ฮููหยินผู้เฒ่านั่งเรียบร้อยบนเก้าอี้พยักหน้าคล้ายกับพอใจในตัวมั่วเชียนเสวี่ยมาก
และเอ่ยกับฉือหมัวมัวที่อยู่อีกด้านว่า “ได้พบกันในวันนี้ คุณหนูใหญ่ตระกูลมั่วถูกใจข้ายิ่ง เจ้าไปหยิบกำไลข้อมือศิลาโลหิตจากชั้นวางเครื่องประดับคู่นั้นมามอบให้คุณหนูใหญ่ตระกูลมั่วเถอะ”
ฉือหมัวมัวเป็นคนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่า แต่รู้สึกสับสนกับท่าทีที่เปลี่ยนแปลงเช่นนี้ของฮูหยินผู้เฒ่าเล็กน้อย
ก่อนจะเข้าประตูมา ยังกำชับนางว่า ให้ทำเช่นไรก็ได้ให้คุณหนูใหญ่ตระกูลมั่วอับอายต่อหน้าหัวหน้าตระกูล จนถึงขั้นคิดเรียบร้อยแล้วว่า แค่นางมีท่าทีไม่เคารพ ฮูหยินผู้เฒ่าจะแกล้งทำเป็นหมดสติจากอาการป่วย
ถึงอย่างไรนางหญิงก็ปวดหัวจริงๆ ท่านหมอที่มาตรวจได้ให้คำอธิบายว่า เกิดจากสภาพจิตใจอันหดหู่ จึงทำให้ลมปราณสะดุด
ดังนั้น การมาเยี่ยมเยียน เข้าพบฮูหยินผู้เฒ่าของคุณหนูใหญ่ตระกูลมั่วครั้งแรก ก็ทำให้หยินผู้เฒ่าโมโหจนป่วยแล้ว เช่นนี้ก็จะถูกโยนความผิดใหญ่หลวงอย่างการเป็นสตรีอกตัญญู ไร้คุณธรรม และไม่รู้ความคนหนึ่ง
ไม่ว่าหัวหน้าตระกูลจะมีท่าทีต่อฮูหยินผู้เฒ่าเช่นไร แต่ท้ายที่สุด ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังคงเป็นย่าแท้ๆ ของเขา และมีสายเลือดเดียวกันอยู่ดี
ในภายภาคหน้า นางไม่เพียงจะไม่มีที่ยืนในตระกูลหนิง แต่ยังทิ้งภาพความทรงจำอย่างการไม่เคารพผู้อาวุโสไว้ในใจหัวหน้าตระกูลอีกด้วย ถึงจะแต่งงานเข้ามาแล้ว พวกนางแค่ใช้กลอุบายเล็กน้อย ก็สามารถทำให้นางลืมตาอ้าปากไม่ได้ไปตลอดชีวิต
ทว่า ตอนนี้กลับทั้งยิ้มให้ ทั้งให้ของ…
แต่ฉือหมัวมัวก็มีข้อดีอย่างหนึ่งคือ ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เมื่อผู้เป็นนายเปลี่ยนท่าที นางก็เปลี่ยนตามไปด้วยเช่นกัน
นางยิ้มหวาน นำกล่องเครื่องประดับที่ใส่กำไลศิลาโลหิตเข้ามา พลางเอ่ยว่า
“ฮูหยินผู้เฒ่ารักหลานชาย คุณหนูเชียนเสวี่ยมาเยี่ยมครั้งแรก ฮูหยินผู้เฒ่าก็ให้ของขวัญล้ำค่าเช่นนี้แล้ว กำไลคู่นี้สร้างจากศิลาโลหิตที่หาได้ยากเจ้าค่ะ ได้ยินมาว่าประดับติดกายแล้ว จะช่วยให้จิตใจสงบสบาย ทำให้อายุยืนยาว…เป็นของที่หัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนหามามอบให้ฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อหลายปีก่อน ฮูหยินผู้เฒ่าตัดใจนำมาใส่ไม่ได้มาตลอด”
ฮููหยินผู้เฒ่าตำหนิยิ้มๆ “เจ้าน่ะพูดมาก”
บรรยากาศภายในห้องตอนนี้เต็มไปด้วยความสุข
มั่วเชียนเสวี่ยเข้าใจนัยความหมายในวาจาของฉือหมัวมัว ดูท่ามิตรภาพในวันนี้จะลึกซึ้งเอาการ ฮูหยินผู้เฒ่าถึงขั้นทุ่มสุดตัวเลย
จึงลองปฏิเสธดู “ของล้ำค่าเช่นนี้ ทั้งยังเป็นความกตัญญูของหัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนที่มีต่อฮูหยินผู้เฒ่าด้วย เชียนเสวี่ยจะกล้ารับได้อย่างไรเจ้าคะ…”
ฮููหยินผู้เฒ่ามองตอบกลับมาอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าก็รับไปเถอะ อย่างไรก็ไม่ใช่คนนอก”
หนิงเซ่าชิงก็เอ่ยเช่นกัน “ท่านย่าให้ เจ้าก็รับเอาไว้เถอะ” เขาคิดมาตลอดว่า ผู้อื่นทำดีกับมั่วเชียนเสวี่ย ก็หมายถึงทำดีกับเขา
ผู้อาวุโสมอบของให้ ไม่สามารถปฏิเสธได้
ยิ่งไปกว่านั้น นี่ก็เป็นของขวัญพบหน้ากันครั้งแรก
ฮูหยินผู้เฒ่าถึงขั้นเอ่ยวาจาชวนซึ้งใจอย่าง ‘เจ้าไม่ใช่คนนอก’ ออกมาแล้ว ดูสิว่า ให้ความสนิทสนมและอบอุ่นใจมากขนาดไหน! หากนางยังเอ่ยมากกว่านี้ ก็จะกลายเป็นการเสแสร้งแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยรีบยื่นมือไปรับ
จากนั้นก็ตั้งใจประคองกล่องเครื่องประดับ แสดงท่าทีขอบคุณด้วยความเคารพ
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแหวนหยกโลหิตที่สวมอยู่บนนิ้วมือที่มีเพียงทางเหนือสุดซึ่งมีอากาศหนาวเหน็บเท่านั้นถึงจะผลิตออกมาได้บนมือที่ยื่นออกมารับกล่องเครื่องประดับของมั่วเชียนเสวี่ยวงนั้นได้ในแวบเดียว
จึงรู้สึกคับข้องใจขึ้นมาทันที
หยกโลหิตนี้หาได้ยากยิ่ง ตอนนำกลับมา เดิมนางนึกว่าหลานชายตนเองจะเลือกมามอบให้ตนเองสักชิ้นสองชิ้น
สุดท้ายกลับได้ยินมาว่า นำไปทำเครื่องประดับศีรษะให้มั่วเชียนเสวี่ยทั้งหมด โดยไม่เหลือสักชิ้นเดียว
แหวนบนนิ้วมั่วเชียนเสวี่ยวงนี้เลี่ยมจากหยกโลหิต ขนาดเล็กใหญ่คล้ายไข่นกพิราบ สดใสพร่างพราว อย่างหาได้ยากยิ่ง
นางไม่ได้ละโมบในเงินทอง นางเพียงแต่เป็นผู้ชราที่รู้สึกอิจฉาเอาแต่ใจเหมือนเด็กน้อยเท่านั้นเอง
ฮููหยินผู้เฒ่าถอนสายตากลับมา นางคับข้องใจ แต่บนใบหน้ากลับแย้มรอยยิ้มมีเมตตา
มองไปทางหนิงเซ่าชิง แล้วชมว่า “แม่หนูเชียนเสวี่ยเป็นคนรู้ความ และมีวาสนาดีคนหนึ่ง ในภายภาคหน้ามีคนที่เจ้ารักมากคนหนึ่ง ย่าก็วางใจแล้ว”
สีหน้าเย็นชาของหนิงเซ่าชิงคลายลงเล็กน้อย “ท่านย่าชอบก็ดีขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ามองมั่วเชียนเสวี่ย ดึงมั่วเชียนเสวี่ยขึ้นมานั่งในตำแหน่งข้างนางด้วยท่าทีสนิทสนม พลางหยอกล้อว่า “เด็กน้อย ข้าอายุมากแล้ว ร่างกายใช้การไม่ค่อยได้แล้ว ในภายหน้ารอเจ้าแต่งเข้ามา ก็ช่วยสงเคราะห์ผู้ชราเช่นข้า ดูแลเรื่องราวมากมายของตระกูลหนิงด้วย ข้าจะเพลิดเพลินกับชีวิตที่สุขสบายสักหลายปี”
มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มลำบากใจ “ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวอันใดกันเจ้าคะ ฮูหยินผู้เฒ่าสุขภาพแข็งแรง ย่อมต้องอายุยืนยาวร้อยปีเจ้าค่ะ”
ทั้งคู่เอ่ยวาจาใส่ใจกันและกัน
“แม่หนูตัวคนเดียว นานหลายปีขนาดนี้ไม่ง่ายเลย…”
“ขอบคุณความเป็นห่วงของฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ มีท่านอยู่ แม้จะลำบาก แต่ก็…”
ทั้งสองคนสนทนากันไปมา คล้ายกับถูกชะตากันมาก
