เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค – ตอนที่ 491 ซูซูที่ยิ่งแพ้ยิ่งกล้า (4)

ตอนที่ 491 ซูซูที่ยิ่งแพ้ยิ่งกล้า (4)

ทว่าตอนที่นางแอบอยู่ในที่ลับกลับเห็นใจความส่วนหนึ่งในกระดาษไปแล้ว

อวิ๋นอิ๋นแอบสัมผัสได้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยเกิดความสงสัยต่อนาง หลายวันมานี้นางเชื่อฟังไม่ตุกติกมาตลอด

ทว่าหลังจากที่เห็นชูอีเผากระดาษให้กลายเป็นเถ้าธุลีทีละแผ่นๆ แล้ว อวิ๋นอิ๋นจึงได้รู้ว่าในนี้ต้องมีความลับที่ไม่อาจบอกใครอยู่แน่!

ทันใดนั้นความคิดนางก็แล่นวาบขึ้น!

นางจะบอกเรื่องนี้กับคุณชาย!

อวิ๋นอิ๋นเดินออกจากห้องครัวด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง นางอดพินิจมองรอบด้านไม่ได้ เมื่อพบว่าไม่มีใครตามนางมาและไม่มีใครจับตาดูนาง ในที่สุดนางก็วางใจลงได้บ้างแล้ว!

ทว่านางยังคงไม่กล้าประมาท มือถือเครื่องมือตัดผลไม้เดินขึ้นเขาไปคนเดียว

ชังมู่นำคนที่มาจากชายแดนตะวันตกคารวะมั่วเชียนเสวี่ยอย่างเป็นระเบียบแบบแผน

บรรดาผู้ติดตามไม่ได้สลักสำคัญอะไร ชังมู่จึงแนะนำแค่ทูตสำคัญๆ ให้มั่วเชียนเสวี่ย

ทูตที่ติดตามชังมู่มารวมถึงตัวเขาเองแล้วมีทั้งหมดสี่คน

คนที่รั่วสุ่ยส่งมาแต่งตัวเหมือนบัณฑิต ทั้งยังแซ่อวี่ด้วย

คนที่แม่ทัพสองนายส่งมาคือแม่ทัพใต้บังคับบัญชาของตัวเอง คนหนึ่งแซ่จาง อีกคนแซ่หลิว

หลังจากแนะนำทั้งคู่เสร็จ แม่ทัพจางก็เอาแต่คุยจ้อไม่ได้หยุดเลย

เขาก็เคยเป็นคนติดตามท่านกั๋วกงมาก่อนเช่นกัน ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่จึงเอาแต่คิดถึงช่วงเวลาที่ท่านกั๋วกงตอนอยู่ที่ชายแดนตะวันตกอย่างน่าเกรงขาม

มั่วเชียนเสวี่ยฟังแล้วแปลกใจไม่น้อย

คราก่อนตอนที่ชังมู่กับอวี่เสวียนมาหา กลับไม่ได้พูดมากพูดมายเช่นนี้

พอทั้งคู่ถ่ายทอดคำสั่งของหัวหน้าเผ่าเสร็จอย่างเงียบๆ ก็ไปจัดการให้บรรลุผลเลย

มั่วเชียนเสวี่ยนึกว่าคนของชายแดนตะวันตกเป็นคนพูดน้อยด้วยซ้ำ

ทว่าเมื่อได้มาเจอแม่ทัพจางผู้นี้คงต้องปฏิเสธสิ่งที่เคยคิดไว้เมื่อก่อนหน้านี้ทั้งหมดเสียแล้ว

“คุณหนูใหญ่! ท่านคงไม่รู้ว่าตอนนั้นท่านพ่อของท่านห้าวหาญชาญชัยเพียงใด! ศึกในครานั้นท่านกั๋วกงมีแค่หอกด้ามหนึ่งกับม้าคู่ใจ…”

บุรุษผู้นี้ช่างคุยเก่งนัก ทำเอามั่วเชียนเสวี่ยมึนงงไปหมด

ชังมู่กับอวี่เสวียนในเวลานี้หามุมเงียบสงบในห้องโถงจู๋จี๋กันไปนานแล้ว

“หมู่นี้คุ้นชินกับทางเมืองหลวงหรือยัง”

ชายชาตรีไม่คุยอย่างอ่อนโยนและนุ่มนวลดุจสายน้ำ แต่อย่างไรเสียไม่ได้พบหน้ามาตั้งนานนมแล้วจึงคิดถึง

เมื่อก่อนพวกเขาแทบจะเจอหน้ากันทุกวัน

อวี่เสวียนพยักหน้าน้อยๆ ด้วยสีหน้าแดงระเรื่อผิดปกติ

“ดียิ่งนัก คุณหนูใหญ่ช่างเป็นคนจิตใจดีงามยิ่งและดีกับพวกเรามากด้วย อีกทั้งคุณหนูใหญ่ก็จิตใจกว้างขวางที่พวกเราไม่อาจเทียบได้เลย! พวกเราติดตามถูกคนแล้ว!”

