ผู้หนึ่งทำเพื่อลบล้างความอัปยศและล้างแค้น จึงปลุกปั่นทัพใหญ่ของหนานหลิงให้บุกประชิดพรมแดน ทำลายเทียนฉีอย่างแข็งขัน
ผู้หนึ่งคิดจะนำทัพถือดาบบุกเข้าไปสังหารเหล่าทหารหาญในต้าฉี เพื่อแก้แค้นให้กับบรรพบุรุษของตระกูลนานแล้ว
สองคนที่มีความต้องการเหมือนกันโดยบังเอิญ จึงได้วางแผนร้ายถึงกลางค่ำกลางคืนก็ยังไม่นอน
เช้าวันรุ่งขึ้น ถานไถเมี่ยฉีก็ถวายฎีกาขอทำสงคราม
ดังนั้น ในท้องพระโรงของหนานหลิง…
เวลาหมดไปกับเรื่องยุ่งวุ่นวายต่างๆ นาๆ
พริบตาหนึ่ง ก็เดือนแปดแล้ว
สายลมในฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านแผ่วเบา ใบไม้จากต้นอู๋ถง[1]ร่วงโรย
หลายวันก่อนหน้านี้ ตามประเพณียุคโบราณ หลังจากถือศีลกินเจ มั่วเชียนเสวี่ยอาบน้ำแล้วก็ประกอบพิธีเซ่นไหว้สามีภรรยามั่วเทียนฟ่าง โดยมีหนิงเซ่าชิงอยู่เป็นเพื่อน ช่วงเวลาแห่งการไว้ทุกข์ก็ผ่านไปอย่างเป็นทางการ นับจากนี้ก็ไม่มีข้อห้ามอันใดอีก
เดือนแปดเป็นฤดูกาลเก็บเกี่ยว และเป็นฤดูกาลที่ผลหมากรากไม้สุกเช่นกัน
มั่วเชียนเสวี่ยสร้างโรงงานขนาดเล็กที่ทำแยมผลไม้โดยเฉพาะขึ้นมาไว้ข้างบ้านไร่แห่งหนึ่ง
หลังจากหนิงเซ่าชิงหาวิธีจัดการกับถงจื่อจิ้งได้ ขอแค่ถงจื่อจิ้งมาเฝ้าเขาสนทนากับมั่วเชียนเสวี่ย เขาก็จะเอ่ยให้มั่วเชียนเสวี่ยหาภรรยาให้กับถงจื่อจิ้งครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งยังแนะนำด้วยว่ามีคุณหนูตระกูลใดถึงวัยปักปิ่น และเหมาะสมกันอะไรพวกนี้
ถงจื่อจิ้งก็ไม่ได้โง่ ย่อมรู้อยู่แก่ใจ จึงไม่มาเฝ้ามั่วเชียนเสวี่ยทุกวันเหมือนแต่ก่อนอีก
เพียงแค่เห็นว่าหนิงเซ่าชิงอยู่กับมั่วเชียนเสวี่ย เขาก็จะจากไปโดยไม่หันกลับมา ไม่ได้บุกเข้าไปหรือยืนเฝ้าอยู่นอกเรือนเพื่อให้ได้มาซึ่งความเห็นอกเห็นใจเหมือนเมื่อก่อนอีก
แต่ทว่า หนิงเซ่าชิงยังคงไม่ปล่อยเขาไป มักจะให้เตาหนูกับกุ่ยซาโยนสตรีเข้ามาในห้องเขาบ่อยๆ ในช่วงกลางค่ำกลางคืน ทำให้เขาหงุดหงิดจนแทบทนไม่ไหว
ให้เป็นเช่นนี้ต่อไปก็ไม่ใช่เรื่อง
ถงจื่อจิ้งจำใจต้องใช้คฤหาสน์ในเมืองหลวงของตนเองแลกกับเจ้าของบ้านไร่ข้างๆ บ้านไร่มั่วเชียนเสวี่ย แล้วเพิ่มเงินอีกเล็กน้อย จนในที่สุดก็ซื้อบ้านไร่หลังที่ใกล้มั่วเชียนเสวี่ยมากที่สุดมาได้
แขวนป้ายบ้านไร่ถง และเพิ่งย้ายไปอย่างเป็นทางการเมื่อไม่กี่วันก่อน ถือได้ว่าเขามีบ้านอีกหลังในเมืองหลวง หนิงเซ่าชิงจะได้ไม่ให้คนมากลั่นแกล้งเขาอีก
เพียงแต่ แม้ว่าเขาจะย้ายไปอยู่ในบ้านไร่อีกหลัง แต่เขาล้วนเอาใจใส่ในทุกๆ เรื่องของมั่วเชียนเสวี่ย
ไม่เพียงแต่เอาใจใส่ บ้านไร่ของมั่วเชียนเสวี่ยสร้างอะไร เขาก็จะสร้างในพื้นที่ไร่ของตนเองแบบเดียวกันเช่นกัน
โรงเรือนเพาะปลูกพืชผักหลังนั้น มั่วเชียนเสวี่ยสร้าง เขาก็สร้างสองสามหลังติดกับโรงเรือนเพาะปลูกของมั่วเชียนเสวี่ย
สร้างโรงงานแยมผลไม้ มั่วเชียนเสวี่ยสร้าง เขาก็สร้างที่บ้านไร่ตนเองแห่งหนึ่งเช่นกัน
ตอนว่างๆ เขายังสามารถลดฐานะลงมาสอนเทคนิคการแกะสลักบางอย่างให้กับเด็กๆ ในโรงงานแกะสลัก
สรุปได้ว่า มีถงจื่อจิ้ง มั่วเชียนเสวี่ยก็หมดห่วงไปไม่น้อย
มั่วเชียนเสวี่ยสั่งให้เหล่าชาวนาทำงานแล้ว นางก็นั่งกินผลไม้ที่เพิ่งเด็ดออกมาจากต้นเมื่อครู่ที่ข้างๆ เนินเขาลูกเล็ก พลางเหม่อมองไปไกล
ตอนนี้แม้ว่านางจะไม่ได้มีชีวิตที่มีเกียรติและมั่งคั่งร่ำรวย แต่กลับใช้ชีวิตได้อย่างมีอิสระเสรี
แต่ทว่า ตอนนี้กลับมีแขกผู้ไม่ได้รับเชิญมาเยือน
ชุนเยี่ยนที่ท้องโตจูงซีซีมารายงาน บอกว่าคุณชายซินแห่งเทียนเซียงพาคุณหนูเจี่ยนมาเมืองหลวง ตอนนี้คนอยู่ในบ้านไร่แล้ว
ชิงโยวมาหรือ!
มั่วเชียนเสวี่ยทั้งตะลึงและยินดี สวมหมวกฟางบนศีรษะ โยนผลไม้ในมือทิ้ง แล้วรีบลุกขึ้น โคจรกำลังภายในที่อัดแน่นแล้วใช้วิชาตัวเบาพุ่งตัวไปทางบ้านไร่ทันที
สองเดือนนี้ แม้ว่านางจะยุ่งมาก แต่การฝึกวรยุทธ์ไม่ได้ฝึกแบบขอไปทีเช่นแต่ก่อน
ทุกครั้งที่ว่าง หากหนิงเซ่าชิงมาเยี่ยมนาง ก็มักจะเอ่ยถึงวิธีการโคจรลมปราณกับนางเล็กน้อย ทั้งยังจับผิดนาง แม้ว่าจะทะเลาะกันจนถึงตอนท้าย ทั้งคู่ก็ร่วมรักกันอย่างยากจะควบคุมความปรารถนา แต่ก็ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยเข้าใจวรยุทธ์มากขึ้น เมื่อเทียบกับในอดีตที่ซูชีทำได้แค่บอก แต่ไม่อาจสาธิตได้
เมื่อก่อนวิชาตัวเบานั้นทำได้แค่กระโดดข้ามรั้วแห่งหนึ่ง ตอนนี้แม้จะไม่นับว่าเหนือชั้น แต่ก็ดีขึ้นเล็กน้อย สามารถลอยตัวออกไปได้ไกลหลายจั้ง
ท้องของชุนเยี่ยนนั้นเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น ผ่านไปอีกสองสามเดือนก็จะคลอดแล้ว จะตามทันเสียที่ไหน
ท่าทางเช่นนั้นของมั่วเชียนเสวี่ย มองจากที่ห่างไกล ยังจะมีมาดคุณหนูใหญ่เสียที่ไหน เหมือนกับสตรีในครอบครัวชาวนาคนหนึ่ง
มั่วเชียนเสวี่ยที่เป็นเช่นนี้ทำให้เจี่ยนชิงโยวหวนนึกถึงคราแรก
คราแรก สิ่งที่ทำให้นางชื่นชมคือความสามารถในการเอ่ยวาจาของมั่วเชียนเสวี่ย และยังมีบุคลิกของม และสีหน้าท่าทางเฉยเมยของนางในตอนที่ขับเกวียนเทียมวัว
ท่าทางบังคับเกวียนเทียมวัวนั้นมีความองอาจยิ่งกว่านางผู้เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ที่นั่งรถม้าเสียอีก
ในที่ห่างไกล มั่วเชียนเสวี่ยก็เห็นเจี่ยนชิงโยวแล้วเช่นกัน นางยังคงมีบอบบางเหมือนแต่ก่อน เพียงแต่ดูอ่อนแอลงเล็กน้อย สีหน้าซีดเผือด ผอมลงกว่าเมื่อก่อนอีก
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหนื่อยจากการเดินทางหรือไม่ จากเทียนเซียงมาเมืองหลวง แม้จะเดินทางทางน้ำ อย่างมากที่สุดก็ยังต้องหลายวัน
แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะมาที่ต่างโลกนี้ได้ปีหนึ่งแล้ว แต่ภายในก็ยังเป็นคนยุคปัจจุบัน
ได้เจอเพื่อนสนิทที่ไม่พบกันมาครึ่งปี จึงพุ่งเข้าไปกอดด้วยสไตล์อเมริกัน ทั้งยังจับมือกันและกัน พลางทักทายกันอยู่ครู่หนึ่ง ตามหลักธรรมชาติของผู้คน
ทว่า เสี้ยววินาทีที่พุ่งเข้าไปเตรียมจะกอดเจี่ยนชิงโยวเอาไว้นั้น
ซินอี้หมิงกลับอุ้มเจี่ยนชิงโยวถอยหลังไป
มั่วเชียนเสวี่ยพุ่งเข้าหาอากาศ หากไม่ใช่ว่าอวี่เสวียนที่อยู่อีกด้านว่องไว ก็เกือบจะล้มลงไปแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยโงนเงน กระอักกระอ่วน ทั้งยังหดหู่
หรือว่าซินอี้หมิงจะเหมือนกับหนิงเซ่าชิงที่ขี้หึงบ่อยๆ กระทั่งสตรีก็ยังหึง?
