แม้ว่าแผ่นหลังนั้นจะโดดเดี่ยว แต่กลับนับได้ว่าเหยียดตรง
เห็นแผ่นหลังเหยียดตรงนั่นแล้ว ในใจมั่วเชียนเสวี่ยกลับไม่มีความสุขสักนิดเดียว
วันแต่งงานของหัวหน้าตระกูลหนิง ไม่สามารถจัดงานส่งเดชได้
ได้รับความไว้วางใจจากหัวหน้าตระกูลหนิง ในเวลาหนึ่งวัน สำนักหอดูดาวหลวงก็ใช้แผนภูมิสวรรค์ น้ำดินและธาตุทั้งห้าของทั้งสองคนในการคำนวณฤกษ์งามยามดีที่ดีที่สุดในปีออกมาสามวัน
หัวหน้าตระกูลหนิงได้ฤกษ์ที่เหมาะสมแล้ว ก็ให้สำนักหอดูดาวหลวงยื่นฎีกาให้ฮ่องเต้
มั่วเชียนเสวี่ยกับชังมู่เพิ่งจากไป ฮ่องเต้ก็ได้รับข่าวว่าเจิ้นหนานอ๋องเร่งเดินทางออกจากเมืองหลวง
ตอนนี้กำลังพิโรธ
ทว่า เมื่อได้รับฎีกาทูลขอพระราชทานงานสมรส แม้ว่าพระองค์กำลังพิโรธ ก็ไม่สามารถปฏิเสธเรื่องนี้ได้
ฮ่องเต้บีบฎีกาฉบับนั้นแน่น นัยน์ตาฉายแววอันตราย ปรารถนาที่จะบีบฎีกาฉบับนี้ให้แหลก
สำนักหอดูดาวหลวงที่ยื่นฎีกา ไม่เคยเห็นฮ่องเต้พิโรธเช่นนี้
จึงถูกพลังอำนาจข่มให้ทรุดตัวลงกับพื้น กลัวตัวสั่นงันงก เหงื่อไหลโทรมกาย
ฮ่องเต้ประทับอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ คนของสำนักหอดูดาวหลวงก็คุกเข่าอยู่ที่พื้นไม่กล้าขยับ และยิ่งไม่กล้าจะเอ่ยวาจาสักคำ
สายพระเนตรฮ่องเต้กำลังเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ ตอนนี้นอกจากจะทำให้ภายนอกดูสงบแล้ว เขาก็ไม่สามารถเปิดเผยความรู้สึกอะไรออกมาได้
ไม่อาจปฏิเสธ ทำได้เพียงแค่ช่วยให้สมปรารถนา
ข่มกลั้นเพลิงโทสะทั้งอย่างนั้น วงเลือกวันที่ห่างไกลจากวันนี้มากที่สุดในสามวันนี้ นับว่าเป็นการตอบฎีกาฉบับนี้แล้ว และโบกมือให้ขันทีลู่นำฎีกาฉบับนี้ไปมอบให้ขุนนางจากสำนักหอดูดาวหลวง จากนั้นค่อยส่งต่อให้หัวหน้าตระกูลหนิง ก็นับว่าเป็นการอนุญาตแล้ว
วันที่เลือกคือวันที่สิบสองเดือนสอง ห่างจากเทศกาลตรุษจีนไม่กี่วัน
แต่กลับห่างจากตอนนี้อีกครึ่งปี
เขายังมีเวลาอีกครึ่งปี
ภายในเวลาครึ่งปีนี้ เขาจะต้องทำให้สองคนที่ขวางหูขวางตาเขาหายไปให้หมด ให้คนที่ไม่เชื่อฟังเขายอมก้มหัวศิโรราบให้เขาทั้งหมด
คนที่ถ่ายทอดราชโองการจากไปแล้ว โลหิตที่ฮ่องเต้กลั้นเอาไว้ก็กลั้นไม่อยู่อีกต่อไป กระอักออกมาในที่นั้นทันที
โลหิตสายหนึ่งสาดลงบนโต๊ะทรงอักษรในห้องทรงพระอักษร
สีแดงฉาน!
ทำให้ขันทีลู่ ขันทีคนสนิทที่ปรนนิบัติอยู่ด้านข้างตะลึงงัน
ขันทีลู่จะให้คนไปเชิญหมอหลวง แต่กลับถูกฮ่องเต้ขวางเอาไว้
เขาเป็นคนชอบเอาชนะคนอื่นมาชั่วชีวิต จะให้คนรู้ว่าร่างกายตนเองมีปัญหาในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ได้อย่างไร?!