ในขณะที่กำลังพูดถึงมั่วเชียนเสวี่ยนั้น ราวกับดวงหน้าของอวี่เสวียนเปล่งแสงได้อย่างไรอย่างนั้น

แรกเริ่มนางไม่เคยนึกถึงมาก่อนจริงๆ ว่าสตรีที่ถูกเลี้ยงดูในห้องหับลึกจะกล้าหาญเด็ดเดี่ยวได้เพียงนี้

แม้แต่บุตรชายบุตรสาวในยุทธภพและผู้อาวุโสที่ท่องเที่ยวในหลายปี เมื่อมาอยู่ต่อหน้ามั่วเชียนเสวี่ยแล้วก็ยังเทียบได้ไม่เลย

จวนกั๋วกงมีเรื่องใหญ่ถึงเพียงนั้นเกิดขึ้น นางไม่ตระหนกและลนลานเลยสักนิด ซ้ำยังไม่ร้องสักแอะด้วย

น้ำตาของนางมีไว้ให้แค่ตอนที่มั่วหมัวมัวจากไปไม่กี่หยดเท่านั้น

ความดีใจของอวี่เสวียนถ่ายทอดมาสู่ชังมู่ด้วย

เขารู้จักอวี่เสวียนเป็นอย่างดี คนที่ถูกอวี่เสวียนนับถือได้จะต้องเป็นคนไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ส่วนเขาก็เคยได้สัมผัสกับความใจเย็นและสติปัญญาที่ไม่ธรรมดาของคุณหนูใหญ่มาตั้งนานแล้วด้วย

บุตรสาวสายตรงเพียงคนเดียวของมั่วกั๋วกงมีความสามารถเช่นนี้ได้ เขาย่อมปรีดาอยู่แล้ว

“เช่นนั้นก็ดี! ดีแล้วล่ะ!”

ชังมู่ไม่รู้เหมือนกันว่าควรพูดอะไร เขาไม่ใช่คนช่างพูดช่างจา และไม่ได้ทำงานอยู่ข้างกายมั่วเชียนเสวี่ยจึงพูดเหตุและผลอะไรไม่ได้

ทั้งสองพลอดรักต่อกันแล้ว อวี่เสวียนถามว่า “จริงสิ! จู่ๆ พวกเจ้าก็มาเมืองหลวงมีเรื่องสำคัญอะไรรึ”

โดยปกติแล้วชาวชายแดนตะวันตกจะไม่ออกมาเจรจาหารือกับชาวจงหยวน

อีกทั้งครานี้คนที่มาก็ยังเป็นตัวแทนเผ่าที่มีตำแหน่งฐานะสูงเหมือนอย่างชังมู่ด้วย

ผู้ที่ร่วมเดินทางมาด้วยยังมีเผ่ารั่วสุ่ย ที่ปรึกษาข้างกายบิดาของนางและคนของแม่ทัพทั้งสอง รวมถึงองครักษ์มากมายนั่นอีก

อวี่เสวียนเข้าใจว่าที่พวกเขามาในครานี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ

ชังมู่ได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ

“หัวหน้าเผ่าทั้งสองกับสองแม่ทัพกองทัพตระกูลมั่วที่เฝ้ารักษาการณ์ด่านซีกวนได้รับข่าวว่าเกิดเรื่องขึ้นกับคุณหนูใหญ่ โทสะคุกรุ่นยากจะดับ เดาว่าเรื่องนี้คงเกี่ยวข้องกับคนผู้นั้นบนบัลลังก์มังกรเป็นแน่ ดังนั้นจึงให้พวกเรามาเจรจา”

“เจรจาอย่างนั้นรึ” อวี่เสียนตกใจ

นี่มันเรื่องสำคัญระดับไหนกันจึงได้ใช้คำว่าเจรจาเช่นนี้

ในขณะเดียวกันนั้นเอง แม่ทัพจางก็เอ่ยถึงเจตนาในการมาครานี้ขึ้นมา

มั่วเชียนเสวี่ยก็ตกใจเหมือนกับอวี่เสวียนเช่นกัน

เป็นเพราะเรื่องไฟไหม้ที่จวนกั๋วกงในคืนนั้น หัวหน้าเผ่าทั้งสองกับแม่ทัพทั้งสองจึงได้ส่งคนมาสนับสนุนนางอย่างนั้นรึ

แม่ทัพจางพยักหน้าให้ ก่อนเอ่ยด้วยพลังเต็มเปี่ยม

“เจ้าคือเลือดเนื้อเชื้อไขหนึ่งเดียวของมั่วกั๋วกง และเป็นเจ้านายของกองทัพตระกูลมั่วของพวกเรา พวกเราจะปล่อยให้เจ้านายตัวเองตกอยู่ในอันตรายโดยไม่สนใจได้อย่างไร”

