สืออีเหนียงพลันโล่งใจทันที นางรีบเดินเข้าไปต้อนรับ “พี่หญิงสี่ทำไมพึ่งมาเล่าเจ้าคะ” เห็นนางพาสาวใช้มาด้วยแค่คนเดียว สืออีเหนียงก็ถามด้วยความสงสัย “แล้วเหตุใดถึงไม่พาฉี่เกอมาด้วย”
บุตรชายคนที่สามของซื่อเหนียงมีนามว่าฉี่เกอ
“เขายังเด็กเกินไป” ซื่อเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “กลัวเขาจะเอะอะโวยวาย รออีกสองสามวัน รอเจ้าหายยุ่งแล้ว ประเดี๋ยวข้าค่อยพาเขามาหาเจ้า” เมื่อเห็นโต๊ะยาวที่เต็มไปด้วยสิ่งของจับเสี่ยงทายในห้องโถง นางก็พูดขึ้นว่า “อีกเดี๋ยวก็จะจับเสี่ยงทายแล้วใช่หรือไม่ เจ้าไม่ต้องสนใจข้าหรอก ไปจัดการเรื่องของเจ้าเถิด”
ระหว่างที่นางกำลังพูด ไท่ฮูหยินและหวงฮูหยินก็เดินไปที่หน้าโต๊ะยาว รอดูจิ่นเกอจับเสี่ยงทาย
สืออีเหนียงไม่มีเวลาคุยกับซื่อเหนียง นางรีบพูด “เช่นนั้นข้าไปก่อนนะเจ้าคะ” จากนั้นก็อุ้มจิ่นเกอไปที่โต๊ะยาว
สือเอ้อร์เหนียงกอดแขนซื่อเหนียง เรียกนางว่าพี่หญิงสี่อย่างสนิทสนมแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ทานยาที่พี่หญิงสี่นำมาให้ ดวงตาของท่านแม่ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ บอกว่าหากข้าเจอพี่หญิงสี่ต้องมาขอบพระคุณพี่หญิงสี่ให้ได้”
“พี่น้องกัน อย่าพูดเช่นนี้เลย” ซื่อเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “ยาได้ผลก็ดี มันไม่ใช่ของหายากอะไร ก็แค่ทานยาถูกกับอาการ หากหมดแล้วก็ไปขอที่จวนข้าเพิ่มก็ได้”
“จะให้พี่หญิงสี่ช่วยซื้อยาให้ได้เช่นไรกัน” สือเอ้อร์เหนียงพูดต่อไปว่า “พี่หญิงสี่ไม่สู้บอกข้าว่ายานั้นซื้อมาจากที่ไหน พี่หญิงสี่จะได้ไม่ต้องออกไปร้านขายยาเอง”
“ได้สิ!” ซื่อเหนียงตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา “ร้านยาร้านนั้นมีสูตรลับการรักษาโรคเกี่ยวกับดวงตาที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ เจ้าพาแม่สามีของเจ้าไปจับชีพจรที่นั่นเถิด” จากนั้นก็บอกที่ตั้งของร้านขายยาให้สือเอ้อร์เหนียงฟัง
สือเอ้อร์เหนียงจดจำเอาไว้ได้แล้ว
จากนั้นซื่อเหนียงก็มองไปทางห้องโถง “ทำไมไม่เห็นอู่เหนียงเล่า”
“เมื่อครู่นี้ยังอยู่ที่นี่อยู่เลยเจ้าค่ะ” สือเอ้อร์เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็มองไปที่ห้องโถงตามซื่อเหนียง “คุยกับนายหญิงสี่สกุลถังในห้องโถง แต่ตอนนี้หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้” ทันทีที่พูดจบ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากโต๊ะยาวในห้องโถง มีคนพูดขึ้นว่า “จิ่นเกอของเราจับหมวกแม่ทัพ”
พวกนางสองคนก็ไม่สนใจอู่เหนียงอีกต่อไป รีบเดินเข้าไปในห้องโถงอย่างรวดเร็ว
จิ่นเกอที่สวมเสื้ออ่าวสีแดงและห้อยสร้อยสีทอง ทิ้งหมวกแม่ทัพในมือออกแล้วหันหน้าไปจับกระบอกสุราที่วางอยู่ข้างๆ
“ไอ๊หยา จับกระบอกสุราต่างหาก” มีคนหัวเราะขึ้นมา แต่จู่ๆ ก็มีคนพูดว่า “อัธยาศัยดี มีสหายทั่วทุกหนแห่ง”
สือเอ้อร์เหนียงเห็นจิ่นเกอนั่งกัดกระบอกสุราอยู่ตรงนั้นอย่างมีความสุข ราวกับกำลังลองกัดดูว่ามันทนทานหรือไม่ นางอดหัวเราะไม่ได้ “พี่หญิงสี่เจ้าคะ คิดไม่ถึงว่าจิ่นเกอจะจับกระบอกสุรา”
ซื่อเหนียงเห็นท่าทีของจิ่นเกอนางก็ขบขันเช่นกัน นางเป็นคนฉลาด รู้ว่าการจับเสี่ยงทายก็มีเทคนิคเหมือนกัน นางไม่ได้คิดว่าคนคนหนึ่งจับได้อะไรแล้วโตมาจะเป็นเช่นนั้น จึงยิ้มแล้วพูดว่า “กระบอกสุราชิ้นนั้นสวยงามสะดุดตาจนเกินไป ไม่แปลกที่จิ่นเกอจะเลือกจับมัน”
กระบอกสุราสีฟ้า ลวดลายแกะสลักประณีตงดงาม ไม่ต้องพูดถึงเด็กน้อย แม้แต่ผู้ใหญ่เองเห็นเช่นนี้ก็ยังอดไม่ได้ที่จะจับมาดู
สือเอ้อร์เหนียงรู้สึกว่าซื่อเหนียงพูดมีเหตุผล “แต่ว่าหมวกแม่ทัพก็สวยเหมือนกันนี่เจ้าคะ ส่งแสงเปล่งประกาย แล้วยังประดับด้วยผ้าสีแดง…”
พวกนางกำลังพูดคุยกัน ไท่ฮูหยินก็ยิ้มแล้วอุ้มจิ่นเกอขึ้นมา “ดี ดี ดี ต่อไปจิ่นเกอของเราก็จะเป็นเมิ่งฉังจวิน!”
ทุกคนพากันเอ่ยแสดงความยินดี
ฮูหยินสามหัวเราะแล้วตะโกนเสียงดัง “ฮูหยินทุกท่านเชิญนั่งก่อนแล้วทานบะหมี่อายุยืนของเราเถิด!”
ทุกคนหัวเราะอย่างสุขสันต์แล้วแยกย้ายกันไป
ท่านป้าผู้ดูแลรีบเก็บของจับเสี่ยงทายบนโต๊ะ
ฮูหยินสามเห็นเช่นนี้ก็ยืนอกผายไหล่ผึ่ง จากนั้นก็พูดกับฟังซื่อเบาๆ “จิ่นเกอจับกระบอกสุรา!” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่มีกลิ่นอายของการมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น
ฟังซื่อขมวดคิ้วแต่กลับไม่พูดอะไร
ฮูหยินสามรู้สึกว่าลูกสะใภ้คนนี้ของตัวเองดีทุกอย่าง แต่พูดน้อยเกินไป พูดอะไรไปก็ไม่มีปฏิกิริยากลับมา ทำให้นางรู้สึกเหมือนกำลังกำหมัดชกผ้าฝ้าย นางไม่ค่อยพอใจสักเท่าไรนัก
คิดเช่นนี้ นางก็ตัดสินใจไม่คิดเล็กคิดน้อยกับลูกสะใภ้ของตัวเอง
พูดน้อยก็มีข้อดีของการพูดน้อย อย่างน้อยก็ไม่เล่าเรื่องในครอบครัวให้สืออีเหนียงหรือว่าตานหยางฟัง
นางกลับมายิ้มอีกครั้ง แล้วยังยิ้มแย้มแจ่มใสมากกว่าเดิม ฮูหยินสามพูดกับท่านป้าผู้ดูแลที่อยู่ข้างๆ “บอกให้บ่าวรับใช้เหล่านั้นเร่งมือหน่อย หลังจากงานเลี้ยงที่นี่สิ้นสุดลงแล้ว ก็จะย้ายไปดื่มชา ฟังงิ้วที่โถงเตี่ยนชุน”
ท่านป้าผู้ดูแลรีบพูด “ท่านไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ เมื่อยกอาหารชามที่แปดเข้ามาแล้ว บ่าวจะบอกให้สาวใช้ส่วนหนึ่งไปจัดการสถานที่ทันที”
ฮูหยินสามพยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นนางก็มองไปที่อู่เหนียงที่นั่งกระซิบกระซาบกับนายหญิงสี่สกุลถัง
อู่เหนียงคนนี้ ช่างเป็นคนฉลาด ทันทีที่เข้ามาก็เอาแต่ตัวติดกับนายหญิงสี่สกุลถัง แล้วยังปรึกษากันว่าจะทำกิจการใบชาอะไรดี...
คิดเช่นนี้ นางก็รีบหันไปพูดกับฟังซื่อ “เจ้าเห็นสตรีที่สวมชุดอ่าวสีน้ำเงินที่นั่งตรงนั้นหรือไม่ นั่นคือนายหญิงสี่สกุลจงซานโหว สกุลของพวกนางมีอำนาจมากที่สุด แล้วยังพูดจาเป็น ต่อไปหากเจ้าเจอนาง ต้องคอยระมัดระวังให้มาก รู้หรือไม่”
ฟังซื่อขานรับ “เจ้าค่ะ” บอกให้สาวใช้ยกของว่างและน้ำชาเข้ามาตอนที่ฮูหยินสามกำลังพูดคุยกับคนอื่น ช่วยหวงฮูหยินและคนอื่นๆ จัดการสถานที่สำหรับเล่นไพ่ จากนั้นก็ตรวจสอบอาหารมื้อเย็นของงานเลี้ยง…
แต่สืออีเหนียงกลับกลัวว่าเสียงงิ้วจะทำให้จิ่นเกอตกใจ จึงอุ้มเขาเดินไปรอบๆ หนึ่งรอบแล้วก็พาเขากลับไปที่เรือนหลัก
ซื่อเหนียงเห็นเช่นนี้ก็เดินตามไป หยิบกล่องกล่องหนึ่งออกมามอบให้สืออีเหนียง “นี่คือของขวัญของชีเหนียง”
สืออีเหนียงรับมาแล้วเอ่ยขอบคุณ จากนั้นก็นั่งลงบนเตียงเตาข้างหน้าต่างกับซื่อเหนียง “ช่วงนี้พี่หญิงเจ็ดกำลังยุ่งอะไรอยู่หรือ ข้าส่งจดหมายไปให้นาง น้องสะใภ้ห้าก็ส่งจดหมายไปให้นางตั้งสามฉบับ บอกให้นางมาเที่ยวเยี่ยนจิง นางตอบกลับมาแค่ว่าที่จวนกำลังยุ่ง รอให้เรื่องที่จวนเรียบร้อยแล้วถึงจะออกเดินทาง แต่สุดท้ายแล้วพวกข้ารอจนถึงวันนี้นางก็ยังไม่มาเจ้าค่ะ”
ซื่อเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงเบา “ชีเหนียงมาถึงเยี่ยนจิงตั้งแต่เดือนก่อนแล้ว!”
สืออีเหนียงได้ฟังแล้วก็ตกใจ “ในเมื่อมาถึงแล้วทำไมถึงไม่มาหาข้าเล่า” นางนึกถึงนิสัยที่สดใสร่าเริงของชีเหนียง มาถึงเยี่ยนจิงตั้งนานแล้วแต่กลับไม่มาจวนสกุลสวี ช่างขัดกับนิสัยของนางโดยสิ้นเชิง แล้วพลันนึกถึงเรื่องที่นางไม่มีลูก ไม่รอให้ซื่อเหนียงตอบกลับนางก็พูดด้วยความเป็นห่วง “พี่หญิงสี่เจ้าคะ เกิดอะไรขึ้นกับพี่หญิงเจ็ดหรือ”
ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด สืออีเหนียงเป็นคนที่ทำอะไรรอบคอบที่สุด แล้วยังแต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ การที่นางเล่าให้สืออีเหนียงฟัง ก็เพราะว่าอยากจะปรึกษาสืออีเหนียง
“ก็เพราะเรื่องลูกนั่นแหละ” นางพูดเบาๆ “คนสกุลจูเปิดศาลบรรพชน บอกให้น้องเขยเจ็ดตัดสินใจว่าจะหย่า จะรับอนุภรรยา หรือว่าจะรับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยง”
“แล้วพี่เขยเจ็ดตอบว่าอย่างไรเจ้าคะ” หัวใจของสืออีเหนียงเต้นแรง
“น้องเขยเจ็ดตกลงรับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยง”
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“แต่นายหญิงผู้เฒ่าสกุลจูกลับไม่เห็นด้วย” ซื่อเหนียงพูดต่ออีกว่า “จึงทะเลาะกัน กว่าน้องเขยเจ็ดจะสงบสติอารมณ์ลงได้ คนสกุลจูก็เอะอะโวยวายเรื่องที่จะรับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยงอีกครั้ง”
ถึงแม้ว่าจูอานผิงจะเกิดในสกุลใหญ่สกุลโต แล้วยังร่ำรวยมั่งคั่ง แต่สังคมนี้ให้ความสำคัญกับเลือดเนื้อเชื้อไขและลูกหลานของตัวเองอย่างมาก ผู้ที่ไม่ขัดสนอาจจะไม่ยอมให้บุตรของตัวเองมาเป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่น ส่วนคนที่โลภมาก นิสัยของเด็กมักจะน่าเป็นห่วง ยิ่งกลัวว่าเมื่อเด็กโตขึ้นแล้วจะถูกพ่อแม่แท้ๆ ยั่วยุ ทำให้ตระกูลไม่สงบสุข
สืออีเหนียงพูดขึ้น “เรื่องการรับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยงหรือเจ้าคะ”
ซื่อเหนียงพยักหน้า “เรื่องของนายหญิงผู้เฒ่าสกุลจูไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ครั้งนี้ มันเป็นเรื่องของสกุล จูอานผิงลำบากใจ ชีเหนียงมีความคิดเป็นของตัวเอง นางจึงมาที่เยี่ยนจิง งานวันเกิดของจิ่นเกอ เดิมทีข้าเกลี้ยกล่อมให้นางมาด้วย แต่นางบอกว่า ตัวเองเป็นเช่นนี้ ไปก็มีแต่คนหัวเราะเยาะ จึงไม่ยอมมา ข้าเกลี้ยกล่อมอยู่ตั้งนานก็ไม่ได้ผล ข้าจึงให้นางดูแลฉี่เกอแล้วมาคนเดียว”
แม่พวกนางจะเป็นบุตรสาวจากสกุลหลัวเหมือนกัน แต่พวกนางคือบุตรสาวของนายท่านใหญ่กับบุตรสาวของนายท่านสองซึ่งคนละบ้านกัน ไม่เช่นนั้น ชีเหนียงคงไม่มีทางมาหาซื่อเหนียงทันทีในช่วงเวลาคับขันที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตัวเองเช่นนี้ เพราะพวกนางคือพี่น้องมารดาคนเดียวกัน ตอนนี้ซื่อเหนียงเล่าเรื่องของชีเหนียงให้ตัวเองฟัง นางจึงพอจะเข้าใจได้
“พี่หญิงเจ็ดมีความคิดของตัวเองหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงถาม “เช่นนั้นพี่หญิงเจ็ดจะทำเช่นไรต่อไป”
สายตาของซื่อเหนียงมีความโล่งใจ
คุยกับคนฉลาดอย่างสืออีเหนียงนั้นช่างง่ายดายจริงๆ
“ชีเหนียงยอมรับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยง แต่ต้องเป็นคนที่นางเลือก ไม่เช่นนั้น นางยอมที่จะหย่า”
ชีเหนียงกลัวว่าจะบุตรบุญธรรมคนนั้นจะไม่ดูแลครอบครัวใช่หรือไม่!
สืออีเหนียงพูดเบาๆ “พี่เขยเจ็ดเห็นด้วยหรือไม่”
“น้อยเขยเจ็ดก็เห็นด้วย แต่การเลือกคน…” ซื่อเหนียงลังเล
สืออีเหนียงมองดูนางเงียบๆ
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “ชีเหนียงอยากรับฉี่เกอของข้าไปเลี้ยง”
“สกุลจูคงไม่มีทางเห็นด้วยแน่นอน” สืออีเหนียงพูด “แล้วพี่เขยสี่เล่า พี่เขยสี่เห็นด้วยหรือไม่”
“พี่เขยสี่ของเจ้าไม่ใช่เรื่องยาก” สายตาของซื่อเหนียงเป็นประกาย “หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ให้ท่านพ่อและท่านแม่มาเกลี้ยกล่อมพี่เขยสี่ของเจ้าก็ได้ แต่ว่าคนในสกุลจูนอกจากน้องเขยเจ็ดที่เห็นด้วยแล้ว คนอื่นนั้นไม่ยอมเห็นด้วย”
นายท่านสองและนายหญิงสองมีบุญคุณต่ออวี๋อี๋ชิง หากพวกเขาสองคนยอมพูดให้ ถึงแม้ว่าอวี๋อี๋ชิงจะไม่พอใจมากแค่ไหน เกรงว่าเขาก็คงจะต้องขบคิดอยู่บ้าง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีความเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย แต่หากคนในสกุลจูไม่เห็นด้วย…เรื่องภายในของตระกูล แม้แต่ศาลปกครองก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามายุ่ง หรือว่าจะให้สกุลสวีใช้อำนาจของขุนนางไปข่มขู่สกุลจู? แต่หากทำเช่นนั้น อวี๋อี๋ชิงเองก็ทำได้ ไม่จำเป็นต้องให้สกุลสวีออกหน้าแทนกระมัง!
ความคิดนี้ผุดขึ้นมา สืออีเหนียงก็พูดว่า “พี่หญิงสี่หมายความว่าอย่างไรหรือ”
ซื่อเหนียงยิ้มอย่างข่มขื่น “หากเรื่องราวไปถึงขั้นนั้น พี่เขยสี่ของเจ้า ข้าจะบอกว่าเป็นความต้องการของน้อยเขยเจ็ด ไม่มีทางบอกว่าสกุลจูไม่เห็นด้วย ส่วนเรื่องเกลี้ยกล่อมคนสกุลจู คงจะรบกวนให้ท่านโหวออกหน้าช่วยพูดให้!”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่” สืออีเหนียงพูดอย่างเคร่งขรึม “ข้าฟังความคิดของท่านโหวก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงตอบตกลงที่จะพูดกับสวีลิ่งอี๋ ก็ทำเอาซื่อเหนียงซาบซึ้งมากพอแล้ว นางเอ่ยขอบคุณสืออีเหนียงซ้ำไปซ้ำมา แต่สืออีเหนียงกลับกำลังนึกถึงเรื่องอื่น
“พี่หญิงสี่เจ้าคะ” นางพูด “หากเรื่องนี้สำเร็จ ฉี่เกอ…”
น้ำตาของซื่อเหนียงไหลรินออกมา “ข้าจะคิดเสียว่าเด็กคนนี้เกิดมาเพื่อชีเหนียง!” นางอดไม่ได้ที่จะร่ำไห้
สืออีเหนียงมองดูซื่อเหนียงร้องไห้อย่างเงียบงัน
ตกดึกเมื่อกลับมานอนกับสวีลิ่งอี๋ นางก็เกิดความขัดแย้งขึ้นในใจ หากบอกสวีลิ่งอี๋ เรื่องนี้อาจจะสำเร็จ แต่หากไม่บอกสวีลิ่งอี๋ เรื่องนี้ไม่มีทางสำเร็จแน่นอน ด้านหนึ่งคืออนาคตของชีเหนียง อีกด้านหนึ่งคือความลำบากใจของสวีลิ่งอี๋…เมื่อชั่งน้ำหนักความสำคัญในใจดูแล้ว สืออีเหนียงก็เข้าใจดี แต่นางกลับไม่รู้ว่าจะเปิดปากพูดออกมาอย่างไร