จิ่นเกองอแงไม่ยอม ยังคงร้องไห้ราวกับจะขาดใจก็ไม่ปาน
“ข้าจะหาท่านพ่อ ข้าจะหาท่านพ่อ”
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าเขาร้องไห้หนักมากจึงตบหลังเขาเบาๆ แล้วพูดปลอบเขาว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ หยุดร้องได้แล้ว!”
แต่เสียงร้องของจิ่นเกอกลับไม่เบาลงเลย
สวีลิ่งอี๋เห็นเขาน้ำตานองหน้า ก็ปวดใจแทบทนไม่ไหว ลูบหลังเขาอย่างอ่อนโยนกว่าเดิม น้ำเสียงนุ่มนวลกว่าเดิม เผยให้เห็นความอดทนที่ไม่มีที่สิ้นสุด “อย่าร้อง จิ่นเกอไม่ต้องร้องไห้แล้ว!”
จิ่นเกอเอาหน้าซบลงบนไหล่ของสวีลิ่งอี๋ เสียงร้องค่อยๆ เบาลง
ความประหลาดใจในตอนแรกของสืออีเหนียงค่อยๆ ผ่อนคลายลง กลับมามีสีหน้าสงบนิ่งเช่นเดิม
นางถามแม่นมกู้เสียงเบาว่า “เกิดอะไรขึ้น”
แม่นมกู้รีบพูดขึ้นมาว่า “ท่านโหวกำลังเล่นอยู่กับคุณชายน้อยหก พอคุณชายน้อยสี่ออกมาจากห้องด้านใน ท่านโหวก็ส่งคุณชายน้อยหกให้ข้าแล้วออกไปข้างนอกกับคุณชายน้อยสี่เจ้าค่ะ…” ขณะที่พูด นางก็เหลือบมองสืออีเหนียงด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย “คุณชายน้อยหกรีบกระโดดลงจากเตียง แต่ท่านโหวกับคุณชายน้อยสี่เดินออกไปแล้ว คุณชายน้อยหกก็เลยร้องไห้ขึ้นมา…”
สืออีเหนียงได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
นางเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ
“ท่านโหว ให้ข้าอุ้มจิ่นเกอเถิด!” พูดพลางเอื้อมมือไปรับบุตรชาย “ท่านนัดกับเฉินเก๋อเหล่าไว้ยามซื่อ หากสายกว่านี้ก็จะเลยเวลาแล้ว”
สืออีเหนียงพึ่งจะแตะโดนตัวจิ่นเกอ จิ่นเกอก็ร้องไห้ขึ้นมาเสียงดังราวกับว่าถูกใครหยิกเสียอย่างนั้น
แววตาของสวีลิ่งอี๋ดูลังเลเล็กน้อย
สืออีเหนียงอดหันไปมองสวีซื่ออวี้ไม่ได้
เขายังคงมีสีหน้าตกใจ แต่ดวงตาดูสงบนิ่ง
เมื่อรู้สึกถึงสายตาของสืออีเหนียง เขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองมาพลางยิ้มให้สืออีเหนียงอย่างแผ่วเบา
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ สืออีเหนียงถึงรู้สึกโล่งอก
นางหันไปมองสวีซื่อจุน
สวีซื่อจุนที่อายุสิบเอ็ดปีเอียงคอมองสวีลิ่งอี๋และจิ่นเกอที่อยู่ในอ้อมแขนของสวีลิ่งอี๋ด้วยสีหน้ามึนงงเหมือนเด็กน้อย
สืออีเหนียงอดยิ้มไม่ได้
นางไม่สนว่าสวีลิ่งอี๋จะรู้สึกอย่างไร ไม่สนว่าจิ่นเกอจะงอแงเพียงใด ฝืนอุ้มบุตรชายมาไว้ในอ้อมแขน “เด็กน้อยก็เป็นเช่นนี้ โอ๋สักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว ท่านโหวกับจุนเกอรีบไปเถิด! มีอวี้เกอคอยช่วยข้า ไม่เป็นไรแน่นอนเจ้าค่ะ”
จิ่นเกอดึงเสื้อสวีลิ่งอี๋ไว้ไม่ยอมปล่อย “ท่านพ่อ ท่านพ่อ!” ร้องไห้เหมือนจะขาดใจ
สวีลิ่งอี๋มองสืออีเหนียง เขาแสดงสีหน้าอ้อนวอนราวกับจะพูดว่า ‘เจ้าช่วยคิดหาวิธีทำให้เขาหยุดร้องไห้ที!’
สืออีเหนียงใจเต้นแรง
นี่เพียงแค่พึ่งจะเรียกคำว่า ‘พ่อ’ เป็น สวีลิ่งอี๋ก็เริ่มลังเลแล้ว ถ้าหากเขาพูดได้ ออดอ้อนได้แล้ว สวีลิ่งอี๋จะไม่ยิ่งลำบากใจหรือ เขาเป็นเสาหลักของครอบครัว ทุกคนต่างทำตามความประสงค์ของเขา ถ้าหากเขาทำตัวไม่ชัดเจน ถึงขั้นทำเรื่องที่ไม่ถูกต้อง บ่าวรับใช้ในเรือนก็จะพากันประจบประแจงจิ่นเกอเพื่อให้ได้มาซึ่งยศตำแหน่ง นางกลัวว่าเมื่อถึงเวลานั้นเกรงว่าต่อให้อยากควบคุมแค่ไหนก็คงจะไร้กำลัง
เด็กมักจะถูกตามใจจนเสียคนด้วยเหตุนี้
ในฐานะคนเป็นพ่อเป็นแม่ จะต้องใจแข็งและใจเย็น
ดูแล้วสวีลิ่งอี๋คงจะช่วยอะไรไม่ได้
นางถอนหายใจในใจ ความคิดแน่วแน่ยิ่งกว่าเดิม แกะมือของจิ่นเกอออกจากเสื้อของสวีลิ่งอี๋ อุ้มเขาพลางนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ข้างๆ “ท่านโหววางใจได้ ท่านไปเถิดเจ้าค่ะ!”
จิ่นเกอร้องไห้ราวกับฟ้าถล่มดินทลาย ตะโกนเสียงดัง “ท่านพ่อ” พลางดิ้นไปมาอยู่ในอ้อมแขนของสืออีเหนียง
สวีลิ่งอี๋หยุดอยู่ตรงนั้น มีความลังเลเล็กน้อย
“ท่านแม่” สวีซื่ออวี้ที่ยืนเงียบอยู่ด้านข้างพลันพูดขึ้นมาว่า “ให้ข้าพาน้องหกไปเล่นที่สวนดอกไม้สักพักดีหรือไม่ขอรับ” น้ำเสียงเหมือนกำลังครุ่นคิด
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แม้ว่าจิ่นเกอจะยังเด็ก แต่กลับอารมณ์ร้ายมาก แทนที่จะปล่อยให้ร้องไห้หนักจนสวีลิ่งอี๋ไม่อาจก้าวเท้าเดินออกไปได้ ไม่สู้ไปให้พ้นสายตาเลยจะดีกว่า จะได้ไม่รู้สึกเจ็บปวด
“เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าแล้ว” นางพูดอย่างเกรงใจแล้วส่งจิ่นเกอให้สวีซื่ออวี้
สวีซื่ออวี้มองสืออีเหนียงอย่างลึกซึ้ง รับจิ่นเกอมาอย่างระมัดระวัง จิ่นเกอกลับดิ้นไปมาในอ้อมแขนของเขาจนเกือบจะตกลงมา
แม่นมกู้ตกใจจนเหงื่อออก
โชคดีที่แม้ว่าสวีซื่ออวี้จะดูผ่ายผอม แต่กลับแข็งแรงมาก จึงเป็นเพียงแค่ความตกใจที่ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น
สืออีเหนียงกำชับแม่นมกู้ “พวกเจ้าคอยรับใช้อยู่ข้างๆ”
ไม่อาจเปลี่ยนความคิดของสวีซื่ออวี้ที่จะพาจิ่นเกอไปเล่นที่สวนดอกไม้ได้
สวีซื่ออวี้กอดจิ่นเกอไว้แน่น มีกลุ่มสาวใช้และหญิงเฒ่าเดินห้อมล้อมออกประตูไป
สืออีเหนียงเห็นสวีลิ่งอี๋สูดหายใจเข้าลึก
“ส่งคนติดตามไปอีกสองสามคนดีหรือไม่” เขาพูดพึมพำ “อวี้เกอเองก็ยังเด็กอยู่”
“แต่ไหนแต่ไรมาอวี้เกอก็เป็นคนใจเย็น อีกทั้งยังมีแม่นมกู้และคนอื่นๆ คอยดูแลอยู่ข้างๆ ทุกอย่างจะเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงเดินเข้าไปช่วยจัดเสื้อผ้าของเขาที่ถูกจิ่นเกอดึงจนยับ เห็นไหล่ของเขายังมีคราบน้ำตาของจิ่นเกออยู่ก็พูดขึ้นมาว่า “ท่านโหว ให้ข้าปรนนิบัติท่านเปลี่ยนเสื้อเถิด!”
สวีลิ่งอี๋เองก็รู้สึกว่าเช่นนี้ไม่เหมาะสม จึงตอบตกลงแล้วให้สืออีเหนียงเปลี่ยนเสื้อให้
สวีซื่อจุนยืนมองอยู่เงียบๆ มาตลอด จนกระทั่งสวีซื่อเจี้ยวิ่งเข้ามา “ไอ๊หยา! พี่สี่ เหตุใดท่านถึงยังไม่ไปอีก” ขณะที่พูดก็เห็นสวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงเดินออกมาจากห้องด้านใน เขารีบเดินเข้าไปคำนับทั้งสองคน จากนั้นก็ถามขึ้นมาว่า “วันนี้ท่านพ่อยังจะพาพี่สี่ออกไปข้างนอกอยู่หรือไม่”
ยิ่งเวลาผ่านไป สวีซื่อเจี้ยก็ยิ่งร่าเริงและมีชีวิตชีวามากขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าสวีลิ่งอี๋เขาก็ไม่ได้มีท่าทีนอบน้อมตลอดเวลาเหมือนสวีซื่ออวี้ และไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวเผยออกมาเหมือนสวีซื่อจุน เหมือนบุตรชายทั่วไปที่อยู่ต่อหน้าบิดาของตัวเอง เมื่อบิดาสีหน้าดูมีความสุขเขาก็จะกล้าทำเรื่องต่างๆ ที่เหมาะสม เมื่อบิดามีสีหน้าเป็นกังวลเขาก็จะหลบเลี่ยงไปอย่างเงียบๆ
บางทีอาจเป็นเพราะเขาเป็นหลาน หรืออาจเป็นเพราะไม่ได้คาดหวังกับสวีซื่อเจี้ยมากนัก สวีลิ่งอี๋จึงมักจะมีสีหน้ารื่นรมย์เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา บรรยากาศจึงดูเบาสบายและเบิกบานใจ
“เจ้าอยากจะทำอะไร” สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางถามเขา
ครั้งที่แล้วเขาก็ถามเช่นนี้ สืออีเหนียงนึกว่าสวีซื่อเจี้ยจะบอกว่าอยากไปด้วย สุดท้ายสวีซื่อเจี้ยเพียงแค่อยากจะพาจุนเกอไปเล่นว่าวเท่านั้น
สวีซื่อเจี้ยยิ้มพลางพูดว่า “ถ้าหากท่านพ่อกับพี่สี่จะออกจวน ข้าจะไปส่งท่านแทนท่านแม่ที่ประตูเองขอรับ!”
“อ้อ!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “อาจารย์จ้าวสอนคัมภีร์วิจารณ์พจน์ให้เจ้าแล้วหรือ”
“เปล่าขอรับ!” สวีซื่อเจี้ยยิ้มอย่างเขินอาย “ตอนที่อาจารย์จ้าวสอนเรื่องพี่น้องกับข้า ได้พูดเรื่อง ‘ความกตัญญูของจื่อเสีย’”
เรื่องพี่น้องเป็นบทเรียนในตำราปฐมวัย
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเล็กน้อย ยิ้มแล้วพูดว่า “ดีแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ไปส่งข้ากับพี่สี่ของเจ้าเถิด!”
สวีซื่อเจี้ยทำท่าทางเหมือนผู้ใหญ่ ยกมือขึ้นคำนับสวีลิ่งอี๋ “ศิษย์น้อมรับคำสั่ง!”
แม้แต่สืออีเหนียงเองที่เห็นเช่นนี้ก็ยังหัวเราะ เดินเข้าไปจับไหล่เขาอย่างเอ็นดู
สวีซื่อจุนเห็นดังนั้นก็หลุบตาลงเล็กน้อย
เมื่อกลับมาจากจวนเฉินเก๋อเหล่า เขาก็ไม่ได้รีบร้อนกลับเรือนตัวเอง แต่กลับพูดคุยกับอิ๋นเจินบ่าวรับใช้ข้างกายว่า “ข้าคิดว่าอาศัยอยู่เรือนในนั้นดีกว่า”
อิ๋นเจินกับพ่อบ้านไป๋สนิทสนมกันอยู่บ้าง เป็นเพราะได้รับการพึ่งพาจากพ่อบ้านไป๋จึงได้มารับใช้ข้างกายจุนเกอ ถึงแม้ว่าจะพูดเช่นนี้ แต่หากเขาไม่ใช่คนฉลาด พ่อบ้านไป๋ก็ไม่กล้าให้เขามาอยู่ข้างกายจุนเกอ เพราะบางครั้งโอกาสก็หมายถึงความเสี่ยงเช่นกัน
“คุณชายน้อยสี่พูดเช่นนี้ทำให้บ่าวประหลาดใจนัก!” อิ๋นเจินยิ้ม น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความระมัดระวังที่ไม่สามารถสังเกตเห็นได้ “คุณชายน้อยสามย้ายไปที่ตรอกซานจิ่ง คราวที่แล้วตอนกลับมายังบอกว่า ‘ท้องฟ้ากว้างใหญ่มีไว้ให้นกบิน มหาสมุทรลึกมีไว้ให้ปลากระโดด’ เหตุใดท่านกลับคิดว่าอาศัยอยู่ที่เรือนในดีกว่าเล่าขอรับ”
จุนเกอหัวเราะ เขาเคาะหัวอิ๋นเจินที่สูงกว่าตัวเองหนึ่งที “ปลากระโดดไปมาได้อย่างอิสระในมหาสมุทรอะไรกัน วันๆ เจ้าอยู่ข้างกายข้าก็ไม่ตั้งใจเรียน เจ้าหัดดูฮั่วชิงบ้าง ตำราปฐมวัยก็เรียนไปจนถึงบทที่สองแล้ว เขาเรียกว่า ‘มหาสมุทรลึกมีไว้ให้ปลาแหวกว่าย’ ต่างหาก!”
ฮั่วชิงคือบ่าวรับใช้ข้างกายอีกคนของเขา
อิ๋นเจินลูบหน้าผากตัวเองด้วยความเขินอาย “บ่าวก็กำลังเรียนอยู่เพียงแต่ว่าช้ากว่าฮั่วชิงนิดหน่อยเท่านั้นเองขอรับ” จากนั้นก็มีสีหน้าตกใจ ถามจุนเกอเสียงเบาว่า “คุณชายน้อยสี่ คุณชายน้อยสามเคยบอกว่าอีกไม่กี่วันจะไปเล่นที่วัดเซียงกั๋วกับท่าน ท่านจะไปหรือไม่ขอรับ”
สวีซื่อจุนได้ฟังดังนั้นก็ห่อไหล่ลงเล็กน้อย “ข้าไม่รู้ว่าจะบอกกับท่านพ่ออย่างไร คราวที่แล้วที่ท่านพ่อทดสอบการบ้านข้า ข้าก็ตอบได้ไม่ดี!”
อิ๋นเจินช่วยออกความคิดเห็นให้เขา “เช่นนั้นคุณชายน้อยสี่ไปถามฮูหยินดีหรือไม่ หากฮูหยินตกลง ท่านโหวก็จะต้องตกลงแน่นอนขอรับ!”
“จริงด้วย!” สวีซื่อจุนตาเป็นประกาย “เหตุใดข้านึกไม่ถึงกัน!” จากนั้นก็พูดด้วยความดีอกดีใจว่า “ไป! พวกเราไปหาท่านแม่กัน” พูดพลางรีบมุ่งหน้าไปที่เรือนใน
สุดท้ายก็ลืมหัวข้อสนทนาที่ว่า ‘อาศัยอยู่ที่เรือนในนั้นดีกว่า’ ไปแล้ว
อิ๋นเจินที่เดินตามอยู่ด้านหลังไม่กี่ก้าวก็ยกมือขึ้นลูบแผ่นอกตัวเองเบาๆ ในใจพลันตะโกนว่า ‘ค่อยยังชั่ว’ จากนั้นก็รีบเดินตามไป
******
เมื่อกลับมาที่เรือน สวีซื่ออวี้ไม่ได้นั่งอยู่ใต้ตะเกียงและอ่านหนังสือตามปกติ แต่กลับนั่งเท้าคาง เอนกายพิงหมอนอิงใบใหญ่เหม่อมองผ้าม่าน
เหวินจู๋ที่กำลังนั่งทำงานเย็บปักอยู่ข้างๆ ชะเง้อคอเหลือบมองนาฬิกาไขลานที่อยู่ตรงมุมผนังห้อง
คุณชายน้อยสองเป็นเช่นนี้มาสองเค่อแล้ว!