“อีกอย่างพวกเราก็ต่างรู้ดีว่าเรื่องนี้มันเป็นมาอย่างไร ส่วนใหญ่ก็เกี่ยวข้องกับอำนาจทางการทหารของกองทัพตระกูลมั่วและอำนาจทางการทหารของสองเผ่า ดังนั้นหากพวกเรายังไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยในตอนนี้แล้วจะเป็นเวลาไหนอีก”

เสียงนี้ทะลุทะลวงเสียจนทำให้แก้วหูมั่วเชียนเสวี่ยหนวกไปชั่วขณะ

ทว่าเมื่อมั่วเชียนเสวี่ยเห็นแม่ทัพจางพูดถึงเรื่องนี้แล้วเขาเกิดโทสะขึ้นมา สีหน้าของเขาเดือดดาล ซ้ำยังออกตัวปกป้องนางอย่างเห็นได้ชัดด้วย นางจึงไม่เคียดแค้นอะไรขึ้นมาสักนิด

คนเหล่านี้เร่งรุดเดินทางกันทั้งวันทั้งคืนมาถึงที่นี่โดยไม่กลัวลำบากก็เพื่อตนมิใช่หรือ

ถึงแม้ว่าที่พวกเขาดีกับตนจะเป็นเพราะบิดานางอย่างมั่วเทียนฟั่งก็ตาม

แต่มั่วเชียนเสวี่ยก็ยังซาบซึ้งอยู่ดี

เดิมคิดว่าจะพูดคุยอย่างสบายอกสบายใจเสียหน่อย

ทว่าในยามนี้มั่วเชียนเสวี่ยนกลับนึกถึงถ้อยคำที่หนิงเซ่าชิงบอกเล่าในกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาได้

“แม่ทัพจาง ไม่ใช่ว่าบ้านไร่แห่งนี้รังเกียจทั้งสองท่าน แต่ในเมื่อพวกเจ้ามากันแล้ว หากไม่ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเป็นอย่างแรกแล้วรั้งอยู่ข้างกายเชียนเสวี่ย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เหมาะอยู่ดี!”

ดังนั้นแล้ว…

“คุณหนูใหญ่มั่วพูดถูก! พวกเราจะมาเยี่ยมแต่คุณหนูใหญ่อย่างเดียวแล้วไม่ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทไม่ได้”

ชังมู่ยามนี้กลับมาด้วยกันกับอวี่เสวียนแล้ว ได้ยินประโยคนี้ของมั่วเชียนเสวี่ยพอดี ก็เห็นด้วยเป็นอย่างมาก

แม้ว่ายามนี้พวกเขาจะไม่หวาดกลัวเพราะถือว่ามีคนหนุนหลัง แต่อย่างไรเสียเบื้องบนก็ยังมีราชวงศ์เทียนฉีอยู่

ตราบใดที่ยังมีราชวงศ์นี้อยู่เบื้องบน พวกเขาก็ยังคงเป็นชาวเทียนฉีอยู่

หากเรื่องที่เข้าเมืองมาแล้วไม่เข้าเฝ้าฝ่าบาทแพร่ออกไป คนอื่นคงได้คิดว่ากองทัพตระกูลมั่วกับสองเมืองนี้คิดคดกบฏเป็นแน่!

เช่นนั้นคงได้อ้างกับฝ่าบาทให้ประหารมั่วเชียนเสวี่ยทันทีแน่

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

Status: Ongoing

เพราะสำลักน้ำชาจนขาดอากาศ(?)ทำให้ มั่วเชียนเสวี่ย สาวมั่นหัวการค้าทะลุมิติมาอยู่ในโลกยุคโบราณและในร่างของคนอื่น

แต่นั่นยังไม่น่าตระหนกเท่าการที่ร่างนี้กำลังจะแต่งงานเพื่อแก้เคล็ดให้กับชายหนุ่มที่ป่วยร่อแร่เต็มที!

ในโลกที่หากขาดที่พึ่งผู้หญิงก็สามารถถูกขายเป็นทาสได้ตลอดเวลาสามีคนนี้ของนางนับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว

ทั้งมีความรู้ สุภาพและไม่ใช้กำลังแถมหน้าตายังหล่อเหลาอีกด้วย เสียตรงร่างกายอ่อนแอไปหน่อยเท่านั้น

ชีวิตครอบครัวชนบทแสนยากจนของนางจึงเริ่มขึ้นที่ตรงนั้น… แต่อย่างไรนางไม่ยอมงอมืองอเท้ารับชะตากรรมแบบนี้แน่

ในเมื่อนางมีความรู้ความสามารถยังต้องกลัวสร้างกิจการไม่ได้อีกหรือ?!

เส้นทางร่ำรวยสายนี้นางจะบุกเบิกมันขึ้นมาด้วยตนเอง! และหวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นด้วยดี

เพราะเหมือน ‘ร่างนี้’ ของนางกับฐานะเดิมของสามีเหมือนจะไม่ค่อยธรรมดาเสียด้วยสิ…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท