ช่วงวัยเด็กถือเป็นความสุขที่บริสุทธิ์ที่สุด คืนวันเช่นนี้ไม่ได้มีมากมายเท่าไรนัก
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับลูบศีรษะของสวีซื่อเจี้ยเบาๆ “พวกเจ้าพากันไปหมด แล้วใครจะช่วยข้าดูแลจิ่นเกอเล่า”
จิ่นเกอที่อายุราวสิบเอ็ดเดือนกำลังซนได้ที่ หากคลาดสายตาก็ปีนขึ้นบนโต๊ะบนเตียงเตาทันที หยิบจับอะไรได้ก็เอาเข้าปากหมด อุ้มไว้ในอ้อมกอดก็ดิ้นจะลงให้ได้ ขาน้อยๆ เอาแต่ถีบท้องคนอุ้มไม่หยุด จะลงไปเล่นที่พื้นให้ได้ ใครที่อุ้มเขาก็ล้วนแล้วแต่ต้องตั้งสติและสมาธิให้ดี เพียงแต่ว่าเขายังไม่เริ่มฝึกพูด เข้าหาใครก็เอาแต่ส่งเสียงร้อง อือๆ เท่านั้น สืออีเหนียงเป็นห่วงอย่างมาก แต่ไท่ฮูหยินรู้สึกว่านางกังวลเกินกว่าเหตุ ‘กว่าเจ้าสี่จะเริ่มพูดก็ปาเข้าไปขวบครึ่ง ตอนนี้เขาพึ่งจะอายุสิบเอ็ดเดือนเอง’
สืออีเหนียงเองก็ไม่แน่ใจว่าเด็กอายุสิบเอ็ดเดือนส่วนใหญ่นั้นเริ่มฝึกพูดกันแล้วหรือยัง เวลาว่างๆ ก็จะอุ้มเขามาสอนเรียกสิ่งของที่อยู่ในเรือน
สวีซื่อเจี้ยได้ยินแล้วดวงตาก็ลุกวาวขึ้นมาทันที เขายิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าอยู่เล่นกับจิ่นเกอที่เรือนเองขอรับ”
สวีซื่อจุนได้ยินแล้วก็รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก พูดขึ้นว่า “เช่นนั้น…เช่นนั้นข้าค่อยซื้อของอร่อยมาฝากพวกเจ้าก็แล้วกัน!”
“ดีเลย!” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ตอนกลับมาก็มาเล่าให้ข้าฟังว่าตอนเดินเขาได้เจออะไรบ้าง ข้าเองก็ไม่เคยเดินเขาเลยสักครั้ง!”
สวีซื่อจุนขานรับด้วยความดีใจ
จากนั้นสืออีเหนียงก็เดินไปส่งสองพี่น้องที่หน้าประตู
ป้าซ่งก็เข้ามาหาพอดี “ใกล้จะถึงวันออกทุกข์ของฉินอี๋เหนียงแล้วเจ้าค่ะ…”
“จัดตามขนบธรรมเนียมก็แล้วกัน!” สืออีเหนียงพูดขึ้นพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ
ป้าซ่งขานรับแล้วถอยออกไป
เมื่อถึงเวลาก็ได้เชิญนักบวชและแม่ชีมาสวดบทสวดเจ็ดวัน หลังจากที่สวีซื่ออวี้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดปกติทั่วไปแล้ว เขาก็กลับจวนมาคารวะสวีลิ่งอี๋ ไท่ฮูหยินและสืออีเหนียง
สวีลิ่งอี๋ถามไถ่ถึงการเรียนของเขา ส่วนไท่ฮูหยินนั้นถามไถ่ถึงสุขภาพร่างกายของเขา เมื่อมาถึงเรือนของสืออีเหนียง ก็เห็นแม่นมกู้แม่นมของจิ่นเกอและป้าวั่นป้ารับใช้ที่อยู่ในเรือนของจิ่นเกอกำลังยืนคุยกันอยู่ใต้ชายคา จึงค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ
เหวินจู๋เลยพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ฮูหยินสี่ดูแลคุณชายน้อยหกด้วยตนเอง ได้ยินมาว่าหลังจากครบหนึ่งขวบแล้วจะให้คุณชายน้อยหกหย่านมเจ้าค่ะ”
ในเมื่อรักลูกขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่ให้จิ่นเกอดื่มนมแม่ให้นานกว่านี้หน่อย!
สวีซื่ออวี้แอบรู้สึกแปลกใจ เขาตอบ “อืม” เสียงเบา จากนั้นก็เดินตามหลังชิวอวี่ไปยังห้องปีกทิศตะวันออก ไม่ได้สนใจสาวใช้และป้ารับใช้ที่พากันย่อตัวทำความเคารพเขาแต่อย่างใด
สืออีเหนียงและจิ่นเกอกำลังนั่งอยู่บนเตียงเตาใหญ่ริมหน้าต่างของห้องปีกทิศตะวันออก โต๊ะของเตียงเตาถูกยกออกไปแล้ว สืออีเหนียงนั่งอยู่ริมเตียงเตา ส่วนจิ่นเกอนั่งอยู่ตรงกลางของเตียงเตา มือของเขากำลังถือไม้ที่ใช้เคาะมู่อวี๋[1]อยู่ ข้างๆ เขาเรียงรายไปด้วยของจำพวกถ้วย จาน มู่อวี๋และกลองเล็ก จิ่นเกอกำลังใช้ไม้เคาะอย่างสนุกสนาน
พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นสวีซื่ออวี้ที่กำลังเดินเข้ามาพอดี เขาก็ส่งยิ้มกว้างให้กับสวีซื่ออวี้ทันที เผยให้เห็นฟันสองซี่น้อยๆ ของเขา
รอยยิ้มที่บริสุทธิ์ไร้ซึ่งสิ่งเจือปนใดๆ พุ่งเข้าหาสวีซื่ออวี้อย่างจัง
“น้องหกโตขนาดนี้แล้วหรือ!” เขาจ้องมองจิ่นเกอด้วยสีหน้าที่แปลกใจ
สืออีเหนียงอุ้มจิ่นเกอไว้ในอ้อมกอดพร้อมกับพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้ากลับมาแล้วหรือ ระหว่างทางราบรื่นดีหรือไม่”
สวีซื่ออวี้เพิ่งนึกขึ้นได้ เขาจึงรีบทำความเคารพสืออีเหนียงทันที
“ทำท่านแม่เป็นห่วงแล้ว ทุกอย่างราบรื่นดีขอรับ!”
เป็นเพียงบทสนทนาสั้นๆ แต่จิ่นเกอทั้งกระโดดและดีดตัวอยู่ในอ้อมแขนของสืออีเหนียงไม่หยุด พยายามจะหันไปเคาะถ้วยชามเหล่านั้นให้ได้
สืออีเหนียงไม่อยากจะรบกวนความสนใจของเด็ก จึงยิ้มเพื่อเป็นการขอโทษสวีซื่ออวี้ “เขานิสัยค่อนข้างซุกซน!” จากนั้นนางก็วางจิ่นเกอลงไว้ข้างๆ
จิ่นเกอรีบคลานไปหากลองเล็กทันที แต่กลับสังเกตเห็นว่าไม้เคาะในมือที่ตนถือไว้เมื่อครู่นี้หายไป จึงหันซ้ายหันขวาตามหาด้วยความตกใจ จากนั้นก็คลานกลับไปเก็บไม้เคาะขึ้นมา แล้วจึงคลานกลับไปหากลองเล็ก แต่ไม้เคาะก็หายไปอีกครั้ง เขาจึงเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาทันที หันไปมองสืออีเหนียงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงหันไปมองสวีซื่ออวี้ เมื่อเห็นว่าทั้งสองไม่ได้สนใจเขาเลย จึงร้องไห้โวยวายเสียงดังลั่น
สวีซื่ออวี้รู้สึกว่าเขาน่าสนใจเป็นอย่างมาก จึงเดินเข้าไปเก็บไม้เคาะแล้วยื่นให้กับจิ่นเกอโดยที่ไม่คิดอะไรมาก
จิ่นเกอหยุดร้องทันที ใบหน้าที่เดิมทีเต็มไปด้วยคราบน้ำตา แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างส่งให้กับสวีซื่ออวี้
สวีซื่ออวี้จึงยื่นมือไปลูบศีรษะของเขาเบาๆ อย่างไม่รู้ตัว
จิ่นเกอไม่ได้สนใจเขา ก้มหน้าก้มตาตีกลองเล็กต่อ ในเรือนก็เริ่มมีเสียงตีกลองดังเบาสลับกันไป เสียงเคาะค่อนข้างดังและไม่เป็นจังหวะ
สวีซื่ออวี้เพิ่งสังเกตเห็นว่าไม้เคาะสีแดงในมือของจิ่นเกอที่ถูกเคาะและขูดจนเรียบเนียนนั้นสลักด้วยลายดอกบัวอยู่ด้านบน
เขาจึงหันไปจ้องมองสืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่แปลกใจ
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นด้วยความรู้สึกผิดว่า “เสียงดังหนวกหูไปหน่อย!” จากนั้นก็อธิบายกับเขาว่า “หากไม่ให้เคาะ ก็จะร้องไห้โวยวาย เสียงดังหนวกหูกว่าตอนนี้เสียอีก!”
“อาจเป็นเพราะข้าไม่ค่อยได้ฟัง จึงไม่ได้รู้สึกว่าหนวกหูขอรับ”
สีหน้าแววตาอ่อนโยน น้ำเสียงนุ่มนวล สุภาพและสง่างามตามภาพลักษณ์คุณชาย
สืออีเหนียงยิ้มพลางพูดถึงเรื่องงานแต่งของสวีซื่อฉินขึ้นมา “…ตระกูลเราลูกหลานน้อย ดีที่เจ้ากลับมาแล้ว จะได้ไปช่วยฉินเกอรับขบวนสินเดิมที่ทงโจว!”
“ขอรับ” สวีซื่ออวี้ขานรับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “หลายวันก่อนตอนเขาไปหาข้าที่ลั่วเย่ว์ ก็ได้บอกเรื่องนี้กับข้าแล้ว”
เช่นนี้ก็แสดงว่าสวีซื่อฉินไปร่วมพิธีออกทุกข์ของฉินอี๋เหนียงด้วย!
สืออีเหนียงจึงพูดขึ้นว่า “ในเมื่อพวกเจ้าพี่น้องได้ปรึกษาหารือกันเรียบร้อย ข้าก็จะไม่พูดอะไรมากแล้ว แต่งงานสามวันไม่แบ่งแยกผู้อาวุโสและผู้น้อย ปล่อยใจให้สบายเล่นให้สนุก”
สวีซื่ออวี้ขานรับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม จิ่นเกอเห็นว่าสืออีเหนียงไม่เล่นเป็นเพื่อนเขาเหมือนเช่นเคย ก็เลยโยนไม้เคาะทิ้งไป จากนั้นก็คลานเข้าไปในอ้อมกอดของสืออีเหนียงพร้อมกับตะโกนงอแงเสียงดัง
สืออีเหนียงรู้ว่าเขากำลังโวยวายจะให้นางอุ้ม ก็เลยกำลังจะหันไปเรียกแม่นมกู้ สวีซื่ออวี้เห็นแล้วก็รีบลุกขึ้นทันที “ท่านแม่กำลังยุ่ง เช่นนั้นข้าขอตัวไปคารวะท่านป้าสะใภ้สองก่อนนะขอรับ!”
“ประเดี๋ยวอย่าลืมไปทานข้าวที่เรือนของไท่ฮูหยินด้วยกัน” จะให้เขาอยู่ต่อก็ไม่มีอะไรจะพูด สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับกำชับเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ให้ชิวอวี่เดินไปส่งเขาที่หน้าประตู
สวีซื่ออวี้คารวะแล้วจึงถอยออกไป หางตายังไม่วายจะหยุดมองไปยังไม้เคาะสีแดงที่จิ่นเกอโยนทิ้งไว้ตรงมุมของเตียงเตา จากนั้นก็ค่อยๆ หมุนตัวเดินออกจากห้องไป
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะเก็บไม้เคาะนั่นขึ้นมา
ละเอียดรอบคอบเสียจริง!
แม้แต่สวีซื่อจุนก็ไม่ได้สังเกตเห็นเสียด้วยซ้ำ
นี่คือของที่ไท่ฮูหยินใช้เป็นประจำ หลายวันก่อนจิ่นเกอจับเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ไท่ฮูหยินกลัวว่าจิ่นเกอจะร้องไห้ ก็เลยให้เขามา…
นางยิ้มพร้อมกับนำของไปเก็บ ฮูหยินห้าก็มาหาพอดี
“กังวลเรื่องเกิด ไม่กังวลเรื่องเลี้ยงเสียจริง” นางยิ้มพร้อมกับจูงมือของจิ่นเกอพาเดินรอบห้องราวสองรอบ จากนั้นก็มอบเด็กให้กับแม่นมกู้ แล้วจึงมานั่งที่เตียงเตากับสืออีเหนียง “หลายปีก่อน วันๆ ก็เอาแต่เฝ้าคอย ตอนนี้เดินได้เสียแล้ว อีกไม่กี่วันก็คงจะเรียกท่านพ่อท่านแม่เป็นแล้วกระมัง”
สืออีเหนียงนั่งลงเป็นเพื่อนนาง จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าได้ยินป้าสือบอกว่าเซินเกอชันคอได้แล้วหรือ”
พูดถึงบุตรชายของนางขึ้นมา ใบหน้าของฮูหยินห้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มทันที “ชันคอเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น ได้ประเดี๋ยวเดียวก็เหนื่อย นานไปไม่ไหว ข้าเองก็ไม่กล้าจะให้เขาชันคอนานๆ …” จากนั้นก็ได้พูดถึงจุดประสงค์การมาของนาง “เรื่องทางฝั่งฉินเกอ ท่านตั้งใจจะจัดการอย่างไร”
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า “ข้าฟังท่านโหว”
แต่ฮูหยินห้ากลับบอกว่า “นั่นมันรายการในบัญชี ข้าหมายถึงการทักทายญาติในวันที่สองของการแต่งงาน พี่สะใภ้สี่จะเตรียมของขวัญอะไรให้กับเจ้าสาว”
“เรื่องนี้ต้องรอดูท่านแม่อีกที!”
ตนไม่สามารถมอบของขวัญที่มีค่าจนเกินหน้าเกินตาไท่ฮูหยินได้
“ท่านแม่เป็นผู้อาวุโส” ฮูหยินห้าพูดขึ้น “ย่อมไม่ต้องมานั่งที่ห้องโถงรอเจ้าสาวกล่าวทักทายญาติอยู่แล้ว พวกเขาจะไปคารวะท่านแม่ที่เรือนเอง” พูดจบ นางก็หันมากะพริบตาให้กับสืออีเหนียง “ส่วนเรานั้นไม่เหมือนกัน ไม่เพียงแต่ต้องรอรับเจ้าสาวที่ห้องโถงเพื่อให้ของขวัญเจอกันครั้งแรกเท่านั้น ไหนจะญาติสกุลเดิมของพี่สะใภ้สามอีกเป็นโขยง พี่สะใภ้สี่ก็รู้ดี หากว่าให้น้อยไป ไม่รู้ว่าคนสกุลกานจะจัดเรียงลำดับพวกเราอย่างไร ข้าก็เลยต้องมาปรึกษาหารือกับพี่สะใภ้สี่อย่างไรเล่า!”
สืออีเหนียงเหมือนจะเริ่มเข้าใจเจตนาของนางขึ้นมา จึงยิ้มพร้อมกับถามขึ้นว่า “เช่นนั้นความหมายของน้องสะใภ้คือ?”
ฮูหยินห้าขยับเข้าไปกระซิบด้วยเสียงอันเบาที่ข้างหูของสืออีเหนียง
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ฮูหยินห้ายังกำชับนางอีกว่า “เป็นอันตกลงกัน ถึงเวลานั้นท่านอย่าได้ทำพลาดเชียว…”
สืออีเหนียงรีบพยักหน้าทันที
พอถึงวันที่สิบห้าเดือนเก้า สืออีเหนียงและคนอื่นๆ ก็ได้แต่งตัวด้วยชุดใหม่เพื่อต้อนรับขบวนสินเดิมของฝ่ายหญิง
ล้วนเป็นเครื่องเรือนสีดำเงาอย่างดี เงางามสะดุดตา เครื่องเคลือบดินเผาเป็นชุดๆ ม่านเตียง ผ้าห่มและที่นอนเก่าแก่แบบร่วมสมัย และก็มีแบบใหม่ที่เพิ่งทำขึ้นมาอีกด้วย ส่วนหีบที่ใช้ใส่เสื้อผ้าอาภรณ์นั้นอัดแน่นจนแทบล้น สามารถดูออกได้อย่างชัดเจน ว่าสินเดิมของคุณหนูสกุลฟังไม่เพียงมากมายเท่านั้น แต่ยังใช้ได้จริงทุกชิ้นอีกด้วย
เหล่าสตรีในครอบครัวต่างก็พากันชื่นชมไม่ขาดเสียง
ใบหน้าของฮูหยินสามแดงก่ำ กล่าวทักทายแขกผู้มาเยือนเสียงดังด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
สืออีเหนียงเห็นป้ารับใช้ทั้งสองของสกุลฟังที่มาส่งขบวนสินเดิมนั้นแต่งตัวด้วยชุดที่เรียบง่าย คำพูดคำจาสุภาพไพเราะแต่ยังคงไว้ซึ่งความสุขุม จึงแอบพยักหน้าเบาๆ
จากนั้นก็มีคนเข้ามาคารวะสืออีเหนียง “ท่านคืออาสะใภ้สี่ของท่านบุตรเขยใช่หรือไม่ ข้าคือป้าสะใภ้ใหญ่ของหลานสะใภ้ท่าน!”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง ก็เห็นหญิงสาวรูปร่างปานกลางที่แต่งงานแล้วกำลังจ้องมองมายังนางด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
“ที่แท้แล้วก็เป็นเฉวียนฝูคนช่วยปูที่นอนฉินเกอนี่เอง” สืออีเหนียงกล่าวทักทายด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “เจอกันครั้งแรก ไม่คุ้นหน้าคุ้นตา ตรงไหนที่เสียมารยาทไปก็ขออภัยด้วย!”
มาถึงก็เรียกนางว่า ‘อาสะใภ้สี่ของท่านบุตรเขย’ นางแอบรู้สึกชื่นชมในความสามารถของสะใภ้ใหญ่สกุลฟังผู้นี้ไม่น้อย
สะใภ้ใหญ่จึงรีบพูดขึ้นว่า “ท่านเป็นผู้อาวุโส เดิมทีแล้ว ควรเป็นฝ่ายเราที่มาเยี่ยมเยียนท่านถึงจะถูก ท่านพูดเช่นนี้ กลายเป็นพวกข้าที่เสียมารยาทมากกว่า” จากนั้นสายตาของนางก็เหลือบไปมองฮูหยินห้าที่ยืนอยู่ข้างๆ “นี่คงจะเป็นสะใภ้ห้าใช่หรือไม่!” พูดจบนางก็ย่อตัวทำความเคารพให้กับทั้งสอง “วันข้างหน้าคุณหนูใหญ่ของเราก็รบกวนพวกท่านทั้งสองใหช่วยชี้แนะแล้ว!”
เข้าประตูมาก็ตรงไปหาสืออีเหนียงก่อน จากนั้นก็ค่อยมาหานาง
ฮูหยินห้าหันไปมองสืออีเหนียงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พูดอะไรกัน! ชื่อเสียงเรียงนามของสกุลฟังดังกึกก้องไปทั่ว ลูกหลานเป็นขุนนางทุกยุคทุกสมัย ไม่เหมือนตระกูลข้า สกุลกำเนิดต้อยต่ำ หากมีอะไรขาดตกบกพร่อง ต่อหน้าคนสกุลฟังขอสะใภ้ใหญ่ช่วยพูดจาส่งเสริมทางฝั่งเราด้วย”
“มิกล้ารับคำชมของฮูหยินห้า” สะใภ้ใหญ่พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ชื่อเสียงเรียงนามหลายชั่วอายุคนของบรรพบุรุษ พวกข้าลูกหลานรุ่นหลังแค่ไม่กล้าจะละเลยก็เท่านั้น…”
ไม่ได้ปฏิเสธคำพูดถ่อมตนของฮูหยินห้าแต่อย่างใด
ฮูหยินห้าเหลือบไปมองสืออีเหนียงอยู่ครู่หนึ่ง
เห็นนางยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม จึงอดทนไม่พูดและโต้ตอบแต่อย่างใด
อีกฝั่งก็มีคนสังเกตเห็นผ้าห่มสีแดงสดที่ปักด้วยลายหงส์แหงนมองสุริยัน “ฟูกปูพื้นยี่สิบสี่ผืน ผ้าห่มอีกยี่สิบสี่ผืน ข้าว่าผ้าห่มเหล่านี้คงกะจะเตรียมให้รุ่นหลานใช้เลยกระมัง”
สะใภ้คนนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ตระกูลใหญ่หนานเจียงของเราเวลาแต่งบุตรสาวก็เป็นเช่นนี้กันทุกเรือน ให้ความสำคัญกับสินเดิมที่ทอดยาวนับสิบลี้ ถึงแม้ว่าบุตรสาวจะแต่งงานเข้าเรือนคนอื่น แต่ของกินของใช้รวมไปถึงเครื่องนุ่งห่มล้วนใช้ของทางสกุลเดิมทั้งสิ้น หากมีคนเดือดร้อนขึ้นมา ก็ยังสามารถเอาออกมาช่วยเหลือญาติทางฝั่งสามีได้อีกด้วย เช่นนี้จึงจะสามารถยืนหยัดในบ้านสามีได้อย่างมั่นคง และสามารถยืดอกหลังตรงได้อย่างสง่าผ่าเผย”
คำพูดประโยคเดียวทำให้เสียงคุยกันของคนทั้งเรือนเงียบกริบไปในทันที
ฮูหยินห้าหันไปมองสืออีเหนียงอีกครั้ง
ครั้งนี้ สายตาของพวกนางก็พากันสับสนไปตามๆ กัน ต่างก็สังเกตเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความแปลกใจของกันและกัน
สะใภ้คนนั้นหัวเราะเสียงดังด้วยความชอบใจ “มิเช่นนั้นข้าก็คงจะไม่เริ่มเก็บสินเดิมให้บุตรสาวตั้งแต่ตอนนี้หรอก”
จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะของผู้หญิงที่เป็นสมาชิกในครอบครัวดังขึ้น
บรรยากาศอึมครึมเมื่อครู่นี้ก็กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง
———————————————————-
[1]มู่อวี๋ อุปกรณ์สำหรับเคาะสวดมนต์ทำจากไม้แกะสลักเป็นรูปปลา