หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 1315 โลกสามระดับชั้น

บทที่ 1315 โลกสามระดับชั้น
ในหัวของหวังเป่าเล่อเกิดเสียงดังสนั่น ทั่วทั้งจิตใจเกิดคลื่นยักษ์เทียมฟ้าซัดโหม เดิมทีจากระดับการฝึกตนและประสบการณ์ของเขา เขาไม่มีทางที่จะถูกสั่นคลอนได้ง่ายดายขนาดนี้
แต่…ภาพตรงหน้านั้นเหนือความคาดหมายของเขาอย่างสมบูรณ์ ทำให้ตอนนี้ในใจของหวังเป่าเล่อเกิดความสับสนด้านการรับรู้ขึ้น
คาดไม่ถึงว่ารูปลักษณ์ของวิญญาณจักรพรรดิจะเหมือนตัวเขาไม่มีผิด
คำตอบของความหมายนี้ทำให้แค่คิดนิดเดียวหวังเป่าเล่อก็ต้องหายใจหอบถี่แล้ว
และเวลาก็มีไม่พอให้เขาได้คิดอะไรมากมาย ตอนนี้เมื่อมองลึกลงไปที่ใบหน้าของวิญญาณจักรพรรดิซึ่งโผล่ออกมาหลังหน้ากากที่กลายเป็นกระดาษแล้วหลุดออก หวังเป่าเล่อก็ถอยหลังไปกระแทกเข้ากับตาข่ายยักษ์สีทองที่ด้านหลัง
เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ตาข่ายยักษ์สีทองถูกหวังเป่าเล่อกระแทกจนเกิดช่องว่าง ร่างของเขาราวกับสายฟ้าฟาด ถอยหลังเพียงชั่วพริบตาก็ทะลวงตาข่ายออกไปได้
เขารวดเร็วอย่างยิ่ง ระเบิดความเร็วจนถึงขีดสุดทันที พริบตาก็หายไปจากหมอกแดงของโลกภายนอก เมื่อบินออกไป หวังเป่าเล่อก็เก็บพลังฝึกตนและซ่อนกลิ่นอายลมหายใจทั้งหมด ถึงขนาดที่วิญญาณจักรพรรดิเหล่านั้นที่ไล่ตามเขามาจากภายในตาข่ายก็ยังสูญเสียร่องรอยของหวังเป่าเล่อไปหลังจากไล่ตามอยู่ระยะหนึ่ง
ราวกับจับตำแหน่งเขาต่อไม่ได้อีก หลังจากค้นหาอยู่พักหนึ่งก็เริ่มสงบลงแล้วพากันหลอมรวมเข้าไปในหมอกแดงจนหายลับไป
ส่วนทางด้านหวังเป่าเล่อ หลังจากเก็บงำกลิ่นอายแล้ว เขาก็เร่งความเร็วขึ้นจากในหมอกแดงราวกับมีจุดหมายที่แน่นอน แต่ความจริงตอนนี้ทั้งหัวของเขามีแต่ใบหน้าของวิญญาณจักรพรรดิผุดขึ้นมา ไม่สามารถลบออกไปได้แม้แต่นิด
“นี่มันผิดปกติอย่างยิ่ง!”
“อย่างแรก…จากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ของข้า วิญญาณจักรพรรดิเป็นขั้นสี่ที่ไม่สมบูรณ์ หรือกล่าวให้ถูกก็คือ วิญญาณจักรพรรดิควรจะเป็นการดำรงอยู่ประเภทหุ่นเชิดอะไรทำนองนั้น และจุดกำเนิดของมัน…ก็คือตัวของมหาเทพ”
“เช่นนั้นก็สามารถอนุมานได้ว่าวิญญาณจักรพรรดิน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของมหาเทพ”
“นี่อธิบายได้ถึงเหตุผลที่ตรงนี้มีขั้นสี่ปรากฏตัวขึ้นมากมาย ถึงอย่างไรระดับแบบมหาเทพก็สามารถแบ่งแยกดวงจิตเทพแสนดวงออกมาเป็นจักรพิภพกว้างใหญ่ไพศาลแสนแห่งได้ เช่นนั้น…การมีหุ่นเชิดมากมายขนาดนี้ปรากฏตัวขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย”
“ส่วนเรื่องที่ทำไมถึงได้เหมือนตัวข้าไม่มีผิดนั้น…มีความเป็นไปได้สองอย่าง” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ประกายเฉียบคมแฝงอยู่ในแววตา
“ความเป็นไปได้อย่างแรกคือเพื่อที่จะต่อต้านการปล้นชิงธาตุไม้มาจากห้าธาตุ มหาเทพจึงกระจายไปอยู่ในจักรพิภพกว้างใหญ่แสนแห่งยกเว้นโลกแห่งศิลาที่ข้าอยู่ และจักรพิภพทั้ง 99,999 แห่งที่เหลือก็กลายเป็นผลแห่งเต๋าจากความสำเร็จในขั้นสุดท้ายของเขา”
“ผลแห่งเต๋าแต่ละผลล้วนกลายเป็นวิญญาณจักรพรรดิในที่แห่งนี้ สาเหตุที่หน้าตาเหมือนกับข้าก็เพราะว่า…ถ้าไม่ใช่ความบังเอิญล่ะก็ ข้าก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาด้วยเช่นกัน พวกเขาล้วนเป็นข้า ข้าก็เป็นพวกเขา…”
หวังเป่าเล่อเงียบงัน การอนุมานเช่นนี้เขาคิดว่าสมเหตุสมผลมาก แต่ก็ไม่รู้ทำไมในหัวจึงปรากฏความเป็นไปได้อย่างที่สองขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ร่างเดิมของมหาเทพหน้าตาเป็นอย่างไร…จะเหมือนกับข้าหรือไม่…” สำหรับความเป็นไปได้ข้อนี้ หวังเป่าเล่อไม่อยากและไม่กล้าที่จะคิด ดังนั้นหลังจากเงียบงันไปนาน เขาก็สูดลมหายใจลึก
“ความเป็นไปได้อย่างที่สองนี้เป็นแค่ความคิดเรื่อยเปื่อยของข้าเท่านั้น น่าจะไม่ใช่เรื่องจริง…จะต้องไม่ใช่เรื่องจริง!” หวังเป่าเล่อหลับตาลง ไม่นานก็ลืมตาแล้วกลบฝังความคิดทั้งหมดไว้ที่ก้นบึ้งจิตใจ เขาโบกมือขวาขึ้น แล้วปล่อยเด็กหนุ่มจากเต๋าสายสุขที่ถูกตนเก็บไว้ในแขนเสื้อออกมา
ทันทีที่เด็กหนุ่มถูกปล่อย เขาก็มีอาการงุนงงสับสนเป็นอย่างแรก จากนั้นก็นึกได้ถึงภาพก่อนหน้านี้ จึงมองซ้ายมองขวาและหน้าเปลี่ยนสีทันที หลังพบว่ารอบตัวไม่มีวิญญาณจักรพรรดิแล้ว เขาก็ชะงักนิ่ง ในใจโล่งอก แต่ต่อจากนั้นเปลี่ยนเป็นความตกตะลึงเมื่อพบว่าหวังเป่าเล่อไม่บาดเจ็บเลยสักนิดเดียว
“ผู้อาวุโส…”
“พูดมา คนโบราณที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้คืออะไร แล้วยังมี ทำอย่างไรถึงจะเข้าไปในโลกที่เจ้าอยู่ได้!” หวังเป่าเล่อมองเด็กหนุ่ม น้ำเสียงสงบนิ่ง เอ่ยช้าๆ
คำพูดเรียบนิ่งของหวังเป่าเล่อสร้างแรงกดดันใหญ่หลวงให้กับเด็กหนุ่มผู้นี้มาก ตอนนี้เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่คนโบราณที่ตื่นขึ้น แต่เป็นคนที่มาจากโลกภายนอก ทั้งยังทรงพลังในระดับที่น่ากลัวอีกต่างหาก
เกรงว่าแค่เพียงสายตาก็พอจะฆ่าตนได้แล้ว
สำหรับตัวตนเช่นนี้ เด็กหนุ่มไม่กล้าปิดบังแม้แต่นิด และไม่กล้ามีความคิดวอกแวกใดๆ ด้วย เขาเพียงพยายามทำตัวเชื่อฟังให้ได้มากที่สุด แล้วบอกเรื่องที่ตัวเองรู้ทั้งหมดออกไป
เด็กหนุ่มไม่รู้จักมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิด และไม่รู้จักโลกที่ตนอยู่ มองจากโลกภายนอก จักรวาลมีอยู่ 108 แห่ง แต่ในความรู้ของเขา ที่นี่มีอยู่เพียงแผ่นดินเดียว
แผ่นดินนี้ไร้ขอบเขตไร้ที่สิ้นสุด ว่ากันว่ามีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเดินไปจนถึงสุดขอบโลก
แต่โลกที่มีคนเพียงไม่กี่คนเดินไปจนถึงสุดขอบแห่งนี้กลับไม่ได้มีแค่ชั้นเดียว ในความรู้ของเด็กหนุ่มตั้งแต่เล็กจนโต โลกแบ่งเป็นสามชั้น
ชั้นที่หนึ่งเรียกว่าโลกนิทรา
ชั้นที่สองเรียกว่าโลกโลกา
ชั้นที่สามเรียกว่าโลกสุสาน
สถานที่ที่เขาอาศัยนั้นอยู่ในชั้นที่สอง ส่วนชั้นที่หนึ่ง สำหรับเขาแล้วมันคือตำนาน เป็นที่ที่ไม่เคยไป ทั้งยังบอกกันว่าเป็นโลกที่วิญญาณจักรพรรดิอาศัยอยู่
ส่วนบริเวณที่อยู่ ณ ตอนนี้ ตามคำพูดของเด็กหนุ่ม มันคือส่วนระหว่างชั้นที่สองและชั้นที่สาม หากลงไปอีกก็เป็นโลกสุสานแล้ว และพวกคนโบราณก็มาจากโลกสุสานนี้
ส่วนเรื่องเล่าเกี่ยวกับโลกสุสานนั้นมีมากมาย หนึ่งเรื่องที่แพร่หลายอย่างกว้างขวางที่สุดก็คือ ฟ้าดินในอดีตนั้นแตกต่างจากที่เห็นในปัจจุบัน ที่นั่นมีหมื่นเต๋าคอยโต้แย้งกัน ผู้แข็งแกร่งมากมายราวกับเมฆา
แต่กลับเกิดภัยพิบัติปริศนาครั้งหนึ่ง ทุกอย่างในอดีตจึงถูกกลบฝัง ดังนั้นจึงเกิดเป็นโลกสุสานขึ้นมา ในนั้นไม่ได้ฝังไว้เพียงแค่อารยธรรมเท่านั้น แต่ยังฝังผู้ฝึกตนในคราวนั้นเอาไว้ด้วย
แม้ว่าผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ล้วนกลายเป็นเถ้ากระดูกไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังมีบางส่วนที่อยู่ในสภาวะนิทรา พวกเขาจะตื่นขึ้นมาทีละคนๆ จากนั้นก็ออกจากโลกสุสาน แล้วตระเวนมาถึงโลกโลกาชั้นที่สอง
คนเหล่านี้ล้วนถูกเรียกว่าคนโบราณ และพวกเขาแต่ละคนล้วนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
“ดังนั้น คนโบราณเหล่านี้จึงกลายเป็นกลุ่มอิทธิพลหลักฝ่ายที่สามในโลกโลกาชั้นที่สอง พวกเราเรียกกลุ่มอิทธิพลของพวกเขาว่า…เมืองโบราณ”
“ส่วนอิทธิพลหลักอีกสองฝ่ายนั้นแบ่งเป็นเจ็ดแกนหลักที่เกิดจากเจ็ดอารมณ์อันได้แก่ สุข โกรธ กังวล รักใคร่ เศร้าโศก หวาดกลัว สะเทือนใจ และหกเมืองปรารถนาซึ่งฝึกตนจากปรารถนาทั้งหกอันได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และอารมณ์”
“ผู้อาวุโส ข้านั้นเป็นผู้ฝึกตนจากเต๋าแห่งสุขในเจ็ดอารมณ์ขอรับ”
“ส่วนผู้ร่ำร้องก่อนหน้านี้นั้น พวกเขาเป็นผู้ฝึกตนของเมืองปรารถนาเสียง หนึ่งในหกปรารถนาขอรับ!”
“เป็นเพราะเจ้าแห่งเต๋าสายสุขของข้าถูกเจ้าแห่งปรารถนาเสียงสยบไว้ ดังนั้นเต๋าสายสุขของข้าจึงเสื่อมถอย แต่ละสำนักสาขาทำได้เพียงซ่อนตัวแล้วพยายามอยู่รอด”
“ส่วนที่ว่าจะออกไปจากที่นี่เพื่อเข้าสู่โลกชั้นที่สองได้อย่างไรนั้น สำหรับพวกข้าแล้วง่ายดายอย่างยิ่ง เพียงแค่ต้องชักนำกฎเกณฑ์พลังเต๋า จากนั้นก็จะถูกพลังชักนำเข้าไปเองขอรับ” เด็กหนุ่มพูดถึงตรงนี้ก็แอบชำเลืองมองหวังเป่าเล่ออึกๆ อักๆ
หวังเป่าเล่อท่าทางครุ่นคิด ก่อนหน้านี้เขาลองมาหลายวิธีแล้ว แต่ก็ไม่อาจออกไปจากพื้นที่ไอหมอกผืนนี้ได้เลย ตอนนี้ดูแล้วน่าจะเป็นเพราะกฎเกณฑ์พลังแตกต่างกันจึงไม่อาจถูกชักนำเข้าไปได้
ขณะที่หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่ตรงนี้ ทางฝั่งเด็กหนุ่มก็คล้ายชั่งใจ เขากัดฟันรุนแรงแล้วโพล่งขึ้นว่า
“ผู้อาวุโสจะเข้าไปในโลกโลกาชั้นที่สอง ก็จำเป็นต้องฝึกฝนกฎเกณฑ์ให้ตรงตามที่กำหนด ผู้น้อยยินดีแบ่งเต๋าสายสุขของตัวข้ามาเป็นเมล็ดพันธุ์เพื่อมอบให้ผู้อาวุโสฝึกตนตระหนักรู้ขอรับ”
…………………………………………
หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท