ถึงแม้ว่าจะได้เตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อได้ยินข่าว สืออีเหนียงก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้
“จากไปเร็วขนาดนี้…”
“คนที่ควรจะเจอก็ได้เจอแล้ว” ป้าซ่งพูดขึ้นเสียงเบา “ย่อมจากไปอย่างสงบเจ้าค่ะ”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ไท่ฮูหยินก็ได้สั่งให้อวี้ป่านสาวใช้ข้างกายไปเชิญนางมาพูดคุย
“…นางป่วยตาย อีกทั้งยังเสียชีวิตที่นั่น ข้าว่าเรื่องงานศพก็จัดที่นั่นเลยก็แล้วกัน!”
สืออีเหนียงขานรับ จากนั้นก็กลับไปเรียกป้าซ่งมาปรึกษาหารือเรื่องการจัดงานศพ
“…อย่างไรเสียก็ถือว่าได้เพิ่มชื่อเข้าในตระกูลแล้ว เป็นอนุที่ได้ให้กำเนิดบุตรชาย ตระกูลอื่นก็ช่างเถิด แต่ทางฝั่งญาติสนิทอย่างไรก็ต้องไปแจ้งข่าวสักคำ” ป้าซ่งกำลังพูดถึงประเพณีและขนบธรรมเนียม “เบื้องบนยังมีไท่ฮูหยินและท่านโหว บ่าวว่าใช้คนแปดคนแห่ขบวนศพ แล้วเชิญท่านอาจารย์ที่วัดฉือหยวนมาช่วยสวด ‘บทสวดส่งดวงวิญญาณ’ หลังผ่านเจ็ดวันไปแล้วค่อยนำไปฝัง ท่านเห็นว่าอย่างไรเจ้าคะ”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ
ป้าซ่งก็ได้พูดต่ออีกว่า “ส่วนเรื่องไว้ทุกข์ ตามกฎหากฮูหยินคนก่อนไม่อยู่แล้ว คุณชายน้อยสองคงจะต้องสวมชุดไว้ทุกข์ร่วมสามปี แต่ตอนนี้มีท่าน สามารถไว้ทุกข์เพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น ส่วนคุณชายน้อยสี่ คุณชายน้อยห้าและคุณหนูใหญ่…ต้องดูอีกทีว่าที่จวนจะวางแผนและจัดการอย่างไรเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงจึงได้ให้คนไปแจ้งเรื่องนี้กับสวีลิ่งอี๋ที่อยู่ลานนอก
หลินปัวก็ได้กลับมาบอกว่า “ท่านโหวบอกว่าให้คุณชายน้อยสองสวมเสื้อผ้าไว้ทุกข์เพียงแค่หนึ่งปีก็พอขอรับ”
สืออีเหนียงกำลังตั้งครรภ์ จึงไม่สามารถไปร่วมงานโดยตรงได้ ก็เลยให้เหวินอี๋เหนียงเป็นคนไปจัดการทางฝั่งลั่วเย่ว์แทน “…ไม่ว่าอย่างไรอวี้เกอก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น เรื่องบางเรื่องก็ยังต้องให้ผู้หลักผู้ใหญ่ชี้แนะถึงจะถูก”
เหวินอี๋เหนียงและฉินอี๋เหนียงเป็นคนที่เคยอาศัยอยู่เรือนเดียวกันมาเป็นสิบปี เดิมทีก็ไม่มีเรื่องบาดหมางกันอยู่แล้ว ตอนนี้ฉินอี๋เหนียงมาเสียชีวิตไป ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าสลด นางจึงพยักหน้าพร้อมกับทอดถอนใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็ไปเปลี่ยนเป็นชุดเรียบๆ ที่สะอาดสะอ้าน แล้วจึงพาสวีซื่อเจี้ยและเจินเจี่ยเอ๋อร์บุตรสาวและบุตรชายของอนุไปเคารพศพ
สวีซื่ออวี้กำลังเฝ้าศพอยู่ที่นั่น ถึงแม้ว่าจะไม่ส่งผลกระทบไปถึงในจวน แต่หากสูญเสียคนใดคนหนึ่งไป จิตใจของทุกคนก็พลอยเศร้าหมองไปด้วย
ร้องไห้แสดงความกตัญญู ท่องบทสวด ประกาศแจ้งเรื่องการเสียชีวิต หลังจากที่ผ่านเจ็ดวันแรกไปแล้ว สวีซื่ออวี้ก็ได้สวมชุดไว้ทุกข์กลับมาที่จวน
“…ข้าได้เขียนจดหมายให้ท่านอาจารย์เจียงเรียบร้อยแล้ว” เขาดูผอมลงค่อนข้างมาก สีหน้าแววตาดูนิ่งและใจเย็นกว่าเดิมมาก “บอกเล่าเกี่ยวกับสถานการณ์ที่บ้านให้ท่านอาจารย์ฟัง ให้ท่านอาจารย์ช่วยจดรายการหนังสือตำราให้ข้า ข้าอยากสร้างกระท่อมที่ลั่วเย่ว์สักหลังเพื่อไว้อาลัยให้กับอี๋เหนียง และถือโอกาสนี้ตั้งใจอ่านหนังสือตำราดีๆ ขอรับ”
สวีลิ่งอี๋จ้องมองใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับตน กรอบหน้าที่เห็นสันกรามชัดเจน จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วจึงพยักหน้าสื่อว่าอนุญาต
สวีซื่ออวี้ก็ได้คารวะบิดาแล้วตรงไปยังเรือนชั้นใน
เขาไปหาสืออีเหนียงก่อน บอกเรื่องที่เขาอยากจะสร้างกระท่อมที่ลั่วเย่ว์และเรื่องเรียนหนังสือกับสืออีเหนียง
คนที่ประสบความสำเร็จ ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งและแรงกล้า กักตัวอ่านหนังสือตำราอยู่แต่ในเรือนโดยที่ไม่ออกไปไหนหนึ่งปี สำหรับสวีซื่ออวี้ก็ถือว่าเป็นบททดสอบอย่างหนึ่ง
สืออีเหนียงจึงพยักหน้าเบาๆ หันไปจ้องมองใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของเขา อดไม่ได้ที่จะเตือนสติเขาว่า “ในเมื่อเจ้าได้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว ภายภาคหน้าหากเจอเรื่องยากลำบาก ก็จงอย่าได้ลืมความปรารถนาดั้งเดิมของตน”
แววตาของสวีซื่ออวี้สั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นเขาก็พยักหน้าเบาๆ ยกน้ำชาขึ้นมาดื่มอย่างเงียบๆ
บรรยากาศในห้องอึมครึมขึ้นมาเล็กน้อย
สืออีเหนียงรู้สึกว่าสวีซื่ออวี้เป็นเหมือนดังเขาวงกต ที่ทั้งคดโค้งและซับซ้อน ซุกซ่อนความลับไว้มากมาย นางเองก็เป็นคนเช่นนี้ แต่กลับรู้สึกไม่ชอบคนประเภทเดียวกัน นางรู้สึกชอบสวีซื่อจุนที่อ่อนโยนบริสุทธิ์และสวีซื่อเจี้ยที่ร่าเริงแจ่มใสและจริงใจเสียมากกว่า
สืออีเหนียงหัวเราะออกมาเบาๆ ทำลายบรรยากาศที่เงียบสงบนั้นไป “ได้ยินมาว่าที่ลั่วเย่ว์ไม่มีคนอาศัยนานแล้ว ข้าเองก็ไม่เคยไป ไม่รู้ว่าที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าไปครั้งนี้ ถึงแม้ว่าจะไปอาศัยแค่ปีเดียว แต่ก็ห้ามเลอะเลือนโดยเด็ดขาด ส่วนไหนที่ควรต่อเติมก็แค่สั่งให้บ่าวรับใช้กลับมาแจ้งก็พอ”
สวีซื่ออวี้ได้ยินแล้วก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ได้พูดขึ้นว่า “ข้าเองก็มีเรื่องที่จะขอร้องท่านจริงๆ”
สืออีเหนียงตั้งใจฟังเขาพูด
“ข้าอยากได้บ่าวรับใช้ชายสองคน สาวใช้น้อยสองคน ป้ารับใช้สองคนและบ่าวที่ใช้แรงงานอีกสองคนติดตามไปด้วยขอรับ” สวีซื่ออวี้พูดขึ้นช้าๆ ว่า “ถ้าจะให้ดีขอป้ารับใช้และบ่าวรับใช้ชายที่เป็นสองสามีภรรยา เช่นนี้จะดูแลง่ายหน่อย” เขาไม่ได้เจาะจงชื่อแซ่ น้ำเสียงฟังดูราวกับว่าต้องการให้สืออีเหนียงจัดคนให้ใหม่อย่างไรอย่างนั้น
สืออีเหนียงก็เลยนึกถึงเหลียนเจียวและเสี่ยวลู่จื่อขึ้นมา…จึงพอจะเข้าใจได้
“เดิมทีข้าอยากจะพาเหวินจู๋ที่อยู่ในเรือนข้าติดตามไปด้วย นางเป็นคนที่ปรนนิบัติรับใช้ข้ามานานที่สุด ทั้งยังได้ติดตามข้าไปที่เล่ออานด้วย นางคุ้นเคยงานในเรือนข้าเป็นอย่างดี หากมีนางติดตามไปด้วย จะมีคนที่คอยช่วยควบคุมดูแลเหล่าบรรดาสาวใช้ บ่าวรับใช้ชายหญิง หรือคนอื่นๆ ข้าเองก็จะสามารถอ่านหนังสือตำราได้อย่างสบายใจ”
เช่นนี้ก็ดี ถือว่าเป็นการเริ่มต้นใหม่ก็แล้วกัน!
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ “ข้าเข้าใจแล้ว”
จากนั้นนางก็เห็นสวีซื่ออวี้ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก
ทั้งสองพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง สวีซื่ออวี้จึงค่อยขอตัวลากลับ
สืออีเหนียงไปที่เรือนของไท่ฮูหยินเป็นเพื่อนเขา
หลังจากที่ไท่ฮูหยินรู้เรื่องว่าเขาจะไปสร้างกระท่อมที่ลั่วเย่ว์ ก็ได้พยักหน้ารับรู้เบาๆ กำชับกับเขาว่า “เจ้าควรไปบอกกล่าวกับป้าสะใภ้สองก่อนด้วย”
สวีซื่ออวี้ขานรับ ตรงไปยังเรือนของฮูหยินสองทันที
ไท่ฮูหยินให้สืออีเหนียงอยู่คุยด้วยต่อ “…เช่นนั้นก่อนที่สวีซื่ออวี้จะเดินทางไปที่ลั่วเย่ว์ ก็เปลี่ยนเหล่าบรรดาสาวใช้และป้ารับใช้ใหม่ให้เสร็จสรรพก่อนก็แล้วกัน อันไหนที่ควรชำระสะสางก็จัดการเสียให้เรียบร้อย!”
สืออีเหนียงขานรับ ให้เจินเจี่ยเอ๋อร์และป้าซ่งไปช่วยคัดเลือกสาวใช้และป้ารับใช้ของแต่ละเรือน
ป้าซ่งรู้ว่าสืออีเหนียงอยากให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้เรียนรู้งานไปด้วย นางจึงคอยชี้แนะอยู่ข้างๆ ด้วยความเอาใจใส่ ใช้เวลาไปราวสี่ห้าวันก็เลือกสาวใช้ได้สิบกว่าคน จากนั้นก็แบ่งไปตามแต่ละเรือน ส่วนสาวใช้ที่อายุมากแล้วก็แต่งตั้งตำแหน่งให้ บางคนก็ถูกส่งไปที่สวนไร่นา คนที่ป่วยตายหรือประสบอุบัติเหตุ ล้วนเป็นเรื่องที่เอาไว้คุยกันตอนหลัง
สวีซื่ออวี้ตั้งชื่อให้สาวใช้ว่า ‘เซียงจู๋’ และตั้งชื่อให้บ่าวรับใช้ชาย ‘ว่ามั่วจู๋’ และ ‘ซือจู๋’ ตามชื่อของเหวินจู๋
“หวังว่าพวกเจ้าจะเหมือนเช่นเหวินจู๋ ไม่พ่ายแพ้ต่อหิมะที่ประสบพบเจอ แม้ว่าจะหนาวเหน็บแต่ก็เข้มแข็งมิหวาดหวั่น”
