สวีลิ่งอี๋เห็นท่าทีไม่สบายใจของสืออีเหนียง เขาเข้าใจผิดว่านางไม่สบายใจเรื่องจับเสี่ยงทายของจิ่นเกอ จึงโอบไหล่แล้วเอ่ยปลอบใจนาง “ความเข้าใจโลกก็นับเป็นความรู้ คนที่เข้าใจคนถือเป็นคนฉลาด ไม่รู้ว่าในกองทัพมีคนกี่คนที่มีฝีมือการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม แต่สุดท้ายก็เป็นแค่หัวหน้าหน่วย แล้วก็ไม่รู้ว่ามีคนอ่อนแอกี่คนที่ได้เป็นแม่ทัพ แต่ที่สำคัญคือต้องดูว่าคนคนนั้นทำอะไรเชี่ยวชาญหรือไม่ ในเมื่อจิ่นเกอของเราจับกระบอกสุรา ต่อไปเขาต้องเป็นคนที่มีสหายมากมายแน่นอน คนที่มีสหายคอยช่วยเหลือ ทำอะไรก็ไม่ต้องหวาดกลัว!”
มองดูดวงตาที่เป็นห่วงตัวเองของเขา สืออีเหนียงแอบถอนหายใจในใจ
การที่ซื่อเหนียงมาหานาง ก็เพราะอยากให้สวีลิ่งอี๋ออกหน้าข่มขู่ส่วนราชการไม่ให้พวกเขาเข้าไปยุ่งเรื่องทายาทของสกุลจู แต่หากทำเช่นนนี้ ดึงสวีลิ่งอี๋เข้าไปยุ่งเรื่องของสกุลอื่น มันจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของสวีลิ่งอี๋
นางโอบเอวสวีลิ่งอี๋ ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา
“ชีเหนียงอยู่ที่เยี่ยนจิงเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ตกใจ “ทะเลาะกับจูอานผิงอีกแล้วหรือ”
“ตอนนั้นแขกเหรื่ออยู่ด้วยมากมาย ซื่อเหนียงจึงพูดไม่ชัดเจน” สืออีเหนียงพูดต่ออีกว่า “พรุ่งนี้ข้าจะไปหานางเพื่อถามไถ่ดีกว่า”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “ให้ข้าช่วยเกลี้ยกล่อมจูอานผิงหรือไม่”
“ดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด!” สืออีเหนียงพูดต่ออีก “เรื่องระหว่างสามีภรรยาเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้มากที่สุด บางทีเกลี้ยกล่อมอาจจะเป็นการช่วยเหลือ แต่บางทีก็อาจจะเป็นการเทน้ำมันราดลงในกองไฟก็ได้”
สวีลิ่งอี๋คิดว่าชีเหนียงเอาแต่ใจตัวเองมาตลอด ส่วนจูอานผิงก็เป็นคนใจกว้าง เขาจึงรู้สึกว่าครั้งนี้ชีเหนียงคงเป็นคนก่อเรื่องอีกแล้ว เลยไม่ถามอะไรสืออีเหนียงอีก พูดคุยกับนางสองสามประโยคจากนั้นก็นอนหลับพักผ่อน
วันต่อมา สืออีเหนียงบอกว่าจะไปหาซื่อเหนียง นางจึงพาจู๋เซียงไปที่จวนของซื่อเหนียงด้วย
อวี๋อี๋ชิงไม่อยู่ที่จวน ซื่อเหนียงเห็นสืออีเหนียงมาหาก็ตกใจ นางพูดว่า “เจ้ามาแล้วหรือ” จากนั้นก็พานางไปที่ห้องปีกทางทิศตะวันออกของเรือนหลัง
ห้องปีกสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบ ตกแต่งเรียบง่ายและสง่างาม สืออีเหนียงมองไปยังสตรีที่รูปร่างผอมบางและสีหน้าสับสนที่นั่งอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่างอยู่นาน จากนั้นก็ตะโกนเรียก “พี่หญิงเจ็ด” เบาๆ
ชีเหนียงมองมาที่นางแล้วยิ้ม “ข้าดูไม่เหมือนคนเดิมแล้วเช่นนั้นหรือ เจ้าถึงจำข้าไม่ได้”
สืออีเหนียงไม่กล้าโกหกหน้าตาย นางจึงเงียบอยู่ครู่หนึ่ง
ชีเหนียงชี้ไปที่เตียงเตาฝั่งตรงข้าม “นั่งคุยกันเถิด! ครั้งนี้ยังต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า!” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาปนเย่อหยิ่ง
ซื่อเหนียงมองนางด้วยสายตาที่รู้สึกผิด พูดเสียงเบา “นางสติสตังไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว น้องหญิงสิบเอ็ดเห็นแก่ข้า ยอมนางหน่อยเถิด!”
สืออีเหนียงมองซื่อเหนียงด้วยสายตาที่บอกว่า ‘ข้ารู้แล้ว’ จากนั้นก็เดินไปนั่งบนเตียงเตาตรงข้ามชีเหนียง
ในห้องไม่มีบ่าวคอยรับใช้ ซื่อเหนียงจึงไปชงชาให้สืออีเหนียงด้วยตัวเอง ชีเหนียงพูดเบาๆ ว่า “เขาสัญญากับข้าว่าหากไม่ได้จริงๆ ก็ให้รับบุตรของใครสักคนในบรรดาพี่น้องมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ในเมื่อตอนนี้จะรับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยง ก็ต้องรับบุตรในบรรดาพี่น้องของเรามาเลี้ยง”
สืออีเหนียงได้ฟังก็ประหลาดใจ
หากจูอานผิงเห็นด้วย แล้วเหตุใดชีเหนียงถึงต้องพูดย้ำคำสัญญานั้นซ้ำไปซ้ำมา
นางไม่พูดอะไร รับชาที่ซื่อเหนียงยื่นให้มาจิบจากนั้นก็พูดเบาๆ “พี่เขยเจ็ดไม่ได้มาด้วยหรือเจ้าคะ”
ชีเหนียงเม้มปากแล้วบอกว่า “ไม่ได้มาด้วย” อย่างตรงไปตรงมา แต่ซื่อเหนียงที่อยู่ข้างๆ กลับบอกว่า “มาด้วย” ทันทีที่พวกนางพูดออกมาพร้อมกัน ก็ทำให้สืออีเหนียงงุนงงไม่รู้ว่าจูอานผิงมาหรือว่าไม่มากันแน่
ซื่อเหนียงจึงมองหน้าชีเหนียงแล้วรีบพูดขึ้นว่า “มาอยู่ที่นี่สองวัน แต่เกิดเรื่องที่จวนจึงกลับไปที่เกาชิงแล้ว บอกว่าอีกสองวันจะมารับชีเหนียง” พูดด้วยน้ำเสียงที่มีกลิ่นอายของการช่วยชีเหนียงปิดบังอะไรบางอย่าง
เรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องถามแล้ว
สืออีเหนียงพยักหน้า นางพูด “เรื่องรับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยงเป็นเรื่องใหญ่ พี่หญิงเจ็ดอย่าใจร้อนเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ลุกขึ้นขอตัวลา
ชีเหนียงพยักหน้า ซื่อเหนียงออกไปส่งสืออีเหนียง
พวกนางสองคนเดินไปนั่งบนเตียงเตาข้างหน้าต่างในห้องข้างในของเรือนซื่อเหนียง
“ฉี่เกอล่ะเจ้าคะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วหยิบถุงผ้าออกมาจากแขนเสื้อ “ครั้งก่อนไปปล่อยนกปล่อยปลาให้จิ่นเกอที่วัดฉือหยวน ได้บูชายันต์เเคล้วคลาดมาด้วยจึงนำมาให้จิ่นเกอและฉี่เกอคนละชิ้น”
ซื่อเหนียงรับมา เอ่ยขอบคุณสืออีเหนียงแล้วเก็บไว้ในกล่องข้างๆ “เขาอยู่กับแม่นม!” จากนั้นก็เรียกสาวใช้เข้ามา “อุ้มคุณชายน้อยสามมาคารวะท่านน้าหญิงเถิด!”
สืออีเหนียงจึงถามถึงอวี๋เฉิงและอวี๋ลี่สองพี่น้อง “ไปเรียนแล้วหรือเจ้าคะ”
ซื่อเหนียงพยักหน้า “ความต้องการของพี่เขยสี่ของเจ้า เขาอยากให้เฉิงเกอลองลงสนามสอบปีหน้า ช่วงนี้กำลังเล่าเรียนอย่างหนัก!”
ขณะที่นางพูด แม่นมก็อุ้มฉี่เกอวัยครึ่งขวบเดินเข้ามา
“ไอ๊หยา!” สืออีเหนียงอุ้มเขา “อ้วนท้วมน่ารักเสียจริง!” จากนั้นก็มองดูฉี่เกอแล้วมองดูซื่อเหนียง “จมูกและตาเหมือนพี่หญิงสี่อย่างกับแกะเจ้าค่ะ”
ซื่อเหนียงยิ้ม นางบีบจมูกของบุตรชายเบาๆ แล้วพูดว่า “มีคนบอกว่าเหมือนข้า แล้วก็มีคนบอกว่าเหมือนพี่เขยสี่ของเจ้า แต่เขายังเด็ก ยังดูไม่ออกว่าเหมือนใครกันแน่!”
สืออีเหนียงจึงหยิบกลองป๋องแป๋งข้างๆ มาเล่นกับฉี่เกอ
“น่าเสียดายที่จิ่นเกอหน้าตาเหมือนท่านโหว” นางพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่พอคิดว่าเขาคือบุตรชายที่ข้าตั้งครรภ์มากว่าสิบเดือน ข้าก็ดีใจแล้ว” จากนั้นนางก็ถามซื่อเหนียง “พี่หญิงสี่เจ้าคะ ท่านคิดว่าแม่ทุกคนเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่”
ซื่อเหนียงเห็นนางถามเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “คนเป็นแม่ก็เป็นแบบนี้กันทุกคน!”
สืออีเหนียงเม้มปากยิ้ม “ข้าคิดว่าในบรรดาบุตรสามคน พี่หญิงสี่คงจะโปรดปรานฉี่เกอมากที่สุด!”
ซื่อเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เหตุใดเจ้าถึงพูดเช่นนี้”
“ข้าคิดว่า” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “ฉี่เกอหน้าตาเหมือนพี่หญิงสี่แบบนี้ เมื่อเขาโตไปแล้วแต่งงาน เขาก็จะมีหลานที่หน้าตาเหมือนพี่หญิงสี่ จากนั้นหลานก็คลอดเหลนที่หน้าตาเหมือนพี่หญิงสี่อีก…พี่หญิงสี่เห็นแบบนี้ คงจะดีใจกระทั่งนอนหลับก็ยังยิ้มกระมัง” นางเน้นย้ำ “หากเป็นข้า ข้าคงจะนอนยิ้มแน่นอน”
ซื่อเหนียงได้ฟังแล้วก็หัวเราะ
แต่สืออีเหนียงกลับมองดูซื่อเหนียงด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “พี่หญิงสี่ เหตุใดท่านถึงยอมปล่อยให้ฉี่เกอไปอยู่กับคนอื่นเล่า!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของซื่อเหนียงพลันแข็งทื่อ
สืออีเหนียงถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “พี่หญิงสี่คือคนที่มีความคิดเป็นของตัวเองมากที่สุดในบรรดาพี่น้อง หากเป็นข้า ข้าไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่นอน”
น้ำตาค่อยๆ รินไหลออกมาจากเบ้าตาของซื่อเหนียง นางหันหน้าออกไปแล้วก้มหน้าซับน้ำตา
“พี่หญิงสี่ เรื่องนี้…พี่หญิงต้องคิดให้ดีนะเจ้าคะ” สืออีเหนียงพูดด้วยน้ำเสียงที่มีความผิดหวัง “หากปล่อยให้ฉี่เกอไปยังเกาชิง เขาก็จะไม่ใช่บุตรของพี่หญิงอีกต่อไปแล้ว แล้วอีกอย่าง สถานการณ์ของสกุลจูวุ่นวายซับซ้อน หากพี่หญิงเจ็ดเป็นคนดูแลจวนต่อไปก็คงดี แต่หากว่าไม่…บุตรของพี่หญิงต้องอยู่ที่สกุลจู ถึงตอนนั้นพี่หญิงสี่จะทำเช่นไร…”
แต่นางยังพูดไม่ทันจบก็ถูกซื่อเหนียงพูดขัดจังหวะ
“เจ้าหยุดพูดเถิด!” นางพูดอย่างแน่วแน่ “ข้าทนมองชีเหนียงถูกคนสกุลจูเหยียบย่ำเช่นนี้ต่อไปไม่ได้…”
“พี่หญิงสี่เจ้าคะ” สืออีเหนียงมองดูซื่อเหนียงด้วยสายตาที่เคร่งขรึม “หากพี่หญิงเจ็ดเป็นคนดูแลจวนสกุลจู คลอดบุตรชายที่กตัญญู อีกหนึ่งร้อยปีถูกต้อนรับเข้าไปในศาลบรรพชนสกุลจู นี่ถึงจะถือเป็นชัยชนะที่แท้จริงของพี่หญิงเจ็ด แต่ไม่ใช่การรับบุตรของใครมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมเช่นนี้”
“ข้าจะไม่รู้ได้เช่นไร!” สีหน้าของซื่อเหนียงผ่อนคลายลง “แต่ชีวิตเป็นของชีเหนียง ต้องให้นางยอมทำเช่นนั้น”
สืออีเหนียงมองดูซื่อเหนียงด้วยสายตาที่แน่วแน่ “เราทุกคนไม่ช่วยนาง แต่หากผ่านไปอีกสักหน่อย พี่หญิงเจ็ดก็จะเข้าใจเอง”
ซื่อเหนียงหน้าแดง
คำพูดของสืออีเหนียงกำลังตำหนินางว่านางไม่มีเหตุผล ปล่อยให้ชีเหนียงก่อเรื่องเช่นนี้
“ข้าบอกนางว่า สตรีหากหย่าแล้วก็ต้องกลับสกุลเดิม นางบอกว่านางยอมกลับสกุลเดิม ข้าไล่นางออกไป นางก็จะไปตัดผมที่วัด” ซื่อเหนียงเช็ดน้ำตา “ท่านพ่อและท่านแม่…ไม่ได้อยู่ที่เยี่ยนจิง คนเป็นพี่อย่างข้า จะมองดูนางทำเรื่องเหลวไหลเช่นนั้นได้อย่างไร” นางพูด “แล้วตอนนั้นจูอานผิงก็ตอบตกลงให้รับบุตรใครสักคนในบรรดาพี่น้องของเรามาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ชีเหนียงเป็นคนไร้เดียงสา ตอนนี้สกุลจูเปิดศาลบรรพชนโดยไม่ถามนางสักคำ เจ้าจะให้นางคิดเช่นไร!”
เพราะพวกนางเป็นพี่น้องแม่เดียวกัน ทั้งๆ ที่รู้ว่าชีเหนียงทำไม่ถูก แต่นางก็ยังปกป้องชีเหนียง
สืออีเหนียงยิ้มอย่างขมขื่น นางพูดเบาๆ “พี่หญิงสี่เจ้าคะ พี่หญิงเคยคิดหรือไม่ว่าทำไมครั้งนี้สกุลจูถึงรีบร้อนเช่นนี้ ไม่ให้สกุลหลัวของเรามีทางหนีทีไล่เลยแม้แต่น้อย”
ซื่อเหนียงมาปรึกษาสืออีเหนียง ก็เพราะว่าในบรรดาพี่น้องด้วยกันสืออีเหนียงเป็นคนฉลาด เดิมทีซื่อเหนียงก็ไม่ได้อยากจะปิดบังอยู่แล้ว สืออีเหนียงถามเช่นนี้ นางจึงตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา “ชีเหนียงอะไรนิดอะไรหน่อยก็กลับสกุลเดิม เลยทำให้คนในสกุลจูรู้สึกอับอาย โดยเฉพาะครั้งก่อนที่เดินทางจากซานตงมาเยี่ยนจิง คนทั้งซานตงล้วนแต่ลือกันว่าสกุลจูทำผิดต่อชีเหนียง นายหญิงผู้เฒ่าสกุลจูโมโห เจอชีเหนียงก็ตำหนิชีเหนียง แล้วชีเหนียงก็ยังเป็นคนรักในศักดิ์ศรีของตัวเอง นายหญิงผู้เฒ่าสกุลจูยิ่งพูดเช่นนั้น นางก็ยิ่งไม่สนใจ เมื่อเวลาผ่านไป คนอื่นก็คิดว่าชีเหนียงไม่รู้ความ เย่อหยิ่ง บวกกับการที่นางไม่มีบุตร คนในสกุลจูให้ความสำคัญกับทายาทของตระกูล จึงไปบอกนายหญิงผู้เฒ่าสกุลจูจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น” นางพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ใช่เวลาที่จะมาตัดสินว่าใครถูกหรือผิด บุตรสาวสกุลหลัวอย่างเรา จะปล่อยให้คนอื่นรังแกเช่นนี้ไม่ได้ น้องสามขี้ขลาดตาขาว หวังอะไรจากเขาไม่ได้ ข้าบอกพี่ใหญ่แล้ว พี่ใหญ่ก็เห็นด้วยกับข้า ทางฝั่งสกุลจู พี่ใหญ่จะเป็นคนออกหน้าพูดให้ เจ้าแค่เกลี้ยกล่อมให้ท่านโหวไปพูดกับส่วนราชการบอกให้ส่วนราชการไม่ต้องเข้ามายุ่งเรื่องนี้ก็พอแล้ว” พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของนางก็ดูครุ่นคิด “จะปล่อยให้สกุลจูแต่งตั้งซื่อจื่อเช่นนี้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้น ถึงแม้ว่าชีเหนียงจะเป็นนายหญิงของสกุลจู ถึงตอนนั้นนางก็คงเป็นแค่หุ่นเชิด ไม่สู้ไม่มีทายาทยังจะดีเสียกว่า”
สืออีเหนียงมองดูซื่อเหนียงที่หลบตาตัวเอง ก็รู้ว่าวิธีนี้ไม่ได้ผล
นางจึงกลับจวน
*****
เสียงกีบม้ากระทบกับพื้นถนน หัวของสืออีเหนียงหมุนอย่างรวดเร็ว
บอกหลัวเจิ้นซิ่งแล้ว…ถึงแม้ว่าตัวเองไม่พูดกับสวีลิ่งอี๋ ถึงตอนนั้น หลัวเจิ้นซิ่งก็ต้องมาขอร้องสวีลิ่งอี๋…ตั้งแต่นางแต่งเข้ามาอยู่ในจวนสกุลหลัว สวีลิ่งอี๋ไม่เคยปฏิเสธสกุลหลัวเลยสักครั้ง…
คิดเช่นนี้ นางก็ขมวดคิ้วแน่น
รถม้าหยุดเดิน
“ฮูหยินเจ้าค่ะ ถึงจวนแล้วเจ้าค่ะ!” ท่านป้าผู้ติดตามรายงานอยู่นอกม่านด้วยความเคารพ
สืออีเหนียงจับไหล่ป้าซ่งเดินลงมาจากรถม้าอย่างเหม่อลอย
มีสาวใช้สองสามคนกระซิบกระซาบกันแล้วเดินมาทางนี้ เมื่อเห็นสืออีเหนียง พวกนางก็กลั้นหายใจแล้วยืมก้มหน้าก้มตาข้างกำแพง
สืออีเหนียงประหลาดใจ
“ฮูหยิน” ป้าซ่งกระซิบถาม “ท่านมีอะไรหรือเจ้าคะ”
สีหน้าของสืออีเหนียงตกตะลึง นางพูดกับป้าซ่ง “เราไปตรอกกงเสียนกันเถิด!”