หนิงเซ่าชิงที่นั่งอยู่อีกด้าน สีหน้าผ่อนคลายลงมาก มุมปากยกยิ้มกว้าง ในใจก็รู้สึกโล่งอกมาก
ภาพเหตุการณ์ปรองดองกันเช่นนี้ เป็นสิ่งที่เขารอคอย
คาดว่าผ่านเรื่องหมั้นหมายในครั้งที่แล้ว ท่าทีของเขากับท่านพ่อทำให้ท่านย่าสะเทือนใจ ท่านย่าจึงคิดได้แล้ว
ไม่ว่าอย่างไร ขอแค่ท่านย่ายอมรับมั่วเชียนเสวี่ยจากใจจริง มั่วเชียนเสวี่ยก็จะสามารถอยู่ในจวนได้อย่างสงบสุข ปมในใจเขาก็คลี่คลายไปได้ครึ่งหนึ่ง
แม้ว่าเขาจะโกรธท่านย่า เพราะเรื่องของบิดามารถ ทว่าตั้งแต่เยาว์วัย เขาก็ไร้มารดาอยู่ข้างกาย ล้วนเป็นท่านย่าที่รักเขา ปกป้องเขา เขาไม่มีทางลบความรักลึกซึ้งที่มีต่อท่านย่าทิ้งหมดได้หรอก
ปมในใจที่เกี่ยวกับฮูหยินผู้เฒ่าคลี่คลายเล็กน้อย เมื่อได้ยินนางเอ่ยว่า สุขภาพไม่ได้ ในใจหนิงเซ่าชิงก็มีความรู้สึกเป็นห่วงเพิ่มขึ้นมา
ถึงอย่างไร เมื่อประสบกับแผนการที่เขาวางเอาไว้ ตระกูลอวี่เหวินก็ไม่สามารถส่งบุตรีภรรยาเอก และบุตรีอนุภรรยาที่เหมาะสมมาก่อกวนเขาได้อีก
คราวนี้ ท่าทีที่หนิงเซ่าชิงปฏิบัติต่อฮููหยินผู้เฒ่าก็ดีขึ้นมากเช่นกัน
ระหว่างที่สนทนา ไม่เพียงแต่ถามไถ่ถึงสุขภาพของฮููหยินผู้เฒ่า แต่ยังคุยสัพเพเหระอีกหลายประโยค
นี่เป็นครั้งแรกที่หนิงเซ่าชิงยิ้มให้กับฮููหยินผู้เฒ่า หลังจากเกิดเรื่องขัดแย้งกันในครั้งที่แล้ว
ทั้งสองคนอยู่สนทนาครู่หนึ่ง เห็นฮููหยินผู้เฒ่าอ่อนเพลียเล็กน้อย ก็ลุกขึ้นกล่าวอำลา
หนิงเซ่าชิงกับมั่วเชียนเสวี่ยจากไปแล้ว แต่ว่า…
ภายในเรือนฉือหนิง หลังจากหนิงเหล่าฮูหยินได้ยินหมัวมัวรายงานว่าคนไปแล้ว ก็มองของบำรุงและของขวัญต่างๆ ที่มั่วเชียนเสวี่ยทิ้งเอาไว้ และรู้สึกว่าทิ่มแทงใจ จึงเดือดดาลขึ้นมาทันที!
สุดท้าย จึงสั่งให้ฉือหมัวมัวโยนของทั้งหมดที่มั่วเชียนเสวี่ยนำมาด้วยทิ้งไป โทสะถึงได้คลายลงบ้าง
ทว่าสำหรับเรื่องนี้ มั่วเชียนเสวี่ยไม่รู้ และแม้ว่าจะรู้ ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรสักนิดเดียว
โยนทิ้งก็โยนทิ้งสิ อย่างไรนางก็มอบของให้แล้ว มารยาทก็ทำในสิ่งที่สมควรทำแล้ว ที่เหลือก็ตามแต่ใจยายเฒ่านั่นจะทำเถอะ!
ถึงอย่างไร วันนี้นางก็มาเป็นแขกที่ตระกูลหนิง ไม่ได้มาเยี่ยมฮููหยินผู้เฒ่าที่ขวางหูขวางตานั่นจริงๆ สักหน่อย
แน่นอนว่า แม้ว่านายหญิงจะบอกให้โยนทิ้ง แต่ฉือหมัวมัวก็ไม่ได้โยนทิ้งจริงๆ
ปรนนิบัตินายหญิงมานานหลายปีขนาดนี้ เรื่องใดควรทำ ไม่ควรทำ นางล้วนมีขอบเขต
สำหรับการตัดสินชี้ขาดในเรื่องนี้ของนายหญิง เป็นเพราะเห็นคุณหนูใหญ่ตระกูลมั่วเป็นศัตรู ไม่ใช่หลานสะใภ้ที่นางควบคุมได้คนหนึ่ง
นางต้องระวังทุกย่างก้าว
นางนำของออกไป ก็แค่ให้คนนำไปคลังเก็บของและลงบันทึกรายการเท่านั้นเอง
ฟ้ามืดแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยยังคงพักอยู่ที่เรือนข้างของเรือนหัวหน้าตระกูลหนิง