เป็นเขาจริงๆ!
ตระกูลเซี่ย?!
หัวหน้าตระกูลเซี่ยโง่เกินเยียวยาจริงๆ
ถึงกับถูกเขาหลอกชักใย แล้วยังจะมีความสุข คิดไปเองอีก
หนิงเซ่าชิงไม่ใส่ใจความลำบากทั้งหมดที่ตนเองได้รับ และไม่อยากจะถามเรื่องตระกูลเซี่ย เขาสนแต่เรื่องของมั่วเชียนเสวี่ย
“เจ้ามีความอาฆาตแค้นกับตระกูลมั่วลึกซึ้งเพียงใดกันแน่! ท่านกั๋วกงสิ้นไปแล้ว เจ้าก็ยังต้องการให้ลูกหลานของเขาไม่ได้อยู่อย่างสงบสุข!”
เสียงหนิงเซ่าชิงพลันเย็นเยียบ!
จนถึงตอนนี้ เพียงแค่หนิงเซ่าชิงหวนนึกถึงเหตุเพลิงไหม้จวนกั๋วกงในครานั้น หัวใจเขาก็บีบรัดจนเจ็บ! ทั้งยังไม่กล้าคิดถึงผลที่จะตามมาในภายหลังของเรื่องนั้นแม้แต่น้อย!
คราแรก หากไม่ใช่ว่ามั่วเชียนเสวี่ยมีไหวพริบ ก็เกรงว่าวันนั้นคงเป็นวันครบรอบวันตายของนางแล้ว!
“มีความแค้นลึกซึ้งเพียงใดหรือ” หลูเจิ้งหยางถลึงตามองหนิงเซ่าชิงอย่างบ้าคลั่ง ความเกลียดชังในแววตาแทบจะทำลายผู้คน!
ตะคอกเสียงดังใส่หนิงเซ่าชิง!
“จะโทษก็โทษไอ้แก่โง่เง่ามั่วเทียนฟ่างที่มองข้ามความหวังดีของผู้อื่นเถอะ มันทุ่มเทสติปัญญาทั้งหมดจนกว่าชีวิตจะหาไม่เพื่อเทียนฉี จงรักภักดีต่อตระกูลกู ปกปักษ์แผ่นดินเทียนฉี แต่ที่สำคัญคือ ข้าส่งคนไปโน้มน้าวเขา ให้ผลประโยชน์เขา บอกเขาว่าหากเทียนฉีถูกทำลาย จะให้บรรดาศักดิ์อ๋องหรือโหวกับเขา ทั้งยังจะแบ่งแผ่นดินครึ่งหนึ่งให้เขาอย่างไม่เสียดาย แต่เขาไม่เพียงไม่หวั่นไหว ยังตัดศีรษะคนที่ไปยื่นข้อเสนอ บอกว่าเขาขายชาติ ทำให้ขวัญกำลังใจของทหารสับสน เจ้ารู้ไหมว่า คนผู้นั้น…เป็นญาติพี่น้องเพียงคนเดียวของข้า เป็นข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ที่เลี้ยงดูข้าซึ่งไร้บิดามารดาคนหนึ่งจนเติบใหญ่…”
หนิงเซ่าชิงย่อมสืบเจอแต่แรกแล้ว ฐานะในตอนนี้ของหลูเจิ้งหยางล้วนปลอมแปลงขึ้นทั้งหมด กระทั่งบิดามารดาที่เผยโจว ก็เป็นบ่าวชราที่ซื้อมาให้
แต่กลับไม่รู้ว่า บ่าวชราผู้นั้นสิ้นชีพภายใต้คมดาบของมั่วเทียนฟ่าง
หลูเจิ้งหยางยังคงเอ่ยต่อไป “เจ้าโง่มั่วเทียนฟ่างนั่น โง่เกินเยียวยาจริงๆ และน่าขันยิ่ง! ราชวงศ์ตระกูลกูควรค่าให้เขาซื่อสัตย์และจงรักภักดีเช่นนี้หรือ สุดท้ายเขาก็ต้องสิ้นชีพภายใต้ความเห็นแก่ตัวของราชวงศ์ตระกูลกูไม่ใช่หรือ…”
ตอนนี้ดูเหมือนว่าหลูเจิ้งหยางจะเห็นหนิงเซ่าชิงเป็นศัตรูในจิตใต้สำนึกไปแล้ว! คล้ายกับเห็นหนิงเซ่าชิงเป็นมั่วเทียนฟ่าง!
“หากเจ้าเชื่อคำข้า ยอมสวามิภักดิ์กับข้า ข้าจะให้คนไปเสนอแผนการต่อเจิ้นหนานอ๋องได้อย่างไร หากเจ้าฟังข้า ให้ข้ายืมทหาร ข้าก็สามารถนำทัพมุ่งลงใต้ ทำลายเทียนฉี เพื่อล้างแค้นให้ตระกูลหลูของข้าได้แล้ว แต่เจ้าไม่! ในเมื่อเจ้าไม่ยอม ข้าก็ทำได้แค่ให้เจ้าตาย! ต่อให้ต้องพยายามทุกวิถีทาง ก็ต้องให้เจ้าตาย!”
ผลลัพธ์ของความจริงนี้ ทำให้คนหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออกจริงๆ!
สุดท้ายหนิงเซ่าชิงก็คิดไม่ถึงว่า เหตุผลที่หลูเจิ้งหยางสังหารมั่วกั๋วกงจะธรรมดาขนาดนี้!
เทพสงครามที่ทรงอิทธิพลแห่งยุคคนหนึ่งกลับต้องตายอย่างน่าเวทนา เพราะขวางเส้นทางการเคลื่อนทัพกบฏ!
แต่เขาไม่ควรคิดแตะต้องมั่วเชียนเสวี่ยแม้แต่เส้นผมเดียว!
“ในเมื่อมั่วกั๋วกงสิ้นแล้ว เหตุใดเจ้ายังแตะต้องจวนกั๋วกง! คิดจะเผามั่วเชียนเสวี่ยให้ตาย?!”
หลูเจิ้งหยางยิ้มประหลาดเมื่อได้ยินหนิงเซ่าชิงถามเช่นนี้ รอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยเจตนาชั่วร้าย!
“มีสองเรื่องที่เจ้าอยากรู้หรือ เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้า!” หลูเจิ้งหยางค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้หนิงเซ่าชิง พร้อมๆ กับรอยยิ้มมุมปากที่กว้างขึ้นตามไปด้วย!
“หากมั่วเชียนเสวี่ยได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าต้องเศร้าเสียใจแน่นอน ข้าทนเห็นเจ้าได้ดีไม่ได้ นี่คือข้อแรก! ส่วนข้อสอง นั่นก็คือ ขอแค่มั่วเชียนเสวี่ยตาย เจ้ากับตระกูลกูจะต้องทะเลาะกันเองแน่ ถึงตอนนั้น ข้าที่ยืนอยู่ข้างหลังย่อมเป็นชาวประมงที่ได้รับผลประโยชน์[1]ผู้นั้น! นางสมควรตาย! เหตุใดนางจึงไม่ตาย! สวรรค์ไม่ยุติธรรม!”
ตอนนี้หนิงเซ่าชิงแผ่กลิ่นอายแห่งความไม่พอใจบนร่างออกมาอย่างอดกลั้นไม่อยู่
ในเดือนหกเดือนเจ็ดเป็นช่วงที่อากาศร้อนที่สุด แต่อุณหภูมิภายในห้องกลับลดลงจนติดลบหลายองศา
“ข้าว่า…คนที่จะตาย…คือเจ้า!”
ตอนนี้หนิงเซ่าชิงโมโหจริงๆ แล้ว!
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า หลูเจิ้งหยาง เจ้าคนต่ำช้าผู้นี้จะฟั่นเฟือนถึงเพียงนี้
เอ่ยจบ! หนิงเซ่าชิงก็ค่อยๆ ชักกระบี่อ่อนที่พันรอบเอวออกมา…กระบี่หยกมายาโจมตีใส่หลูเจิ้งหยางอย่างรวดเร็ว!
เดิมวรยุทธ์ของพวกเขาสองคนก็พอๆ กัน!
ตอนที่หนิงเซ่าชิงชักกระบี่อ่อนออกมาโจมตีหลูเจิ้งหยาง หลูเจิ้งหยางก็ชักกระบี่หนักที่แบกอยู่บนหลังออกมาเช่นกัน
สีเงินของกระบี่หยกอ่อนที่ผสานกับประกายแสงเย็นเยียบ น่าสะพรึงกลัวของกระบี่วิเศษ ท่ามกลางแสงไฟสีเหลืองเข้มที่ส่องสว่างภายในห้องนั้น ดูสวยงามเป็นพิเศษ งดงามจนอันตรายถึงชีวิต…
เงากระบี่มืดฟ้ามัวดินจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่ร่างหลูเจิ้งหยางตั้งแต่หัวจรดเท้า รังสีเย็นยะเยือก คมปลาบมุ่งตรงเข้าใส่ รวดเร็วรุนแรงจนอยากจะหลบ แต่ก็จนปัญญาที่จะหลบ
หลูเจิ้งหยางหลับตาลงตามจิตใต้สำนึก ร่างกายคล้ายกับมีปฏิกิริยาตอบสนองตามสัญชาตญาณ โดยไม่ต้องผ่านการครุ่นคิด กระบี่หนักสกัดประกายและรังสีกระบี่ไว้ได้เล็กน้อย จึงสะบัดแขนเสื้อ พลิกข้อมือจับคมกระบี่นั้นอย่างว่องไว
ปลายนิ้วทั้งห้าเคลื่อนไปตามท่อนแขนของฝ่ายตรงข้ามด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ พริบตาเดียวก็เกือบจะแตะถูกหว่างคิ้วของหนิงเซ่าชิง
หนิงเซ่าชิงเอียงศีรษะหลบ โดยอาศัยท่าร่างที่เชี่ยวชาญ
ทั้งสองคนประมือกันในห้องหนังสือ
โครมคราม!