นางลอบสำรวจสีหน้าของสวีซื่ออวี้
เขามีสีหน้าสงบนิ่ง มุมปากมีรอยยิ้มเล็กน้อย ดูสบายใจเป็นอย่างมาก
เหวินจู๋จึงได้วางใจ ช่วยสวีซื่ออวี้เปลี่ยนถ้วยชาอย่างเบามือ
เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหว สวีซื่ออวี้ก็หันกลับมา
เขาพูดเพียง “อ้อ” แล้วนั่งตัวตรง “เจ้ายังอยู่ในห้องหรือ”
เหวินจู๋ทำตัวไม่ถูก “บ่าวนั่งทำงานเย็บปักอยู่ที่นี่มาเกือบครึ่งชั่วยามแล้วเจ้าค่ะ!”
สวีซื่ออวี้ประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะ
รอยยิ้มนั้นทำให้เหวินจู๋นึกถึงใบชาที่แช่ในน้ำร้อนที่คลายตัวย
นางประหลาดใจเล็กน้อย อดถามเสียงเบาไม่ได้ “คุณชายน้อยกำลังคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ ขนาดบ่าวอยู่ข้างๆ ก็ยังไม่รู้!”
สวีซื่ออวี้เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ข้ากำลังคิดถึงจิ่นเกอ!” ขณะที่พูด ใบหน้าก็เอ่อล้นไปด้ายความสุข
เหวินจู๋ประหลาดใจอีกครั้ง
สวีซื่ออวี้เอนพิงหมอนอิงอีกครั้ง
“จิ่นเกองอแงไม่ยอมหยุด ท่านแม่จึงยอมให้ข้าพาเขาไปเล่นในสวนดอกไม้” เขาเอามือประสานที่ท้ายทอย สายตาจับจ้องไปยังผ้าม่านราวกับว่าเป็นภาพวาดลวดลายงดงาม “มีเพียงคนปรนนิบัติข้างกายจิ่นเกอที่ตามมา…” น้ำเสียงฟังดูทอดถอนใจ “กลัวว่าข้าจะไม่รู้ว่าควรดูแลจิ่นเกออย่างไร…” ราวกับว่ากำลังอธิบายบางอย่าง “เขาอารมณ์รุนแรงมาก ยึดติดกับสิ่งเดียว ข้าพูดปลอบประโลมอย่างไรก็ไม่เป็นผล ร้องไห้อยู่อย่างนั้นเกือบหนึ่งชั่วยาม…” เห็นได้ชัดว่าเขากำลังบ่น แต่ใบหน้ากลับเผยให้เห็นรอยยิ้ม “ทำเอาข้าหมดปัญญา แต่นึกขึ้นได้ว่าตอนเด็กๆ ตัวเองชอบพายเรือมากที่สุด จึงพาเขาไปที่ท่าเรือหลิวฟัง…”
เหวินจู๋หน้าซีด “คุณชายน้อยสอง…” น้ำเสียงฟังดูหวาดกลัว
สามารถนั่งเรือในบึงปี้อีได้ แต่น้ำลึกมาก หากไม่ระวังเกิดเรือคว่ำขึ้นมา…หากเป็นเช่นนั้นใครจะสามารถอธิบายได้!
สวีซื่ออวี้หันมามอง “แม่นมกู้บอกว่าตอนนี้ไม่ใช่ฤดูพายเรือ เกรงว่าเรือเหล่านั้นจะถูกเอาไปเก็บหมดแล้ว ต้องไปขอป้ายคู่จากท่านแม่จึงจะทำได้!” เขาท่าทางสงบนิ่งเป็นอย่างมาก มองไม่ออกว่าสุขหรือเศร้า
เหวินจู๋เป็นกังวล “เช่นนั้นฮูหยินสี่…”
“ท่านแม่ให้ป้ายคู่แม่นมกู้มา” สวีซื่ออวี้พูดอย่างช้าๆ ว่า “ข้าก็เลยพาจิ่นเกอไปพายเรือเล่น”
เหวินจู๋รู้สึกว่าตัวเองควรจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อนึกถึงสีหน้าที่มีความสุขเมื่อครู่ของสวีซื่ออวี้ นางก็กลืนคำพูดลงไป เผยรอยยิ้มที่มีความสุข “เช่นนั้นคุณชายน้อยหกยังร้องไห้งอแงอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
สวีซื่ออวี้นึกถึงสถานการณ์ในตอนนั้นแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เขาไม่เพียงแค่หยุดร้องเท่านั้น ซ้ำยังสนุกจนไม่อยากกลับเรือน จะทำอย่างไรก็ไม่ยอมขึ้นฝั่ง หากไม่ใช่เพราะท่านแม่ฝืนบังคับอุ้มเขาไป ข้าเกรงว่าจนถึงตอนนี้ก็คงยังพายเรืออยู่ในบึงปี้อีกระมัง!”