มีคนขี้หึงมากสองคนอยู่ด้วย ในภายภาคหน้าพวกนางสองคนก็ไม่สามารถเล่นสนุก และแขวะ ‘ความชั่วร้าย’ ของบุรุษสองคนนี้อย่างมีความสุขด้วยกันได้อีกแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยเพิ่งจะยืนได้อย่างมั่นคงภายใต้การช่วยประคองจากอวี่เสวียน ก็ทำตาขวางใส่ซินอี้หมิง เค้นรอยยิ้มบางๆ ยังไม่ทันจะเอ่ยปากหยอกล้อซินอี้หมิงก็ขอโทษด้วยท่าทางเอาจริงเอาจังเป็นอย่างมากเสียก่อน
“คุณหนูใหญ่มั่ว ท่านไม่เป็นอะไรนะ! กะทันหันไปหน่อย คุณหนูใหญ่โปรดให้อภัย ผู้น้อยแซ่ซินขออภัยคุณหนูใหญ่จริงๆ คุณหนูใหญ่กระตือรือร้นเกินไปหน่อย ชิงโยวของข้าร่างกายอ่อนแอ ตอนนี้ยังตั้งครรภ์ เกรงว่าจะรับไม่ไหว…”
ที่แท้ก็ตั้งครรภ์นี่เอง?!
เจี่ยนชิงโยวดิ้นออกจากอ้อมแขนซินอี้หมิงด้วยท่าทางเขินอายมายืนตรงหน้ามั่วเชียนเสวี่ย “ไม่เป็นไร เขาเครียดไปหน่อย”
มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกยินดี สัมผัสท้องเจี่ยนชิงโยวเบามือ
มิน่าถึงได้ดูผอมแห้ง และหน้าซีดเผือด!
“ทำไมถึงไม่บำรุงอยู่บ้าน ตั้งครรภ์แล้วยังจะวิ่งไปทั่ว รอข้ามีเวลาค่อยไปเยี่ยมเจ้า ก็ไม่ต่างกัน” เอ่ยแล้ว ก็หันตำหนิซินอี้หมิง “จะมาก็ไม่ส่งสาส์นมาก่อน ข้าจะได้ไปรับเจ้า”
เจี่ยนชิงโยวยังคงเอ่ยวาจาด้วยท่าทางไม่เร็วไม่ช้าเช่นเคย “ท่านอย่าโทษเขาเลย ชิงโยวไม่ให้เขาบอกเอง”
มั่วเชียนเสวี่ยเก็บมือกลับมายิ้มๆ จ้องหน้านางอย่างสัพยอก “เจ้าน่ะ ตอนนี้ก็ช่วยเขาแล้ว ข้ายังไม่ได้ว่าอันใดเขาเลย! เห็นสามีดีกว่าเพื่อน!”
“เชียนเสวี่ยรู้จักแต่หยอกชิงโยว รอเห็นหัวหน้าตระกูลหนิง ข้าว่าเจ้าก็ไม่ได้กระฉับกระเฉงเช่นนี้หรอก…”
ทั้งสองคนพลางสนทนา พลางคล้องแขนกันเดินไปที่เรือนเสวี่ยหว่านของมั่วเชียนเสวี่ย
เดิมซินอี้หมิงกับเจี่ยนชิงโยวมาถึงก็ไม่เช้าแล้ว ถึงเรือนเสวี่ยหว่าน มั่วเชียนเสวี่ยเห็นท่าทางเหน็ดเหนื่อยของเจี่ยนชิงโยว ก็จัดการให้พวกเขาไปพักผ่อนที่เซียงฝาง[2] ส่วนตนเองก็ไปจัดการมื้อเย็นด้วยตนเอง
[1] ต้นอู๋ถง ชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่งที่ให้น้ำมัน ส่วนเนื้อไม้นิยมนำมาทำเครื่องดนตรีกู่ฉิน
[2] เซียงฝาง หมายถึง เรือนด้านข้างทางทิศตะวันออกและตะวันตก