ชั้นวางหนังสือล้ม ของในชั้นวางวัตถุโบราณล้ำค่าแตกเต็มพื้น
แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะไม่เห็นสภาพการณ์ในห้องหนังสือเพราะยืนอยู่ข้างนอก แต่กลับรู้ว่าสถานการณ์ในการต่อสู้นั้นดุเดือดเพียงใด!
มั่วเชียนเสวี่ยเดือดดาล!
นางคิดไม่ถึงว่า หลูเจิ้งหยาง เจ้าคนสติวิปลาสนั่นจะอาศัยข้ออ้างชั่วร้ายเช่นนี้มาทำเรื่องโหดเหี้ยม ไร้มโนธรรมมากมายเพียงนี้!
ถูกต้อง ในมุมมองของมั่วเชียนเสวี่ย เหตุผลที่หลูเจิ้งหยางเอ่ยมาพวกนั้นเป็นข้ออ้างที่ถูกสร้างขึ้นจากอาการสติฟั่นเฟือน!
หากเป็นคนที่มีสติสักหน่อย คงไม่มีทางทำเรื่องประเภทนี้ออกมาได้!
แค้นใจยิ่งนัก!
มั่วเชียนเสวี่ยเดินออกมาจากที่ซ่อน คิดจะเปิดประตูเข้าไปในห้อง โดยไม่สนใจอะไรอีก
ตอนนี้นางจะไปสังหารหลูเจิ้งหยาง เจ้าคนสารเลวผู้นั้น เพื่อเซ่นไหว้ดวงวิญญาณสองสามีภรรยามั่วกั๋วกงกับกั๋วกงฮูหยินที่มีความรักลึกซึ้งต่อกันคู่นี้!
“คุณหนูใหญ่มั่ว!”
ทว่า ก้าวเท้าออกไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ถูกเตาหนูปรากฏตัวขวางเอาไว้กะทันหัน!
“ถอยไป!”
มั่วเชียนเสวี่ยตวาดเสียงเย็น! ตอนนี้นางอารมณ์ไม่ดี ไม่อยากคุยกับใครทั้งนั้น!
“คุณหนูใหญ่มั่วโปรดเชื่อในตัวหัวหน้าตระกูลด้วยขอรับ นายท่านจะต้องจะจัดการทุกเรื่องได้เรียบร้อยแน่นอน หากคุณหนูใหญ่มั่วเข้าไปตอนนี้ล่ะก็ จะไม่ได้เป็นการช่วยเหลือหัวหน้าตระกูล แต่เป็นการแบ่งสมาธิแทนนะขอรับ!”
ได้ยินเช่นนั้น มั่วเชียนเสวี่ยก็หันหน้ามามองเตาหนูอย่างเย็นชา!
“เจ้าบอกว่าข้าเป็นภาระเช่นนั้นหรือ”
“ข้าน้อยมิกล้า!”
แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่เตาหนูกลับไม่ถอยให้สักนิด ยังคงยืนขวางตรงหน้า ไม่ให้มั่วเชียนเสวี่ยเข้าไปในห้องหนังสือ!
หากคุณหนูใหญ่มั่วผมหลุดไปเส้นหนึ่ง คราวนี้นายท่านต้องถลกหนังเขาแน่นอน สืออู่ก็จะไม่สนใจเขายิ่งกว่าเดิม
การขวางในครั้งนี้ของเตาหนู ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยได้สติสัมปชัญญะกลับคืนมา พอไตร่ตรองดูอย่างละเอียดแล้ว เหตุผลก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หากนางเข้าไปตอนนี้จะต้องเป็นการเพิ่มภาระให้หนิงเซ่าชิงมากขึ้นแน่นอน
วรยุทธ์เหมือนแมวสามขา[2]ของนางในตอนนี้ ให้ไล่พวกอันธพาลกับนักเลงหัวไม้น่ะได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ายอดฝีมือที่แท้จริง นั่นแทบโจมตีไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!”
[1] นกปากส้อมกับหอยต่อสู้กัน ชาวประมงได้รับผลประโยชน์ หมายถึง ทั้งสองฝ่ายต่างต่อสู้กันและต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน ปล่อยให้บุคคลที่สามฉกฉวยโอกาสคว้าเอาผลประโยชน์ไปแทน
[2] แมวสามขา หมายถึง คนที่ทำอะไรไม่เก่ง หรือทำอะไรกาก ๆ