บิดามารดาของทั้งสามคนเป็นเพียงบ่าวรับใช้ระดับล่างของจวน การที่ถูกเลือกถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างมาก จึงพากันขานรับอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “เจ้าค่ะ ขอรับ”
สวีซื่ออวี้จ้องมองทั้งสามคนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านบนเตียงเตาใหญ่ริมหน้าต่าง
เหวินจู๋ก็รีบพาบ่าวรับใช้คนใหม่ถอยออกไป
สวีซื่ออวี้จึงค่อยวางหนังสือลง จ้องมองไปยังต้นการบูรที่เขียวชอุ่มนอกหน้าต่างด้วยอาการเหม่อลอย
ตอนที่อี๋เหนียงสิ้นใจ นางทรมานเป็นอย่างมาก
นางร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดตลอดทั้งคืน ทั้งกระอักเลือดและเรียกชื่อของเขาไม่หยุดหย่อน…
ตนไม่กล้าที่จะสืบสาวราวความ
การที่อี๋เหนียงกระอักเลือดจนเสียชีวิต เป็นเพราะนางป่วยระยะสุดท้ายหรือว่ามีสาเหตุอื่นกันแน่
ตนทำได้เพียงแค่กุมมือของอี๋เหนียงแน่น ปล่อยให้น้ำตาไหลพรากท่วมใบหน้า
สวีซื่ออวี้ค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้าๆ
คำพูดของฮูหยินสองยังคงดังก้องอยู่ในหัวของเขา ‘ความสัมพันธ์ระหว่างคนด้วยกันเราถือว่าเป็นบุพเพสันนิวาส บางทีเจ้ากับอี๋เหนียงอาจมีวาสนาต่อกันเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น ก็เหมือนเสี่ยวลู่จื่อ ข้าส่งให้เขาไปปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายเจ้า เวลาที่เจ้าเกิดอะไรขึ้น ก็จะได้มีคนมาแจ้งข่าวกับข้า ใครจะไปรู้ว่าเขาจะเผาตัวเองเข้าไปในกองไฟด้วย นี่ก็ถือเป็นวาสนาระหว่างพวกเจ้า ก็ไม่จำเป็นต้องนำมาคิดฟุ้งซ่านให้ไม่สบายใจ ทุกสรรพสิ่งในใต้หล้านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นวัฏจักรที่ต้องวนเวียนกลับมาทั้งสิ้น เหมือนบุปผาที่บานและร่วงโรย ที่มีทั้งช่วงเวลาที่เบ่งบานและช่วงเวลาที่เหี่ยวเฉาโรยรา เพียงแต่ว่าบุปผาบางดอกอาจจะเบ่งบานได้ยาวนาน และบางดอกอาจจะเบ่งบานได้เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น…’
เสี่ยวลู่จื่อเป็นคนที่เข้ามาหลังสุด ถึงแม้ว่าจะรู้เรื่องเหล่านั้นแล้วอย่างไรเล่า
หากว่าเขาไม่ใช่บ่าวรับใช้ของตน แต่เป็นบ่าวรับใช้ของท่านพ่อหรือเป็นของท่านอาห้า เกรงว่าจุดจบคงจะไม่เหมือนกันกระมัง
เมื่อนึกถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็เกิดรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
จากนั้นก็มีคนเดินเข้ามาอย่างเบามือเบาเท้า “คุณชายน้อยสอง คุณชายน้อยใหญ่กับคุณชายน้อยสามมาเยี่ยมท่านเจ้าค่ะ!”
“เชิญพวกเขาเข้ามา!” สวีซื่ออวี้หันหน้าหนี ยกมือขึ้นแอบเช็ดคราบน้ำตาแล้วจึงค่อยนั่งตัวตรง
“เหตุใดถึงต้องไปที่ลั่วเย่ว์ด้วยเล่า” สวีซื่อเจี่ยนยังคงเป็นคนที่ตรงไปตรงมาอย่างเช่นเคย “อยู่ที่จวนไม่เหมือนกันหรือ เหตุใดถึงต้องยึดติดกับรูปแบบเช่นนี้”
“ข้าก็เพียงแค่ต้องการสงบจิตสงบใจ” สวีซื่ออวี้ชี้ไปยังถ้วยน้ำชาที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา เชื้อเชิญให้พวกเขาดื่มชา “ใคร่ครวญไตร่ตรอง ว่าภายภาคหน้าจะทำอย่างไร”
“ท่านน่ะกังวลใจเกินกว่าเหตุ” สวีซื่อเจี่ยนไม่ได้คิดเช่นนั้น “แม้แต่ท่านก็ยังต้องกังวลใจ แล้วพวกข้าเล่าจะทำอย่างไร” เขาพูดพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ “ครั้งนี้กานเหล่าเฉวียนได้รับคำสั่งจากบิดาของเขา ให้กลับเมืองเยี่ยนจิงเพื่อเซ่นไหว้นายท่านปั๋วคนก่อนของจวนจงฉินปั๋ว ฟังจากน้ำเสียงของเขาแล้ว สถานการณ์ทางฝั่งบิดาของเขาค่อนข้างแย่ มารดาของเขาก็เลยให้เขาไปแจ้งข่าวกับทางฝั่งท่านตาและท่านลุงของเขา ให้ทางฝั่งท่านตาและท่านลุงของเขาช่วยสร้างเรือนในเมืองเยี่ยนจิงสักหลัง เตรียมตัวขนย้ายข้าวของที่มีค่ากลับมา ถึงเวลาจะได้ไม่ต้องยุ่งวุ่นวายจนลืมข้าวของ”
สวีซื่ออวี้ได้ยินแล้วก็อึ้งไปเล็กน้อย “ร้ายแรงขนาดนั้นเชียวหรือ”
สวีซื่อเจี่ยนทอดถอนใจออกมาเบาๆ “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ทั้งสองก็พากันหันไปมองสวีซื่อฉินที่โตกว่า
สวีซื่อฉินไม่อยากจะพูดเรื่องเหล่านี้ เขาจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านแม่เป็นคนที่ระมัดระวังมาโดยตลอด ครั้งนี้ก็เป็นเพราะกังวลใจเท่านั้น” จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องไปคุยอย่างอื่นแทน และได้ถามสวีซื่ออวี้ว่า “ทางฝั่งลั่วเย่ว์เดินทางสะดวกสบายหรือไม่ วันข้างหน้าพวกข้าสามารถไปเยี่ยมเจ้าบ่อยๆ ได้หรือไม่”
“สะดวกสบาย!” สวีซื่ออวี้และสวีซื่อฉินต่างก็รู้ใจกันอยู่แล้ว แน่นอนว่าสวีซื่ออวี้ย่อมมองเจตนาของเขาออก จึงได้พูดกับเขาว่า “อีกทั้งยังห่างไกลและทุรกันดาร เป็นที่ที่เหมาะสมแก่การอ่านหนังสือเป็นอย่างยิ่ง” พูดจบเขาก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง “ปีนี้ข้าอายุสิบสี่ หลังจากไว้ทุกข์ครบหนึ่งปี ข้าก็จะอายุสิบห้าแล้ว…ข้าไม่อยากจะลงสอบตอนวัยรู้ชะตาฟ้าลิขิตแล้ว”
ในเมื่อเดินอยู่บนถนนสายนี้แล้ว หากไม่มีชื่อปรากฏอยู่บนประกาศของผู้สอบผ่าน ก็จะไม่สามารถสร้างครอบครัวด้วยตัวเองเพียงลำพังได้
สวีซื่อฉินเข้าใจในความหมายของสวีซื่ออวี้ เขาจึงพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ดี หากอยู่ที่จวนก็จะมีสิ่งที่ต้องทำมากมายจนเกินไป” จากนั้นเขาก็ได้นึกถึงคำพูดของสวีซื่อเจี่ยนน้องชายของเขาที่มักจะชอบพูดจาตามอำเภอใจ กลัวว่าหากพูดมากไปกว่านี้ สวีซื่อเจี่ยนที่พูดออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ จะถูกคนที่ประสงค์ร้ายนำไปเล่าต่อด้วยเจตนาที่ไม่ดี พลอยทำให้สวีซื่ออวี้ลำบากใจได้ เขาจึงพูดขึ้นว่า “แล้วเจ้าจะเดินทางตอนไหน ถึงเวลานั้นพวกข้าทั้งสองจะไปส่งเจ้าเดินทางด้วย!”