ให้มั่วเชียนเสวี่ยกับหนิงเซ่าชิงดูแคลนเขา
เขาเป็นฮ่องเต้ เป็นโอรสสวรรค์ หากจะพ่ายแพ้ ก็ต้องพ่ายแพ้อย่างมีศักดิ์ศรี
ขันทีลู่ปวดใจชั่วขณะ
ฝ่าบาทไม่ให้แพร่ข่าวออกไป เขาก็ทำได้เพียงแค่หยิบผ้าเช็ดผืนหนึ่งออกมาจัดการทำความสะอาดคราบโลหิตบนโต๊ะทีละนิดๆ จนสะอาด
ดวงอาทิตย์คล้อยไปทางทิศตะวันตก ฟ้ามืดแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยเพิ่งจะเดินออกมาจากวังหลวงก็เห็นรถม้าสีถ่านจอดอยู่ไม่ไกลคันหนึ่ง
รถม้าคันนั้นไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ มองดูแล้วไม่สะดุดตา แต่ชนชั้นสูงผู้มีอำนาจในเมืองหลวงล้วนรู้ว่า มันทำจากไม้กฤษณาพันปี ไม่ถูกแมลงกัดกิน ทนลมทนฝน แข็งแรงทนทานมาก
รถม้าคันนี้ไม่สะดุดตา แต่ทว่าในเมืองหลวง ทั่วทั้งเทียนฉี กลับมีเพียงคันเดียว
เป็นยานพาหนะสำหรับหัวหน้าตระกูลหนิงแต่ละรุ่น
หัวใจอุ่นวาบ
ยิ้มหวานให้กับม่านที่แง้มขึ้นเป็นช่องเล็กๆ ด้านข้างบนรถม้า
รู้สึกว่าช่องว่างนั้นถูกปิดลงแล้ว สมองก็ประทับภาพมุมปากที่โค้งขึ้นนั้นเอาไว้ มั่วเชียนเสวี่ยหันหน้าไป
กำชับชังมู่ที่อยู่ด้านข้างว่าอย่ากลับศาลาพักม้า ให้ไปพักที่บ้านไร่ของนาง พร้อมกับส่งชังมู่ขึ้นรถม้าที่อาอู่บังคับม้าแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็เดินยิ้มๆ ไปทางรถม้าสีถ่านคันนั้น
ผู้บังคับรถม้า ที่นั่งอยู่ริมรถม้าย่อมเป็นเตาหนู ด้านหลังยังมีองครักษ์ขี่ม้ากลุ่มหนึ่งติดตามมาด้วย
เห็นมั่วเชียนเสวี่ยเดินมา องครักษ์นายหนึ่งก็รีบกระโดดลงมา ยกม้านั่งตัวเล็กให้มั่วเชียนเสวี่ยขึ้นรถม้า
มือเพิ่งจะแตะถูกม่านรถ ก็ถูกลมหอบหนึ่งม้วนเข้ามาในตัวรถ
หลังจากนั้น ก็ถูกคนออกอุบายให้ทำตามที่ตนเองต้องการ
และหลังจากนั้น ก็ถูกมองสำรวจ
ภายในรถม้ามีเสียงกระซิกๆ ลอยออกมา แต่นอกตัวรถกลับไม่ได้ยินแม้แต่น้อย
รถม้ายังคงเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ออกจากเมืองไปอย่างไม่เร็วไม่ช้า
ไม้กฤษณาพันปีนี้มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือกั้นเสียง
มั่นใจแล้วว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ใครบางคนที่หลอกกินเต้าหู้[1]ไปเล็กน้อย ถึงได้ยอมปล่อยมือ
มั่วเชียนเสวี่ยจัดอาภรณ์ให้เรียบร้อย มองตัวต้นเหตุของเรื่องตาขวาง
ตัวต้นเหตุนั่นกลับลากนางเข้าไปในอ้อมแขน ทว่าครั้งนี้ไม่ได้กระทำการผิดปกติอันใด แต่กอดเอาไว้ในอ้อมแขนเบาๆ ถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องพิจารณาคดีวันนี้ด้วยความเป็นห่วง
มั่วเชียนเสวี่ยเล่าจุดจบของเจิ้นหนานอ๋องรอบหนึ่ง หนิงเซ่าชิงไม่ออกความเห็นอะไร
เสวี่ยเสวี่ยใจดี มีเมตตา นอกจากความแค้นของบิดามารดาตนเอง ในใจก็ยังมีประชาชนของแคว้นเทียนฉี
แต่หวังว่าเจิ้นหนานอ๋องจะสามารถสำนึกตัวได้ตั้งแต่นี้ไป อย่ามาหาเรื่องเชียนเสวี่ยกับชายแดนตะวันตกอีก
ถ้าหากว่าเขาต้องการหาเรื่องจริงๆ ก็เอาชีวิตเขาเสียเลย เขาไม่สนใจประชาชนหรือไม่ใช่ประชาชน ทำสงครามหรือไม่ทำสงครามอะไรนั่น เขาแค่ต้องการให้เชียนเสวี่ยปลอดภัย เขาต้องการแค่เหนื่อยครั้งเดียว แต่สบายไปทั้งชาติ
พวกเขาตระกูลหนิงจงรักภักดีต่อตระกูลเท่านั้น ไม่ใช่ฮ่องเต้ ไม่ใช่ราชวงศ์กูซื่อ ภารกิจของหัวหน้าตระกูลหนิงคือ ทำให้ตระกูลเจริญรุ่งเรืองก็พอ ไม่ไปสนใจหรอกว่าใครจะเป็นฮ่องเต้ ใครเป็นผู้มีอำนาจ
หนิงเซ่าชิงที่ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว เห็นมั่วเชียนเสวี่ยเศร้าใจ ก็เอ่ยเรื่องสำคัญกับมั่วเชียเสวี่ยขึ้นมา
“สายลับของหนานหลิงตรวจสอบเรื่องของหลูเจิ้งหยางอย่างถี่ถ้วนแล้ว อาจารย์ของเขา ที่เรียกกันว่ายอดฝีมือคนนั้นเป็นชาวหนานหลิง มียศถาบรรดาศักดิ์ในหนานหลิง ทั้งยังมอบบุตรีของตนเองให้หมั้นหมายกับเขา…”
หนิงเซ่าชิงตรวจสอบฐานะลับๆ ในหนานหลิงของหลูเจิ้งหยางจนความจริงปรากฏขึ้นมา มั่วเชียนเสวี่ยเกิดสงสัยในใจ “เขาเป็นชาวหนานหลิงหรือ”
ชาวหนานหลิงคนหนึ่งจะสามารถแฝงตัวอยู่ในเทียนฉีนานหลายปีขนาดนี้ได้อย่างไร เขามีความสามารถ หรือว่าชาวเทียนฉีไร้ความสามารถเกินไป
“ไม่! เขาเป็นชาวเทียนฉีอย่างแท้จริง เพียงแต่ ฐานะของเขาพิเศษมาก อีกทั้งแม้ว่าจะเป็นที่หนานหลิง ก็มีไม่กี่คนที่เคยเห็นหน้าตาที่แท้จริงของเขา”
ในเมื่อยืนยันฐานะของหลูเจิ้งหยาง และแน่ใจในเป้าหมายของเขาแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะเก็บเขาเอาไว้อีก
คิดจะจับเขา ก็ไม่ยาก
ในมือพวกเขายังมีอวิ๋นอิ๋นที่เป็นเบาะแสอยู่
ไม่ต้องให้หนิงเซ่าชิงแนะนำ มั่วเชียนเสวี่ยก็คิดแผนการให้หลูเจิ้งหยางโยนตนเองเข้าไปในแหได้แล้ว
หนิงเซ่าชิงยิ้ม ลูบศีรษะมั่วเชียนเสวี่ย เป็นการอนุญาตไปโดยปริยาย
ส่งมั่วเชียนเสวี่ยกลับบ้านไร่แล้ว หนิงเซ่าชิงก็เร่งรถม้าจากไป เตรียมตัวฟังข่าวดีของมั่วเชียนเสวี่ย
มั่วเชียนเสวี่ยลากสังขารที่เหนื่อยล้ากลับบ้านไร่แล้ว ก็สั่งให้ชูอีตักน้ำชำระกาย ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์
หลังจากเบิกบานใจไปเมื่อวาน ก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว กลางค่ำกลางคืนจะเรียกคนส่งน้ำมาให้ชำระกายได้เช่นไร จึงทำได้แค่ให้ชูอียกน้ำร้อนเข้ามาเช็ดร่างกาย แล้วก็เข้านอน
วันนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ชังมู่มารอแต่เช้าตรู่ แม้ว่านางอยากจะขัดเกลาชังมู่ กินอาหารเช้าอย่างเชื่องช้า ก็ไม่สะดวกที่จะเรียกหาน้ำ เพื่อชำระกายหรอกนะ
ชูอีเพียงแค่ยิ้มอย่างเข้าใจ และให้สืออู่ที่ติดตามอยู่ข้างกายไปห้องครัวจัดเตรียม
ตนเองไปประคองมั่วเชียนเสวี่ยเดินเข้าไปข้างใน พลางเอ่ยว่า “คุณหนู กูเหยียดีต่อท่านมากจริงๆ เจ้าค่ะ! เช่นนี้ในภายหน้า พวกเราก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่ากูเหยียจะปฏิบัติไม่ดีต่อคุณหนูแล้ว”
[1] กินเต้าหู้ หมายถึง แต๊ะอั๋ง ลวนลาม หาเศษหาเลยแบบเบาๆ