดที่ตนโดนกักขังทั้งวันทั้งคืนเช่นนี้ จึงยากที่ป้องกันโจรที่แฝงตัวอยู่ภายใน สุดท้ายกลับพังพินาศเพราะนังสารเลวคนนั้นคนเดียว
ฉินอี๋เหนียงกรีดร้องเสียงดังจนบ่าวรับใช้ทั้งสองหยุดบทสนทนาไป
ป้ารับใช้คนหนึ่งจึงได้พูดขึ้นว่า “อี๋เหนียง ท่านอย่าทำพวกบ่าวลำบากใจเลย ที่พวกบ่าวทำไปก็เพราะคำสั่งทั้งนั้น”
ส่วนอีกคนก็ได้พูดขึ้นว่า “ใช่แล้ว อี๋เหนียง ท่านมีเรื่องอันใดก็เชิญพูดกับพวกบ่าวมาได้ บ่าวจะช่วยไปเรียนกับฮูหยินเอง ส่วนเรื่องเปิดประตู บ่าวมิกล้าหรอกเจ้าค่ะ หากพวกบ่าวติดโรคขึ้นมา พวกบ่าวไม่สามารถเชิญหมอหลวงมาตรวจอาการและทานโสมหรือห่อสิ่วโอวได้อย่างเต็มที่เช่นอี๋เหนียงได้ พวกบ่าวไม่มีเงินทองเช่นนั้นหรอกนะเจ้าคะ”
“ถุย!” ฉินอี๋เหนียงตบประตูด้วยความเดือดดาล “ข้าไม่ได้ป่วยเสียหน่อย นังคนอายุสั้นนั่นต่างหากที่เป็นคนบอกว่าข้าป่วย รอบุตรชายข้ากลับมาแล้ว ระวังเขาจะมาคิดบัญชีกับพวกเจ้า”
“บุตรชาย!” ป้ารับใช้คนหนึ่งหัวเราะออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “อี๋เหนียงมีบุตรชายเสียที่ไหนกัน ถึงแม้ว่าจะได้ให้กำเนิดบุตรชาย แต่ถือว่าเป็นบุตรชายของฮูหยินสี่ ไปกลายเป็นบุตรชายของท่านเสียตั้งแต่เมื่อไรกัน บ่าวว่าท่านไม่ได้ป่วยธรรมดา แต่ป่วยอาการสาหัสทีเดียวเชียว”
ยังไม่ทันที่ป้ารับใช้คนนี้จะพูดจบ ป้ารับใช้อีกคนก็ได้พูดขึ้นว่า “เจ้าไปพูดเรื่องพวกนี้กับนางทำไมกัน สู้เอาเวลามาพักผ่อนดีกว่า” จากนั้นก็ได้พูดต่อไปว่า “ใช่แล้ว ป้าอู๋บอกว่าวันนี้นางจะตั้งโต๊ะไพ่นกกระจอกที่บ้านของนาง เจ้าจะไปหรือไม่”
“ไปสิ จะไม่ไปได้อย่างไรเล่า หากข้าไม่ไป จะเอาคืนเงินทุนที่เสียไปได้อย่างไรกัน”
ทั้งสองพูดคุยกันต่ออย่างถูกปากถูกคอ ปล่อยให้ฉินอี๋เหนียงโหวกเหวกโวยวายทุบตีประตูอยู่ด้านในโดยที่ไม่สนใจไยดีแม้แต่นิดเดียว ราวกับว่าไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น
ฉินอี๋เหนียงทุบตีประตูจนเจ็บมือไปหมด แต่ป้ารับใช้ทั้งสองที่อยู่ด้านนอกก็ไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว นางจึงค่อยๆ สงบลงในที่สุด
เหล่าบรรดาสตรีในครอบครัวมักจะชอบเทิดทูนคนที่สูงส่งและเหยียบย่ำคนที่ตกต่ำเสมอ ตั้งแต่เมื่อก่อน คนเหล่านั้นเห็นว่านางให้กำเนิดคุณชายน้อยสอง และก็เห็นว่าท่านโหวรักและเอ็นดูคุณชายน้อยสองเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มาประจบประแจงนาง แต่ก็ไม่กล้าจะเฉยเมยพูดจาเย็นชาใส่นาง…
นางจ้องมองป้ารับใช้ทั้งสองที่อยู่นอกประตูเก๋อซ่านตาเขม็ง จากนั้นก็ก้มลงมองฝ่ามือที่แดงก่ำของตน แล้วจึงค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลงบนพื้น
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้”
หากว่าอยู่ในจวน ไท่ฮูหยินที่มักจะให้ความสำคัญกับเรื่องฮวงจุ้ย ก็คงพอจะผ่อนปรนได้บ้าง แต่ตอนนี้ กลับเป็นเรือนสวนในเขาลั่วเย่ว์ที่ทั้งรกร้างและกันดาร เรียกฟ้าเรียกดินก็คงไม่มีใครได้ยิน อย่าว่าแต่ฆ่าคนเลย แม้แต่จุดไฟเผาเรือนไปครึ่งค่อนวัน เกรงว่าก็คงจะไม่มีใครเห็น
เหตุใดตนถึงได้โง่เขลาเช่นนี้
เมื่อความคิดนี้แล่นผ่านในหัว ก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนปลาที่อยู่บนเขียง ที่ดิ้นรนเท่าไร สุดท้ายก็ไม่สามารถหลุดจากชะตากรรมนี้ได้
ไม่ได้เด็ดขาด
ตนจะต้องห้ามยอมแพ้อย่างเด็ดขาด และก็แพ้ไม่ได้ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ตนยังมีคุณชายน้อยสองอีกทั้งคน
จดหมายถูกส่งออกไปแล้ว ขอเพียงแค่คุณชายน้อยกลับมา พวกนางก็จะไม่กล้าทำอะไรตนอีก
เมื่อความคิดนี้แล่นผ่านในหัว นางที่พึ่งรู้สึกวางใจไปเมื่อครู่ จู่ๆ ก็เป็นกังวลใจขึ้นมาอีกครั้ง
ชุ่ยเอ๋อร์เป็นคนส่งจดหมายฉบับนั้น หากชุ่ยเอ๋อร์ไม่เคยส่งจดหมายฉบับนั้นออกไปเลยเล่า
เช่นนั้น…เช่นนั้นก็เท่ากับว่าตนกำลังรอความตายเท่านั้นหรือ
แต่พระโพธิสัตว์จะยอมให้ตนตายได้อย่างไร
หลายปีมานี้ พระโพธิสัตว์คอยประทานพรให้นางสมปรารถนาเสมอมา ครั้งนี้ ก็คงจะต้องให้นางสมปรารถนาดังที่หวังไว้อย่างแน่นอน
เมื่อนึกถึงตรงนี้ นางก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปยังด้านหลังของเรือนหน่วนเก๋อทันที
เรือนหน่วนเก๋อว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย!
นางจึงเพิ่งจะนึกได้ว่าที่นี่คือเรือนสวนที่เขาลั่วเย่ว์ ไม่ใช่จวนหย่งผิงโหวของนาง
แล้วพระโพธิสัตว์ของนางเล่า
พระโพธิสัตว์ของนางอยู่ที่ไหน
อยู่ในเรือนที่เมืองเยี่ยนจิง…ตอนที่นางเดินทาง นางได้ลืมไปหมดเสียทุกอย่าง…เพราะเหตุนี้หรือไม่ พระโพธิสัตว์จึงรู้สึกว่านางไม่จริงใจพอ ถึงได้ทดสอบและตักเตือนนางเช่นนี้
ใช่แล้ว…จะต้องเป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน มิเช่นนั้น นางจะประมาทเลินเล่อจนถึงขั้นถูกชุ่ยเอ๋อร์ตลบหลังได้อย่างไร สุดท้ายนางจะต้องมาตกระกำลำบากถูกจองจำอยู่ในเขาลั่วเย่ว์ได้อย่างไรกัน
ฉินอี๋เหนียงจึงคุกเข่าลงกลางเรือนหน่วนเก๋อ พนมมือพร้อมกับหันหน้าไปยังทิศตะวันออก หลับตาลงแล้วพูดขึ้นพึมพำ “พระโพธิสัตว์ ข้านามว่าฉินอี๋เหนียง หลายปีมานี้ข้าทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจอุทิศแด่พระพุทธเจ้า ทั้งธูปเทียนและดอกไม้สด ไม่เคยขาดตกบกพร่อง ครั้งนี้ไม่ได้อัญเชิญท่านมาด้วย ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะหลัวสืออีเหนียงคนนั้นคนเดียว…”
นางเพิ่งจะพูดจบ ก็มีเสียงเปิดประตูดังมาจากด้านนอกของเรือนหน่วนเก๋อ
ฉินอี๋เหนียงรีบลุกขึ้นพร้อมกับวิ่งออกไปทันที ก็เห็นเข้ากับใบหน้าที่คุ้นเคย
“ป้าตู้!” สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความงุนงง
“ฉินอี๋เหนียง!” ป้าตู้ทักทายนางด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ใบหน้าของนางยังคงแสดงสีหน้าที่สนิทสนมที่ดูอ่อนโยนและอัธยาศัยดีเหมือนเช่นเคย แต่เวลานี้ นางปรากฏตัวที่นี่ กลับทำให้ฉินอี๋เหนียงหวาดกลัวจนเนื้อตัวสั่นเทาไปหมด “บ่าวได้รับคำสั่งจากไท่ฮูหยินให้มาดูว่าอาการป่วยของฉินอี๋เหนียงเป็นอย่างไรบ้างแล้ว!” ป้าตู้พูดจบก็ถอยหลังไปหนึ่งเก้า จากนั้นก็มีป้ารับใช้ร่างกายกำยำราวกับผู้ชายก็ไม่ปานเดินเข้ามาสองคน จับแขนของฉินอี๋เหนียงคนละข้าง
“ป้าตู้ เจ้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้นะ!” ฉินอี๋เหนียงเข้าใจได้ในทันที นางพยายามดิ้นรนและตะโกนร้องเสียงดังลั่น “หากคุณชายน้อยสองกลับมา เขาไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”
ป้าตู้ได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมาเสียงดัง จากนั้นก็ล้วงเอาขวดแก้วใบเล็กออกมาจากเสื้อ ดึงจุกที่ปากขวดออก แล้วเดินเข้าไปบีบคางของนาง…
*****
เวลานี้เอง สืออีเหนียงก็ได้รับข่าวการตายของป้าเถา
นางจึงไปยังเรือนของไท่ฮูหยิน
หลังจากที่สวีซื่อจุนถูกทำให้กลัวจนหวาดผวา เขาก็ล้มหมอนนอนเสื่ออยู่แต่บนเตียง ไม่ได้ไปเรียนหนังสือ กลายเป็นคนขี้กลัวกว่าเมื่อก่อนมาก เกิดอะไรขึ้นเล็กๆ น้อยๆ เขาก็มักจะตื่นตระหนกและรีบคว้าแขนเสื้อของคนรอบข้างไว้แน่นเสมอ
อากาศค่อนข้างร้อนเป็นอย่างมาก เพราะเป็นห่วงเรื่องอาการป่วยของสวีซื่อจุน ไท่ฮูหยินจึงได้วางน้ำแข็งไว้ตรงมุมห้องของทางฝั่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือหนึ่งก้อน คนที่อยู่ด้านในนานๆ จะไม่ค่อยรู้สึก แต่หากเดินเข้ามาจากด้านนอกก็จะสามารถรู้สึกได้ถึงความเย็นเล็กน้อย
สวีซื่อเจี้ยและสวีซื่อจุนสองพี่น้องกำลังนอนพิงหมอนอยู่บนเตียง และกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างเสียงดัง
เมื่อรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวก็พากันเงยหน้าขึ้นมาดู จึงเห็นว่าคนที่เดินเข้ามานั้นเป็นสืออีเหนียง สวีซื่อเจี้ยรีบลงจากเตียงเตาพร้อมกับวิ่งเข้าไปหานางทันที “ท่านแม่!”
สวีซื่อจุนที่นอนอยู่บนเตียงอย่างอ่อนแรงก็เรียกขึ้นเสียงเบาว่า “ท่านแม่”
สืออีเหนียงจึงลูบศีรษะของสวีซื่อเจี้ยเบาๆ แล้วหันไปพยักหน้าเล็กน้อยให้กับสวีซื่อจุน ถามสองพี่น้องว่า “กำลังทำอะไรกันอยู่หรือ”
“กำลังเล่าเนื้อหาในคาบเรียนของอาจารย์จ้าวให้กับพี่สี่อยู่ขอรับ” สวีซื่อเจี้ยจูงมือของสืออีเหนียงไปนั่งที่เตียงเตา จากนั้นเขาก็ปีนขึ้นไปนั่งที่ข้างๆ สวีซื่อจุนเหมือนเดิม
“เช่นนั้นหรือ” สืออีเหนียงพูดคุยกับทั้งสองด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “แล้วอาจารย์จ้าวสอนอะไรบ้าง”
“อาจารย์จ้าวพูดถึงนิทานของซุนจ้งโหมว โจโฉและซุนกวนขอรับ”
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “อาจารย์จ้าวสอนถึง ‘บทเรียนปฐมวัย’ ของบทความพี่น้องแล้วหรือ”
สวีซื่อเจี้ยรีบพยักหน้าทันใด ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเลื่อมใส “ท่านแม่ฉลาดยิ่งนัก แค่ฟังก็รู้ได้เลยว่าอาจารย์จ้าวกำลังสอนอะไรพวกข้า”
“นั่นเพราะท่านแม่ก็เคยเรียน ‘บทเรียนปฐมวัย’ อย่างไรเล่า!” สวีซื่อจุนที่อยู่ข้างๆ ก็ได้พูดแทรกขึ้นมา “แน่นอนว่าแค่ฟังก็สามารถรู้ได้เลยว่าอาจารย์จ้าวกำลังสอนอะไรอยู่”
สวีซื่อเจี้ยหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ
สืออีเหนียงถามถึงอาการป่วยของสวีซื่อจุนขึ้นมา
ทุกคนต่างก็พูดคุยและหัวเราะกันอย่างเบิกบานใจ บรรยากาศในห้องดูผสมกลมกลืนเป็นอย่างมาก
ข่าวการตายป้าเถาติดอยู่ตรงริมฝีปากของสืออีเหนียง และนางก็ได้กลืนคำพูดลงคอไปอีกครั้ง
เหตุการณ์เป็นเช่นนี้จนถึงหลังอาหารมื้อค่ำ สืออีเหนียงและสวีซื่อเจี้ยก็ได้บอกลากันและแยกย้ายเข้าเรือน
“ท่านแม่ ท่านมีเรื่องจะคุยกับข้าใช่หรือไม่ขอรับ!” สวีซื่อจุนจ้องมองสืออีเหนียงด้วยนัยน์ตาที่ดำขลับ
“เจ้าดูออกหรือ!” สืออีเหนียงพูดขึ้นอย่างจริงใจและตรงไปตรงมา นางค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ “เจ้าดูออกได้อย่างไรกัน”
สวีซื่อจุนเม้มปากยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เพราะว่าวันนี้ท่านแม่ค่อนข้างใจลอย เหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว”
ช่างเป็นเด็กที่ฉลาดและไหวพริบดีจริงเชียว
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา สืออีเหนียงก็ยิ่งรู้สึกว่าใจไม่แข็งเข้าไปใหญ่ แต่หากว่าเขาไปได้ยินเรื่องการตายของป้าเถาจากปากคนอื่น เกรงว่าเขาคงจะยิ่งเสียใจเข้าไปใหญ่
“ข้ามีเรื่องที่จะพูดกับเจ้าจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี” ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของสืออีเหนียงจะเต็มไปด้วยความลังเลใจ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจบอกกับเขาว่า “เมื่อตอนเที่ยง เถาเฉิงมาแจ้งข่าวว่าป้าเถาป่วยหนักและเสียชีวิตไปแล้ว!”
สืออีเหนียงพูดขึ้นพลางสังเกตสีหน้าและปฏิกิริยาของสวีซื่อจุนอย่างละเอียดและระมัดระวัง
แววตาของสวีซื่อจุนยังคงนิ่งสงบอยู่อย่างนั้น แล้วจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นประหลาดใจ และกลายเป็นเจ็บปวดในท้ายที่สุด…
สืออีเหนียงกอดเขาไว้ในอ้อมแขนแนบแน่น “นางป่วยเป็นไข้จับสั่น ตอนนั้นพ่อบ้านไป๋ก็ได้ช่วยไปเชิญหมอหลวงมารักษานางด้วย…”
ร่างกายของสวีซื่อจุนสั่นเทา เขาพยายามกลั้นเสียงสะอื้นพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ดังนั้นเพราะว่าข้าป่วย ป้าเถาจึงไม่ยอมมาเยี่ยมข้าใช่หรือไม่ขอรับ!”
นี่เป็นประโยคที่พูดออกมาด้วยความมั่นใจ ไม่ใช่ประโยคสงสัยแต่อย่างใด
สืออีเหนียงพลันรู้สึกบีบหัวใจขึ้นมา
สวีซื่อจุนก็เป็นเพียงเด็กน้อยที่รอคอยความรักเท่านั้น
“ไม่ใช่เสียหน่อย!” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “นางมาเยี่ยมเจ้าแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นเจ้ายังไม่ได้สติต่างหาก!”
กระดาษไม่สามารถห่อเปลวไฟได้
แทนที่จะรอให้ถึงเวลาแล้วค่อยอธิบาย สู้พูดออกมาตรงๆ อย่างจริงใจตอนนี้เลยดีกว่า
เมื่อสวีซื่อจุนเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาก็ท่วมท้นไปด้วยความสงสัย
“ป้าเถาเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ ก็เลยร้องไห้จนหมดสติไป” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “พวกข้ากลัวว่านางจะเสียงดังรบกวนเจ้า ก็เลยให้นางกลับไปก่อน”
สวีซื่อจุนรู้สึกคลายกังวลลงในทันใด
ไท่ฮูหยินไม่ชอบคนที่ร้องห่มร้องไห้เป็นที่สุด โดยเฉพาะเวลาที่เขาป่วย เพราะจะไม่เป็นสิริมงคล
“เช่นนั้น ฉาเซียงยังสามารถกลับมาได้หรือไม่”
เขารีบหันไปมองสืออีเหนียงอย่างกระตือรือร้น