นางรู้ว่าค่ำคืนนี้ตระกูลหนิงยังมีเรื่องใหญ่อีกแน่นอน ในตอนนี้หนิงเซ่าชิงจำเป็นต้องคิดถึงส่วนสำคัญต่างๆ ทั้งหมดให้เรียบร้อย เพื่อรับรองว่าจะโจมตีสำเร็จได้ในครั้งเดียว ไม่ให้ผู้อาวุโสใหญ่อะไรนั่นมีโอกาสพลิกฟื้นกลับมาได้อีก
เทียบกับตัวหายนะเช่นหลูเจิ้งหยาง การควานจับตัวคนทรยศที่ซ่อนตัวอยู่ในตระกูลหนิงมาเป็นเวลานานออกมานั้น ทำให้คนตะลึงยิ่งกว่า
นับตั้งแต่นี้ พวกเขาก็จะไม่ได้เป็นฝ่ายถูกกระทำอีก ตระกูลเซี่ยก็ถูกเปิดโปงความจริงแล้ว หากจะเล่นงานไม่ได้ยากเกินไปนัก
หลูเจิ้งหยางเสียมือดีไปนับไม่ถ้วนติดต่อกัน เสียสายลับในตระกูลหนิงไป คิดว่าคงไม่สามารถสร้างคลื่นลมในเทียนฉีได้อีก
การจับนกตื่นธนู[1]ที่ปรากฏในที่แจ้งนั้นไม่ขาดแคลนตาข่ายดักจับ ปัญหาอยู่ที่เรื่องของเวลาเท่านั้น
ไม่นานก็มีคนมารายงานอีก
“ข้าน้อยจับคนที่มาทำลับๆ ล่อๆ อยู่นอกจวนได้คนหนึ่งขอรับ!”
หนิงเซ่าชิงกับมั่วเชียนเสวี่ยสบตากันแวบหนึ่ง สามารถมองออกจากนัยน์ตาของฝ่ายข้าม รู้ว่าคนที่ลับๆ ล่อเป็นใคร!
ตอนที่ทั้งสองคนสบตากันแล้วยิ้มอย่างเข้าใจ องครักษ์ก็จับคนที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ นอกจวนหนิงเข้ามาแล้ว
คนผู้นี้คืออวิ๋นอิ๋ง
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย
วันนี้ เดิมก็จัดฉากเพื่อพวกเขาอยู่แล้ว หากอวิ๋นอิ๋งไม่มา เช่นนั้นมั่วเชียนเสวี่ยถึงจะประหลาดใจ
อวิ๋นอิ๋งไม่ใช่คนโง่ ระหว่างทางที่มา ก็คาดเดาได้แต่แรกว่า ทุกสิ่งที่ตนเองทำถูกคุณหนูใหญ่รู้หมดแล้ว
แต่นางก็ยังมา!
นางเฝ้าอยู่ที่ประตูตลอด เพราะคิดจะรอหลูเจิ้งหยาง คิดจะขวางหลูเจิ้งหยางไม่ให้เขาเข้าจวนไปติดกับดักเอง
ทว่า ไม่นานก่อนหน้านี้ นางก็ได้พบกับคุณชายของนางจริงๆ
คุณชายโลหิตเต็มกาย ลอยตัวออกมาจากกำแพงเรือนในจวนด้วยสีหน้าเร่งรีบ และทิ้งตัวลงในจุดที่อยู่ไม่ไกลจากจุดที่นางซ่อนตัวพอดี
นางก้าวเข้าไปขวาง ร้องไห้ด้วยความยินดี “คุณชายไม่เป็นอันใดก็ดีแล้วเจ้าค่ะ”
เดิมเป็นการปลอบโยน แต่สิ่งที่ตอบนางกลับมาคือฝ่ามือหนึ่งและประโยคต่อว่า “ความสามารถที่จะทำให้งานสำเร็จนั้นมีไม่พอ แต่ความสามารถที่จะทำลายงานนั้นมีอยู่เหลือเฟือ เจ้าถูกคนอื่นหลอกแล้ว ทำให้ข้าต้องเสียเปรียบ จนต้องเปิดเผยฐานะ เจ้ายังจะมีหน้ามาปรากฏตัวอีกหรือ”
ฝ่ามือนั้นของหลูเจิ้งหยางแรงมาก อวิ๋นอิ๋งโลหิตรินไหลออกจากมุมปากทันที คนก็ล้มลงไปบนพื้น หลูเจิ้งหยางที่ตบอวิ๋นอิ๋งไปก็ไม่มองนางอีก หมุนกายเตรียมจะหนีอีกครั้ง ทว่าขากลับถูกคนกอดเอาไว้
คนที่โผเข้ามากอดขาหลูเจิ้งหยางคืออวิ๋นอิ๋ง
“คุณชาย อวิ๋นอิ๋งผิดไปแล้วเจ้าค่ะ” อวิ๋นอิ๋งมีลางสังหรณ์ว่า เพียงแค่คุณชายก้าวเท้าจากไป นางก็จะไม่ได้พบคุณชายอีก จึงกอดขาหลูเจิ้งหยางเอาไว้แน่น พลางร่ำไห้อย่างน่าสังเวช
“คุณชาย…ท่านบอกว่าจะพาอวิ๋นอิ๋งไปด้วยกันไม่ใช่หรือเจ้าคะ คุณชาย…ไม่ต้องการอวิ๋นอิ๋งแล้วหรือ”
“ต้องการเจ้า? น่าขัน! หากไม่เห็นแก่ที่ว่าเจ้ายังมีคุณค่าที่จะใช้ประโยชน์อยู่บ้าง เจ้าคิดว่าข้าจะต้องการสตรีที่เป็นดั่งเศษดอกไม้ปลิดปลิวเศษ ต้นหลิวที่เหี่ยวเฉา[2] เช่นเจ้าหรอกหรือ ไสหัวไป!”
ตอนที่กำลังจะหนีเอาชีวิตรอด หลูเจิ้งหยางใจร้อนดั่งไฟ จึงสะบัดขา แต่สะบัดอวิ๋นอิ๋งไม่หลุด
มือไม่คลาย วาจาของหลูเจิ้งหยางทิ่มแทงหัวใจอวิ๋นอิ๋ง
นางไม่เพียงแต่จะไม่ปล่อยมือ แต่ยังจะออกแรงรัดแน่นยิ่งกว่าเดิม
นางรู้สึกได้แต่แรกแล้วว่า หากต้องจากลากันในวันนี้ ก็เท่ากับการไม่ได้พบกันอีกเลยชั่วชีวิต
สมองนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบร้อนเอ่ย “คุณชาย คุณหนู…คุณหนูจริงใจต่อท่าน คอยติดตามแม้ว่าเป็นหรือตาย หรือว่าคุณชายก็จำไม่ได้แล้วหรือเจ้าคะ”
เอ่ยถึงคุณหนูของตนเอง อวิ๋นอิ๋งก็คล้ายกับคว้าฟางเส้นสุดท้ายได้ หวังว่าคุณชายจะเห็นแก่หน้าคุณหนูที่ตายไป พานางไปด้วย คุณชายเคยรับปากคุณหนูว่าจะรับตนเองไว้
“คุณหนู? อวี้ฉืออวี่เอ๋อร์? เหอะ! นางที่เป็นคนป่วยกระเสาะกระแสะ ร่างกายไร้เรี่ยวแรงคนหนึ่ง ออกจากตระกูลอวี้ฉือ กระทั่งชีวิตก็มีต่อไปไม่ได้ ข้าจะเอามาทำอันใด หากตอนนี้หัวหน้าตระกูลอวี้ฉือสามารถรับปากข้อเรียกร้องของข้าได้ เห็นแก่อิทธิพลอำนาจของตระกูลอวี้ฉือ ข้ายังสามารถมองนางให้มากขึ้นหน่อยได้ แต่หัวหน้าตระกูลอวี้ฉือกลับมองข้ามความหวังดีของข้า! ตอนนี้ เพียงแค่นึกถึงนาง ข้าก็รู้สึกคลื่นไส้ สตรีแพศยาที่เหมือนกับเจ้าผู้นั้น ข้าจะจดจำนางไปทำไม!”
อวิ๋นอิ๋งในยามนี้สมองขาวโพลน
คุณหนูของนาง ต่อต้านผู้อาวุโสเพื่อความรักเช่นนี้ ต่อต้านหัวหน้าตระกูลที่รักนางมากที่สุด สาบานว่าชีวิตนี้หากไม่ใช่คุณชายจะไม่แต่งงาน ถึงได้ถูกไล่ออกจากตระกูล
ก่อนคุณหนูของนางจะป่วยตายยังคิดจะให้นางตามหาคุณชายให้พบตลอดเวลา หากหาคุณชายพบแล้ว ก็ให้นางบอกกับคุณชายว่า ชาติหน้านางจะรอเขา…บอกว่านางเป็นของเขาคนเดียวตลอดกาล…
แต่ว่าในใจของคนผู้นั้น คุณหนูกลับได้มาเพียงแค่คำว่า…สตรีแพศยา!
นางหักหลังผู้เป็นนายอย่างไร้มโนธรรมเพื่อเขา!
นางเตรียมใจไม่ต้องการแม้กระทั่งบุตรีของตนเองเพื่อเขา!
แต่ผลลัพธ์ที่ได้คืออันใด ยังคงเป็นนางแพศยา และมากกว่าคุณหนูประโยคหนึ่ง…เศษดอกไม้ที่ปลิดปลิว ต้นหลิวที่เหี่ยวเฉา!
“คุณชายรู้แต่แรกแล้วว่าคุณหนูพาข้าออกมาหาท่าน?”
“ย่อมรู้ ขยะไร้ค่าที่ไร้คุณธรรมสตรีสองนาง หึ แพศยา…”
ยังเอ่ยไม่ทันจบ บนฟ้าและผืนดินก็มีเงาร่างนับไม่ถ้วนเหินกายออกมา เห็นได้ชัดเจนว่าเหล่าองครักษ์ที่ไล่ตามมาถึงแล้ว
หลูเจิ้งหยางไม่อยากพัวพันกับอวิ๋นอิ๋งอีก จึงออกแรงถีบอวิ๋นอิ๋งไปกระแทกเข้ากับกำแพงเรือน
และหลังจากนั้น หลูเจิ้งหยางก็เร่งฝีเท้าจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันกลับมา อวิ๋นอิ๋งเพียงแค่มองเงาร่างที่เลือนหายไปในความมืดอย่างสิ้นหวัง
นางหัวใจแตกสลาย สาเหตุที่กอดขาเขาไม่ยอมปล่อยมือ ก็เพราะหวังจะตายด้วยน้ำมือของเขา จะได้จบสิ้นชีวิตที่น่าขันนี้เสียที
แต่ว่า นางเห็นแววเหยียดหยามในสายตาไร้เยื่อใย
เขารู้ว่าพวกนางออกมาหาเขา แต่กลับมองคุณหนูป่วยตายด้วยความเสียใจในต่างถิ่นอย่างไม่รู้สึกรู้สา เขารู้ว่าคุณหนูป่วยตายแล้ว แต่กลับมองตนเองขายตัวเป็นบ่าวเพื่อที่จะฝังศพคุณหนูโดยไม่สนใจ!
คราวนี้ เขาไม่ได้สังหารตนเอง ก็เกรงว่าจะไม่อยากทำให้กระบี่เขาสกปรก
เขาต้องใช้ประโยชน์จากตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย ใช้ตนเองไปสร้างความหงุดหงิดใจให้กับคนในตระกูลขุนนางชนชั้นสูงพวกนั้น
การรับรู้เช่นนี้ทำให้อวิ๋นอิ๋งรับไม่ได้
อวิ๋นอิ๋งนิ่ง เหม่อ ใจแตกสลายไปนานแล้ว!
ในภายหลัง คนที่ตามมามาถึงแล้ว มีคนจับนาง มีคนถกเถียงทิศทางแล้วตามต่อไป
และในภายหลัง นางถูกนำตัวมาตรงหน้าคุณหนูใหญ่ตระกูลมั่วผู้เป็นเจ้านายในตอนนี้
“คุณหนูใหญ่…”
อวิ๋นอิ๋งคุกเข่าอยู่บนพื้น ผมเผ้าและอาภรณ์ยุ่งเหยิงอย่างยิ่ง สภาพนี้ของนาง ไหนเลยจะมีความน่าเกรงขามและงดงามของรองหัวหน้าแม่บ้าน ในตอนที่ทำงานเป็นลูกน้องของมั่วเชียนเสวี่ยอีก
มั่วเชียนเสวี่ยเดาใจคนผู้นี้ไม่ออกจริงๆ และเดาไม่ออกว่าความรักเพ้อฝันนี้สร้างความหลงใหลให้ผู้คนมากเพียงใด!
ส่วนอวิ๋นอิ๋งกลับเป็นคนที่นางดูแล้วไม่เข้าใจมากที่สุด!
“คุ้มค่าหรือไม่”
มั่วเชียนเสวี่ยก้าวไปยืนตรงหน้าอวิ๋นอิ๋ง มองนางที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ตกต่ำถึงขีดสุด
เมื่อครู่อวิ๋นอิ๋งสนทนากับหลูเจิ้งหยาง แม้ว่าจะไม่มีใครเข้าใกล้ แต่สุดท้ายถูกถีบกระเด็นอย่างไร้ความปราณีนั้นย่อมตกอยู่ในสายตาเหล่าองครักษ์ และมีคนมารายงานนานแล้ว
เดิม หมากที่ตนเองวางเอาไว้คือจับหลูเจิ้งหยางเอาไว้ ให้พวกเขากัดกันเองเหมือนสุนัข ให้นางมองสีหน้าของคนเลวออก ให้นางเสียใจเคียดแค้นในสิ่งที่ตนเองกระทำลงไปและละอายใจ
ตอนนี้บังเอิญเช่นนี้ ไม่ต้องให้ตนเองจัดฉาก อวิ๋นอิ๋ง คนไร้มโนธรรมก็ถูกคนที่ตนเองคิดถึงตลอดเวลาถีบกระเด็นราวกับผ้าขี้ริ้วขาดๆ และทิ่มแทงใจยิ่งกว่า
[1] นกตื่นธนู เป็นสำนวนจีน ใช้เปรียบเทียบกับคนที่เคยผ่านเหตุการณ์ที่ไม่ดีมา และภายหลังเมื่อมีอะไรมากระทบเล็กน้อยก็จะตื่นกลัว
[2] เศษดอกไม้ปลิดปลิวเศษ ต้นหลิวที่เหี่ยวเฉา หมายถึง สตรีที่ไร้ซึ่งเกียรติยศและความงดงามแห่งวัย