“ท่านอาจารย์ของวัดฉือหยวนจะสวด ‘บทสวดส่งดวงวิญญาณ’ ให้อี๋เหนียงเจ็ดวัน ข้าก็เลยจะเดินทางพรุ่งนี้”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็มาหาพอดี
“ที่นั่นห่างไกลและยังทุรกันดาร ข้าคิดว่าคงจะมียุงมดแมลงค่อนข้างเยอะ” นางนำธูปหอมไล่ยุงมาจำนวนหนึ่ง และยังมีเสื้อผ้าอาภรณ์รวมไปถึงถุงเท้ารองเท้ามาให้เขา “พี่สองนำไปใช้ก่อน หากว่าใช้ดี ไว้ข้าจะทำให้ใหม่”
สวีซื่ออวี้ตื้นตันใจเป็นอย่างมาก เพราะเรือนนอกและเรือนในมีการแบ่งแยกชัดเจน จึงทำได้แค่เชิญเจินเจี่ยเอ๋อร์อยู่ดื่มชาเพียงถ้วยเดียวเท่านั้น
จากนั้นสวีซื่อฉินก็เดินออกไปส่งเจินเจี่ยเอ๋อร์ที่หน้าประตู
“ได้ยินมาว่าช่วงนี้น้องหญิงใหญ่กำลังช่วยท่านอาสะใภ้สี่ดูแลจัดการธุระในจวนหรือ”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า “ก็ไม่ถึงขั้นดูแลจัดการ เพียงแต่ว่าช่วงนี้ท่านแม่ไม่ค่อยสบายตัว ป้าซ่งเองก็เป็นเพียงแค่บ่าวรับใช้ ก็เลยอาศัยนามของข้าไปใช้ก็เท่านั้น” น้ำเสียงของนางค่อนข้างถ่อมตนและสุภาพอ่อนโยน
สวีซื่อฉินพยักหน้าเบาๆ ด้วยจิตใจที่ไม่ค่อยอยู่เนื้อกับตัวพร้อมกับพูดขึ้นว่า “แล้ว…แล้วน้องหญิงใหญ่ยังได้ติดตามท่านอาสะใภ้สี่ออกไปข้างนอกบ่อยๆ เช่นเดิมอยู่หรือไม่”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ชะงักไปชั่วขณะ
สวีซื่อฉินจึงพูดต่อไปว่า “ข้าหมายถึงน้องหญิงใหญ่เคยติดตามท่านอาสะใภ้สี่ไปเยี่ยมกานไท่ฮูหยินหรือไม่”
เรื่องบางเรื่อง เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็ได้ยินลางๆ มาบ้าง
ท่านตาของสวีซื่อฉินผิดใจกันกับจงฉินปั๋วคนปัจจุบันเพราะเรื่องแบ่งมรดก ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองตระกูลยังสู้เพื่อนบ้านไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเขาถามมาเช่นนี้ ก็นึกถึงเรื่องเมื่อวานที่เรือนของสืออีเหนียงขึ้นมา สืออีเหนียงและอาจารย์เจี่ยนได้พูดถึงเรื่องนายท่านปั๋วคนก่อนว่าเดือนหน้าก็จะสิ้นสุดการไว้ทุกข์แล้ว จงฉินปั๋วและฮูหยินกำลังยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมสินเดิมให้คุณหนูสามเฉาเอ๋อร์และคุณหนูใหญ่เสียนเจี่ยเอ๋อร์เพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้กับวงศ์ตระกูล…
นางพูดขึ้นอย่างสุภาพว่า “ท่านแม่กำลังตั้งครรภ์ ก็เลยยังไม่ได้ออกไปไหน แต่ทว่า ข้าเคยได้ยินท่านแม่พูดคุยกับอาจารย์เจี่ยนว่าจวนสกุลกานกำลังเตรียมจะให้คุณหนูสามแต่งงานออกเรือนไปก่อน แล้วจึงค่อยให้คุณหนูใหญ่แต่งงานออกเรือน ส่วนเรื่องงานแต่งของย่วนเจี่ยเอ๋อร์เกรงว่าคงจะต้องเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้าเสียแล้ว”
สวีซื่อฉินครุ่นคิดพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ เขาเดินไปส่งเจินเจี่ยเอ๋อร์จนถึงหน้าประตู แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก