“ไม่รู้ว่าพี่สามและพี่สะใภ้สามปรึกษาหารือกันอย่างไร” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้น “ที่เขียนจดหมายมาหาข้า ก็เพื่อให้ข้าไปพูดเรื่องนี้กับท่านแม่”
สืออีเหนียงนึกถึงสัญญาก่อนหน้านี้
คุยกันเสร็จสรรพเรียบร้อยว่ารออีกสักหลายปีหน่อย แล้วจึงค่อยแยกย้าย นึกไม่ถึงเลยว่าครอบครัวของคุณชายสามจะรีบร้อนขนาดนี้!
“แล้วท่านโหวคิดเห็นอย่างไรเจ้าคะ” นางหันไปถามสวีลิ่งอี๋
“ช่างเถิด แตงที่ถูกฝืนเด็ดจากต้นมักไม่หวาน” เสียงของสวีลิ่งอี๋ค่อนข้างตรงไปตรงมาเป็นอย่างมาก แต่สีหน้าของเขาไม่ค่อยดีเท่าไรนัก “ในเมื่อพี่สามและพี่สะใภ้สามตั้งใจจะไปใช้ชีวิตของตนเองแล้ว หากเราไม่เห็นด้วย จะเป็นการผิดใจกันในวันข้างหน้าเสียเปล่า พี่สะใภ้สามก็จะเอาแต่ไปพูดลับหลังไม่หยุด ตอนนี้ก็ได้สู่ขอหลานสะใภ้แล้ว หากจะยืดเยื้อกันต่อ ก็จะกลายเป็นที่น่าขบขันของเด็กๆ และเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้กับพวกเขาเอาได้ อีกอย่างไม่ว่าพวกเขาจะย้ายออกไปหรือไม่ ฉินเกอและเจี่ยนเกอเดือดร้อนอะไร เราก็จะต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลืออยู่แล้ว สู้ทำตามความตั้งใจของพี่สาม ‘แยกบ้านอยู่แต่ไม่แยกสกุล’ ให้ฉินเกอและเจี่ยนเกอไปร่ำเรียนที่ตรอกซานจิ่ง ธุระภายในจวนก็ให้ฟังซื่อเป็นคนดูแลจัดการ หากพวกเขาสามารถยืนหยัดและใช้ชีวิตกันเองได้ เช่นนั้นยังจะมีอะไรให้พูดอีก ส่วนทางฝั่งพี่สามและพี่สะใภ้สามก็คงจะต้องใช้ชีวิตด้วยตนเองแล้ว ตอนที่พี่สามและพี่สะใภ้สามไม่อยู่ พวกเราที่เป็นอาช่วยออกหน้าก็ถือเป็นเรื่องที่เหมาะสม ไม่มีเรื่องอันใดอย่างแน่นอน!”
ก็จริง!
สืออีเหนียงนึกถึงฟังซื่อที่พึ่งเข้าจวนมา นึกถึงตอนที่นางมาเที่ยวหาก็ยังต้องอาศัยตอนที่ฮูหยินสามไม่อยู่ ในใจแอบรู้สึกลางๆ ว่าความสนิทสนมของฮูหยินสามที่มีต่อฟังซื่อนั้นขัดกันอย่างบอกไม่ถูก ก็ยิ่งไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาภายในของครอบครัวคุณชายสามเข้าไปใหญ่
การใช้ชีวิต หากสามารถเรียบง่ายได้ก็ควรเรียบง่ายดีกว่า
“ในเมื่อท่านโหวตัดสินใจได้แล้ว” นางยิ้มพร้อมกับพูดต่อไปว่า “เช่นนั้นก็ไปคุยเรื่องนี้กับท่านแม่เถิด! คำพูดเช่นนี้คุณชายสามจะกล้าเอ่ยกับท่านแม่ได้อย่างไรกัน”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ “หลังพิธีครบรอบหนึ่งขวบของจิ่นเกอผ่านไปแล้ว ถึงเวลานั้น ฉินเกอก็แต่งงานครบเดือนพอดี!”
เดือนแรกของการแต่งงานห้ามให้เรือนหอว่างเปล่า และยิ่งห้ามย้ายบ้านเข้าไปใหญ่
บทสนทนาของทั้งคู่ก็วกกลับไปเรื่องงานพิธีครบรอบหนึ่งขวบของจิ่นเกอ
“…ท่านแม่อายุมากแล้ว พึ่งจะเหนื่อยจากงานแต่งของฉินเกอเสร็จก็ต้องมาเหนื่อยกับพิธีครบรอบหนึ่งขวบของจิ่นเกอต่อ ข้ากลัวว่านางจะเหนื่อยเกินไป จนร่างกายรับไม่ไหว” สืออีเหนียงจึงพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ข้าว่าพิธีครบรอบหนึ่งขวบของจิ่นเกอจัดแบบเรียบง่ายจะดีกว่าเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ค่อนข้างลังเลใจ
สืออีเหนียงรีบพูดขึ้นอีกว่า “อีกอย่างจิ่นเกอยังจะต้องจับเสี่ยงทายอีกด้วย ให้คนมาดูเยอะแยะทำไมกัน สิ่งสำคัญคือจิ่นเกอจะจับอะไรบ้างต่างหาก”
สวีลิ่งอี๋ถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปที่เรื่องการจับเสี่ยงทายครบหนึ่งขวบของจิ่นเกอแทน
“เช่นนั้นก็จัดแบบเรียบง่ายดีกว่า!” เขาเอนกายลงนอนพลางโอบกอดสืออีเหนียงไว้ “เจ้าว่า ถึงเวลานั้น จิ่นเกอจะจับอะไรเป็นของสิ่งแรก จับมีดสักเล่มดีกว่า จะได้ส่งไปฝึกฝนที่ค่ายใหญ่ซีซาน อย่างน้อยก็ได้เป็นผู้บัญชาการระดับสามอย่างแน่นอน” น้ำเสียงของเขาฟังดูมั่นใจเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะเหงื่อตก
ไปที่ค่ายใหญ่ซีซาน? จากนั้นก็อาศัยบารมีของบรรพบุรุษเข้าไปในค่ายใหญ่ซีซานเหมือนคนเหล่านั้น ใช้ชีวิตแบบนั้นทั้งชีวิตน่ะหรือ
“ค่ายใหญ่ซีซานมีอะไรให้น่าไปกัน!” นางอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น “ข้าหวังให้เขาจับหนังสือสักเล่มหรือกำต้นหอมสักหนึ่งกำมือเสียมากกว่า เล่าเรียนหนังสือตำรา เรียนรู้การใช้ชีวิต พอเติบโตก็ออกเดินทางท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตา จะได้ไม่เสียทีที่เกิดมาทั้งที”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ “ข้านึกภาพจิ่นเกอที่สวมเสื้อแขนยาวกำลังขับขานอ่านม้วนหนังสือในมือไม่ออกเลย!”
สืออีเหนียงได้ฟังแล้วก็ฉุนเฉียวขึ้นมาทันที “ข้านึกภาพจิ่นเกอที่วันๆ เอาแต่เที่ยวเล่นเตร็ดเตร่ไม่ออกเสียมากกว่า!”
“จะเป็นไปได้อย่างไร” สวีลิ่งอี๋ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ผู้บังคับบัญชาของค่ายใหญ่ซีซานนั้นไม่ใช่ใครก็จะสามารถเป็นได้ นอกจากต้องมีศักดินาและชาติกำเนิดที่ดีแล้ว ยังต้องเก่งกาจและมีความสามารถถึงจะเป็นได้”
ในเมื่อกำลังเกลือกกลิ้งอยู่บนกองฝุ่นอยู่แล้ว สู้เป็นขุนนางข้าราชการไปเลยไม่ดีกว่าหรือ สร้างสะพาน ปูถนนหนทาง ขุดลอกเพิ่มคูคลอง เพื่อปรับปรุงการเป็นอยู่ของราษฎรให้ดีขึ้น
แต่ไม่ว่าจะไปที่ค่ายใหญ่ซีซานหรือร่ำเรียนหนังสือเดินทางท่องเที่ยว ถึงเวลานั้นควรจะเคารพในความชอบของเด็กถึงจะถูก ตอนนี้พูดไปก็จะเป็นการยัดเยียดความปรารถนาของพ่อแม่เสียมากกว่า
เมื่อนึกถึงตรงนี้ สืออีเหนียงก็ตัดสินใจจบบทสนทนานี้ไป เหตุใดถึงต้องไปถกเถียงเพียงเพราะเรื่องที่ยังไม่ทันจะได้เกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ
“จัดการเรื่องพิธีครบรอบหนึ่งขวบของจิ่นเกอเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยมาว่ากันอีกทีจะดีกว่า!” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ไม่แน่บางทีจิ่นเกออาจจะจับตลับชาดแดงขึ้นมาก็เป็นได้!”
การจับเสี่ยงทายครบขวบเป็นเรื่องที่ต้องจัดเตรียมล่วงหน้า ส่วนใหญ่ก็จะวางสิ่งของที่เป็นสิริมงคล ใครเขาจะไปวางตลับชาดแดงกัน!
รู้ว่าสืออีเหนียงกำลังล้อเล่น แต่สวีลิ่งอี๋ลองคิดแล้วกลับรู้สึกว่าน่าสนใจดี เขาจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ถึงเวลานั้นเราวางตลับชาดแดงไว้บนโต๊ะสักตลับดีหรือไม่ ไม่แน่บางทีเขาอาจจะเลือกหยิบตลับชาดแดงขึ้นมาก็เป็นได้!”
“จะวางก็แล้วแต่ท่านโหวเถิดเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “กลัวก็แต่ตอนที่จิ่นเกอโตขึ้นจะรู้สึกว่าเราเป็นพ่อแม่ที่ไม่ชอบธรรมเสียมากกว่า!”
“นี่เป็นสิ่งที่เจ้าพูดเองไม่ใช่หรือ” สวีลิ่งอี๋หันมาหาสืออีเหนียง
ภายใต้แสงไฟของตะเกียง ผิวของนางขาวเนียนละเอียดราวกับหิมะ เนียนเงาจนสะท้อนแสงไฟอย่างเห็นได้ชัด
ในใจของเขาหวั่นไหวเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงสูดลมหายใจเข้าลึก สั่งสวีลิ่งอี๋ด้วยอาการติดอ่างว่า “ดับ…ดับตะเกียงไฟก่อน!”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะเสียงเบา
จากนั้นก็หันไปดับตะเกียงไฟตามคำเรียกร้องของสืออีเหนียง
******
เช้าตรู่หลังจากที่ตื่นนอนแล้ว สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วในขณะที่นางกำลังจ้องมองคนที่นั่งอยู่ในกระจกราวกับต้นสนที่ไม่อาจซ่อนความเย่อหยิ่งกลางหว่างคิ้วของตนได้ แม่นมกู้ก็อุ้มจิ่นเกอเดินเข้ามาพอดี
สืออีเหนียงทอดถอนใจออกมาเบาๆ ทิ้งเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ฝังเข้าไว้ในส่วนลึกของหัวใจ จากนั้นก็ลุกขึ้นไปอุ้มบุตรชาย
“จิ่นเกอ เจ้าตื่นแล้วหรือ” สืออีเหนียงหอมหน้าผากของบุตรชายเบาๆ “เมื่อคืนนี้เจ้าหลับสบายดีหรือไม่”
จิ่นเกอฉีกยิ้มกว้างให้กับนาง แต่กลับไม่ยอมพูดอะไรออกมา
สายตาของนางหมองหม่นลงไปเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จิ่นเกอก็ยังไม่ยอมเริ่มฝึกพูดอยู่ดี
แม่นมกู้ที่อยู่ข้างๆ ก็รีบพูดขึ้นว่า “คุณชายน้อยหกนอนหลับค่อนข้างลึก กลางดึกพลิกตัวแค่สองครั้ง จากนั้นก็นอนยาวจนถึงเช้าเลยเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็อุ้มจิ่นเกอขึ้นไปนั่งบนเตียงเตาใหญ่ริมหน้าต่าง
จู่ๆ จิ่นเกอก็คลานออกจากอ้อมแขนของสืออีเหนียง จากนั้นก็ยื่นมือเข้าไปหยิบไม้เคาะที่แย่งมาจากไท่ฮูหยินออกมาจากใต้เตียงเตา โบกไม้เคาะไปมาต่อหน้าของสืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจ
สืออีเหนียงไม่รู้ว่าจะยิ้มหรือร้องไห้ดี นางยื่นมือไปลูบศีรษะของเขาเบาๆ “มิน่าเล่า เมื่อวานนี้ข้าถึงได้หาไม่เจอ ที่แท้แล้วเจ้าก็เอามาซ่อนอยู่ตรงนี้นี่เอง!”
จิ่นเกอหัวเราะเสียงดังด้วยความชอบใจ จากนั้นก็รีบคลานเข้าไปในอ้อมกอดของสืออีเหนียง
สืออีเหนียงอุ้มเขามาหอมหนึ่งครั้ง ก่อนจะหันไปถามแม่นมกู้ว่า “สองวันมานี้เขายอมทานข้าวต้มผักแล้วหรือยัง”
ภายใต้สายตาที่คมกริบของสืออีเหนียง แม่นมกู้หลุบตาลงต่ำพร้อมกับตอบกลับเสียงเบาว่า “ยังไม่ยอมทานเหมือนเดิมเจ้าค่ะ!”
“เจ้าไปคิดหาวิธีมา!” สืออีเหนียงหันไปพูดกับนางด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย “ข้าและคนของจวนแม่นมได้พูดคุยกันก่อนแล้ว ห้าปีนี้ ไม่ว่าจิ่นเกอจะดื่มนมหรือไม่ เจ้าเองก็เคยให้นมเขา เป็นแม่นมของเขามาก่อน เรื่องบางเรื่องก็ควรจะทำให้ถูกต้อง ไม่ควรโอนอ่อนตามนิสัยของเขาเช่นนี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่”
ใบหน้าของแม่นมกู้เต็มไปด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก นางขานรับ “เจ้าค่ะ” แล้วรีบย่อตัวทำความเคารพทันที
สวีลิ่งอี๋เดินเข้ามาด้วยหน้าตาที่สดใสและมีชีวิตชีวา
“บังคับจิ่นเกอของข้าทานข้าวต้มผักอีกแล้วหรือ!” เขาพึ่งจะฝึกรำกระบี่เสร็จ หน้าผากของเขาจึงเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
เมื่อจิ่นเกอเห็นสวีลิ่งอี๋ ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที รีบยื่นมือหาสวีลิ่งอี๋พร้อมกับร้อง “อา…อา…” ไม่หยุด
สวีลิ่งอี๋จ้องมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเขา จากนั้นก็ยื่นมือไปอุ้มเขามา
แต่จิ่นเกอกลับเอาแต่ดิ้นไปมา ราวกับว่ามีหนามกำลังทิ่มตำก้นของเขาอย่างไรอย่างนั้น โวยวายเอาแต่ใจ ทั้งดิ้นทั้งกลิ้งอยู่ในอ้อมกอดของสวีลิ่งอี๋ไม่หยุด
สวีลิ่งอี๋เข้าใจความหมายของจิ่นเกอ เขาจึงอุ้มจิ่นเกอขึ้นมา จากนั้นก็ค่อยๆ โยนขึ้นไปกลางอากาศ
เรือนทั้งเรือนก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะที่ใสซื่อบริสุทธิ์ไร้ซึ่งสิ่งเจือปนของจิ่นเกอ
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะกุมขมับ
จิ่นเกอเห็นหน้าบิดาของเขาทีไรก็จะเล่นแบบนี้ให้ได้ทุกครั้ง
สืออีเหนียงก็รีบเข้าไปห้ามทันที “เช้าตรู่เช่นนี้ ท่านโหวก็เหงื่อท่วมทั้งตัว ลูกก็พึ่งจะทานนมเสร็จ ระวังจะไม่สบายท้องเอาได้เจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ชอบเล่นแบบนี้กับจิ่นเกอเป็นประจำ ได้ยินแล้วก็โยนจิ่นเกออีกสองครั้ง จากนั้นก็หมุนตัวยื่นจิ่นเกอให้กับป้าตู้
แต่สืออีเหนียงกลับยื่นมือไปรับแทน
สวีลิ่งอี๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นเสียงเบาว่า “ข้าว่าเจ้าควรไปนอนพักสักหน่อยดีกว่ากระมัง!”
ใบหน้าของสืออีเหนียงพลันแดงก่ำขึ้นมาทันที นางพยายามฝืนทำสีหน้าให้ปกติพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านโหวยังไม่ได้ล้างเนื้อล้างตัวเลย! อีกประเดี๋ยวเด็กๆ ก็จะพากันมาคารวะแล้ว”
สวีลิ่งอี๋จ้องมองสืออีเหนียงด้วยรอยยิ้มที่กรุ้มกริ่ม จากนั้นก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องชำระ
จิ่นเกอที่กำลังเล่นอย่างสนุกสนานอยู่นั้นจู่ๆ ก็ถูกทิ้งไป เขาจึงโมโหและไม่พอใจเป็นอย่างมาก พยายามกระโดดและดีดตัวในอ้อมกอดของสืออีเหนียงไม่หยุด หากไม่ใช่เพราะสืออีเหนียงรู้ทันเขาแต่แรกว่าเขาจะต้องเป็นแบบนี้ เกรงว่าตอนนี้คงจะดิ้นจนตกพื้นไปแล้ว
แม่นมกู้ที่อยู่ข้างๆ สืออีเหนียงก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ประจบว่า “คุณชายน้อยหกของเราร่างกายกำยำล่ำสันจริงเชียว”
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับมองนางอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งเล่นกับจิ่นเกอบนเตียงเตา
จู๋เซียงเดินเข้ามาในห้องพอดี สีหน้าของนางดูเหมือนว่ามีเรื่องจะพูดกับสืออีเหนียง
สืออีเหนียงจึงหันไปสั่งกับบ่าวรับใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ในห้องว่า “ไปเตรียมโต๊ะอาหารได้แล้ว!”
เหล่าบรรดาสาวใช้ต่างพากันถอยออกไปจากห้องอย่างเบามือเบาเท้า
จู๋เซียงพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ฮูหยินสามพาคุณนายน้อยใหญ่ไปคารวะไท่ฮูหยิน ในตอนแรกก็ยังพูดเอาใจไท่ฮูหยิน หลังจากนั้นก็ได้พูดถึงเรื่องของขวัญร่วมแสดงความยินดีที่ได้มาจากแขกขึ้นมาเจ้าค่ะ!”
สุดท้ายแล้วฮูหยินสามก็อดรนทนไม่ไหว
สืออีเหนียงนึกถึงความคิดของครอบครัวคุณชายสามที่ว่า ‘แยกบ้านอยู่แต่ไม่แยกสกุล’
มิน่าเล่านางถึงได้รีบร้อนขนาดนี้
หากว่าไม่สามารถนำของขวัญร่วมแสดงความยินดีที่ได้มาจากแขกมาไว้ในมือก่อนที่จะเดินออกจากเมืองเยี่ยนจิง วันข้างหน้าเห็นทีก็คงจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว!
“ไท่ฮูหยินว่าอย่างไรบ้าง”
“ไท่ฮูหยินก็ถามฮูหยินสามว่า ต่อไปภายภาคหน้าเรื่องงานพิธีต่างๆ จะเก็บของขวัญร่วมแสดงความยินดีของแต่ละเรือนเองใช่หรือไม่” น้ำเสียงของจู๋เซียงเคล้าไปด้วยความตลกขบขัน “ยังบอกอีกว่าเช่นนั้นก็เรียกท่านและครอบครัวคุณชายห้ามาคุยให้ชัดเจน ทางฝั่งท่านเป็นทายาทหลัก ของขวัญร่วมแสดงความยินดีที่ได้มาจากจวนหย่งชังโหว จวนจงชังโหวและจวนจงฉินปั๋วก็ย่อมต้องให้เรือนของท่านอยู่แล้ว ส่วนของขวัญร่วมแสดงความยินดีที่ได้มาจากทางตรอกหงเติงก็ต้องเป็นของเรือนฮูหยินห้า นอกจากของขวัญร่วมแสดงความยินดีของกานฮูหยินแล้ว ของขวัญร่วมแสดงความยินดีรายการอื่นๆ ก็จะเป็นของฮูหยินสาม ใครเก็บเอาของขวัญร่วมแสดงความยินดีไปเป็นของส่วนตัวก็จะต้องเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดงานเลี้ยงเอง ถึงเวลานั้นหากนับตามจำนวนคนแล้ว ก็จะรู้ว่าแต่ละเรือนมีค่าใช้จ่ายทั้งหมดเท่าไร”
ของขวัญที่แต่ละจวนส่งมาให้ล้วนเป็นขวัญที่ล้ำค่าทั้งนั้น ไม่เหมือนของขวัญที่มอบให้โดยส่วนตัว ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพียงของขวัญเล็กๆ หากเป็นเช่นนี้ บ้านคุณชายห้าและบ้านคุณชายสามก็จะต้องขาดทุนอย่างแน่นอน แต่สวีซื่อฉินแต่งงานครั้งนี้ แขกทางฝั่งตรอกหงเติงมีเพียงหนึ่งโต๊ะเท่านั้น จะขาดทุนอย่างไรก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสเท่าไรนัก แต่สกุลกานกลับมีแขกตั้งสิบโต๊ะ…
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฮูหยินสามย่อมไม่กล้าตอบอยู่แล้ว!”
“ฮูหยินสามได้ยินแล้วก็รับปากอย่างส่งๆ ไป” จู๋เซียงยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ “จากนั้นไท่ฮูหยินก็พูดถึงเรื่องของคุณนายน้อยใหญ่ขึ้นมาเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ
จู๋เซียงจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นต่อไปว่า “ไท่ฮูหยินว่าระยะทางร่วมสิบลี้ ประเพณีก็ไม่เหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นคุณนายน้อยใหญ่เติบโตที่เจียงหนาน ตอนนี้มาเป็นสะใภ้แล้ว ย่อมมีเรื่องมากมายที่ไม่คุ้นชินหรือยังปรับตัวไม่ได้อย่างแน่นอน ให้ฮูหยินสามอบรมชี้แนะเกี่ยวกับเรื่องกฎระเบียบและขนบธรรมเนียมให้กับคุณนายน้อยใหญ่ดีๆ คุณนายน้อยใหญ่จะได้ไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ทำตัวไม่ถูก”
สอนเรื่องกฎระเบียบและขนบธรรมเนียมแก่ลูกสะใภ้ แน่นอนว่าย่อมต้องให้ลูกสะใภ้คอยติดตามอยู่ข้างกายเพื่อที่จะสะดวกต่อการสอน ฮูหยินสามให้สวีซื่อฉินอยู่ที่จวนหย่งผิงโหว นางอยากจะอบรมสอนสั่งและชี้แนะลูกสะใภ้ แน่นอนว่าต้องอยู่ที่จวนหย่งผิงโหวต่อ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับว่านางจะต้องกลับมาใช้ชีวิตที่ต้องอดทนอดกลั้นกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหมือนเดิม ชีวิตที่เบื้องบนมีแม่สามี เบื้องล่างมีลูกสะใภ้ และรอบข้างล้อมรอบไปด้วยเหล่าบรรดาสตรีในครอบครัว แต่คุณชายสามนั้นอยู่ที่ซานหยาง…