แม้ว่าตระกูลซูจะมีตำราพิชัยสงครามเป็นของตนเอง แต่ในปีนั้นมั่วกั๋วกงตีทัพทหารแตกพ่าย คิดว่าตำราพิชัยสงครามของเขา จะต้องมีลักษณะเฉพาะตัวของตนเอง
มั่วเชียนเสวี่ยอาศัยความทรงจำ ท่องตำราพิชัยสงครามของกุ่ยกู่จื่อที่หัดคัดพู่กันจีนในสมัยยังวัยเยาว์ขึ้นมา
“ทุกการวางแผนล้วนต้อง… ไม่ว่าจะวางกลยุทธ์ใดๆ ล้วนต้องปฏิบัติตามกฎที่วางเอาไว้ โดยเริ่มจากการสืบหามูลเหตุของปัญหา ศึกษาทำความเข้าใจและควบคุมแนวโน้มของสถานการณ์ในปัจจุบันให้เรียบร้อย เมื่อควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว จึงจะสามารถตัดสินใจวางกลยุทธ์สามแบบ นั่นก็คือ กลยุทธ์ที่ดี กลยุทธ์ที่เหมาะสม กลยุทธ์ธรรมดาทั่วไป แล้วนำทั้งสามกลยุทธ์มาทดสอบด้วยกัน ก็จะได้กลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดออกมา ซึ่งกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริงนั้นไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นเอาไว้ได้ วิธีการวางแผนกลยุทธ์แบบนี้ คนยุคโบราณเคยปฏิบัติมาก่อน ดังนั้นตอนที่ชาวเจิ้งกั๋วเข้าไปเก็บหยกในหุบเขา ล้วนต้องนำรถชี้ทิศใต้ไปด้วยเสมอ เพื่อที่จะได้ไม่หลงทิศ ไตร่ตรองความสามารถในการทำงานของผู้อื่น ประเมินความรู้สึกที่แท้จริงของเขา ก็เหมือนกับการใช้รถชี้ทิศใต้ในเวลาที่กระทำเรื่องใดๆ”
หรือเป็นเพราะว่าไม่ได้อ่านมานาน เลยจำเป็นต้องคิดทีละประโยค นางจึงท่องช้ามาก น้ำเสียงก็เฉยชามาก แต่ในหูของซูชี กลับหวานซึ้งราวกับเสียงหยดน้ำตกกระทบจานคริสตัล สดใสราวกับท้องฟ้าสีคราม หุบเขาอันไกลโพ้นที่เห็นได้แต่ไกล แต่ที่ได้ยินกลับมีเพียงแค่เสียงของนางแต่เพียงผู้เดียว
“สิ่งต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงไม่หยุดหย่อน และสิ่งที่เปลี่ยนแปลงนั้นทำให้เกิดปัญหา จะแก้ไขปัญหาเหล่านั้นต้องมีการปรึกษาหารือถึงยุทธวิธี จะปรึกษาหารือถึงยุทธวิธีย่อมต้องถกเถียงว่ากันไปตามเหตุผล พิจารณาให้ละเอียดรอบคอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ค่อยกำหนดหนทาง สิ่งที่มีประโยชน์ต่อความก้าวหน้าของเรื่องนั้นๆ ก็ส่งเสริมให้เร่งรุดไปข้างหน้า เมื่อรุกแล้วไม่อาจถอยได้ หากจะถอยก็ต้องหาวิธีการที่ดีเพื่อไม่ให้เรื่องเหล่านี้หลุดการควบคุม ดังนั้นความเปลี่ยนแปลงของเรื่องต่างๆ เป็นเรื่องปกติ วิธีที่จะควบคุมมันเอาไว้ก็แทบจะเป็นวิธีเดียวกันทั้งหมด…นี่เป็นตำราพิชัยสงครามที่ดีจริงๆ”
ซูชีไม่ได้อธิบายความลึกซึ้งและยอดเยี่ยมของเนื้อหาในตำราพิชัยสงคราม
ฟังเสียงใสของมั่วเชียนเสวี่ยท่องไป พลางท่องซ้ำอีกรอบแล้วจำไว้ในใจ
ล้วนเป็นคนฉลาด ในเมื่อมั่วเชียนเสวี่ยท่องตำราพิชัยสงครามให้เขาฟัง ย่อมเป็นการยกให้เขา
โชคดีที่ตำราพิชัยสงครามนี้สูตรไม่ยาวนัก ไม่นานก็ท่องจบ
ราตรีเงียบงัน คิดถึงความวุ่นวายที่กำลังจะมาถึงในอนาคตไม่นานนี้ มั่วเชียนเสวี่ยจึงลืมความตั้งใจที่จะเอ่ยถึงท่านหญิงซูซูเพื่อโน้มน้าวซูชีไป
ซูชีจำตำราพิชัยสงคราม และไม่ไปครุ่นคิดลึกซึ้งถึงมันอีกในตอนนี้ เพียงแต่อยากจะเพลิดเพลินช่วงเวลานี้เงียบๆ สามารถได้อยู่กับนางเงียบๆ เป็นสิ่งที่เขาอยากทำมานานมากแล้ว
คล้ายกับมีกลิ่นหอมเย็นๆ กระตุ้นความรู้สึกของซูชี คล้ายกลิ่นหอมหวานของดอกกุ้ยฮวา และมีความสงบเงียบของสายน้ำลึก จึงก้าวขึ้นไปก้าวหนึ่งอย่างอดไม่ได้
ทั้งสองคนยืนเคียงคู่กันอยู่ริมน้ำ แต่ละฝ่ายล้วนมีเรื่องในใจ เงียบงัน สงบนิ่ง
กระต่ายในดวงจันทร์ทอแสงสุกสกาว บ่อน้ำเขียวใสสะท้อนเงาร่างของคนทั้งคู่ หนึ่งคนหล่อเหลายืนตระหง่าน หนึ่งคนแน่งน้อยเพรียวบาง
สายลมเย็นพัดผ่าน เงาร่างสองสายไหววูบจนยากจะแยกได้ชัดแต่ก็คล้ายกับพันกันยุ่งเหยิง
ซูชีมองเงาในน้ำเงียบๆ หน่วยตาแดงระเรื่อเล็กน้อย พลันรู้สึกอิจฉาเงาร่างที่อยู่ในน้ำนั้น จินตนาการอันน่าสิ้นหวังในใจเริ่มผุดขึ้นมาอีกครั้ง
พลันจับมือมั่วเชียนเสวี่ยเอาไว้ เอ่ยเสียงต่ำแหบพร่า “ถ้าหากข้าได้เจอเจ้าก่อนก้าวหนึ่ง เจ้าจะให้โอกาสข้าหรือไม่”
ภายใต้ความตื่นตะลึง มั่วเชียนเสวี่ยรีบกระชากมือกลับมา แล้วหันหน้าไปมองเขาด้วยสีหน้าโมโห
ครั้งที่แล้วนางปฏิเสธชัดเจนมากพอแล้ว นางนึกว่าแม้ว่าในใจเขาจะมีปม เขาจะไม่เอ่ยถึงมันอีก
แต่ทว่า เมื่อหันกลับมาเจอใบหน้าหล่อเหลา นัยน์ตาดำสนิทคู่นั้น โทสะไร้ชื่อในใจนางก็ลดลงทันที
ความรู้สึกพลันเอ่อล้นทะลักออกจากนัยน์ตา เป็นความจริงใจ ความปรารถนาที่เจือไปด้วยแวววิงวอนถึงขนาดนั้น
เพียงแค่จับมือนิดเดียวเท่านั้น นางต้องตบผู้อื่นหรือเอ่ยวาจาไม่น่าฟังเหมือนกับสตรียุคโบราณด้วยหรือ
นางคิดไม่ถึงเลยจริงๆ เจตนาเดิมของตนเองในวันนี้คือคิดจะคลายปมนั้นออก แต่ตอนนี้มองดูแล้ว กลับพบว่าเขาถลำลึกมากว่าเดิม
หรือจะกล่าวว่า ครั้งที่แล้วต่อหน้าหนิงเซ่าชิง เขายังมีสติอยู่ส่วนหนึ่ง ยังสามารถระงับความรู้สึกตื่นเต้นและหวาดกลัวจนหัวใจเต้นแรงในส่วนลึกของหัวใจไว้ได้
สมควรจะปล่อยมือ หรือตัดสินใจ ก็ต้องเด็ดขาด หากลังเล อาจจะนำภัยมาเยือนหรือติดร่างแหไปด้วยได้ นางไม่รู้ว่าตนเองผิดพลาดตรงไหน หากเขายังมีท่าทีเช่นนี้ นับตั้งแต่วันนี้ไป นางจะไม่พบหน้าเขาอีก
นางทำร้ายเขาไม่ได้!
นางยิ่งไม่อาจทำร้ายท่านหญิงซูซู!
ความคิดหมุนวนไปมาในเสี้ยววินาที สีหน้าก็เย็นชาลงทันที
หัวใจของซูชีก็ร่วงลงสู่หุบเขาลึกทีละเล็ก ทีละน้อยตามสีหน้ามั่วเชียนเสวี่ย
จนกระทั่งประกายเจิดจ้าเมื่อครู่ในนัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้นเลือนหายไป
แววตาเขาอับแสง โลกของเขากลายเป็นสีเทามานานแล้ว…
มั่วเชียนเสวี่ยกลับเลือกที่จะไม่เงียบ
แม้ในใจนางจะรู้สึกแย่ แต่ใบหน้ากลับไร้ความรู้สึก น้ำเสียงก็เรียบเฉย “บนโลกใบนี้ไม่มีคำว่าถ้าหาก มีเพียงแต่ผลลัพธ์กับผลที่จะตามมาในภายหลัง ดังนั้น เจ้าเปิดใจให้กว้างเถอะ”
ความจริงนางใจอ่อนแล้ว แต่ไม่ได้แสดงมันออกมา
นั่นไม่ใช่ความรัก เป็นเพียงความสงสาร นางไม่อาจให้เขารู้สึกว่ามีความหวังแม้แต่นิดเดียว อีกอย่าง นางก็รู้ว่า ด้วยความทะนงตนของเขา เขาไม่ต้องการความสงสารใดๆ!
นัยน์ตาหม่นหมองปรากฏความหงุดหงิดเล็กน้อย “ไม่เคยมี จะมาคุยเรื่องเปิดใจให้กว้างอะไร” นางสามารถเลือกที่จะไม่ตอบรับได้ ไม่ให้ความหวังเขาได้ แต่เขากลับรับท่าทางไม่รู้สึกรู้สาที่นางแสดงออกมาต่อหน้าตนเองไม่ได้
วันนั้น นางค้ำต้นไม้ยิ้มให้ตนเองอย่างงดงาม
วันนั้น นางมีความปรารถนาถึงเพียงนั้นในอ้อมแขนของตนเอง
วันนั้น ในลานหิมะของคฤหาสน์ตระกูลถง นางเล่นปาหิมะกับตนเองอย่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
วันนั้น…
เขาเสียใจอย่างยิ่ง!
ตอนนี้ ทำได้เพียงแค่ใช้ความหงุดหงิดมาอำพรางความเจ็บปวดและความเศร้าเสียใจรวดร้าวถึงกระดูกเอาไว้
เปลี่ยนไม่ได้ ตัดไม่ขาด โค่นไม่ลง เพียงแค่นึกถึงชื่อมั่วเชียนเสวี่ย ชื่อนี้ เขาก็ยากจะควบคุมตนเอง
เฉกเช่นโรคเรื้อรังที่ไม่อาจรักษาได้ตลอดกาล เหมือนกับยาพิษที่เข้าไปในร่างกาย เหมือนกับก้อนกรวดในเนื้อหอยแมลงภู่ที่อ่อนนุ่ม ห่อหุ้มด้วยหยาดน้ำตาชั้นแล้วชั้นเล่าเป็นเวลาเนิ่นนาน เห็นอยู่ชัดๆ ว่าทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง แต่กลับไม่มีวันที่จะอาเจียนเอาออกมาได้วันนั้น
ซูชีแผ่นหลังแข็งทื่อ น้ำเสียงหงุดหงิด อำพรางความรู้สึกลึกซึ้งไม่มิด ผสมกับความต้องการที่จะหลอมรวมนางเข้าไปในร่างกายของตนเองอย่างรุนแรง ไม่เพียงแต่จะทำให้มั่วเชียนเสวี่ยประทับใจ แต่ยังทำให้นางกลัวเล็กน้อยด้วย
มือซ้ายหยิกมือขวา ยับยั้งตนเองไม่ให้เอ่ยปากปลอบใจ
กลัวว่าความอ่อนโยนที่เคยมีในก้นบึ้งหัวใจจะเปิดเผยออกมา ทำให้เขาเกิดมีความหวัง นับจากนี้ก็จะเดินในเส้นทางที่หวนกลับไม่ได้แล้วจริงๆ…
กลัวว่าตนเองจะใจอ่อน กลัวว่าตนเองจะเคลื่อนไหวผิดปกติแม้เล็กน้อย จนทำให้คนผู้นี้สูญเสียสติสัมปชัญญะไป…
ในวันนั้น เขาช่วยตนเองทำเงินเป็นจำนวนมากในตอนแรกสุด เพื่อไปรักษาอาการป่วยให้หนิงเซ่าชิง และก็เป็นเพราะเขา ซินอี้หมิงถึงได้ยอมจ่ายเงินราคาสูงซื้อรากไม้แกะสลักนั้นไป…
วันนั้น เขาช่วยตนเอง ปล่อยตนเอง ทำให้ตนเองสมปรารถนา
วันนั้น ตนเองถูกลงโทษหนักในวังหลวง ก็เป็นเขาที่ปกป้องนางกลับจวน ให้การสนับสนุนนางอย่างเปิดเผย มิเช่นนั้นจะมีพวกเสือสิงห์กระทิงแรดมารังแกถึงที่มากเพียงใด…เขาเป็นคนสอนวิชาตัวเบาและวิชากระบี่ให้ตนเอง วิเคราะห์เรื่องการตายของบิดาเพื่อตนเอง ช่วยนางปิดบังความลับของป้ายไม้ดำเอาไว้…นางไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักดีชั่ว
และเป็นเพราะขอบคุณและระลึกถึงความดีของเขา นางจึงยิ่งไม่สามารถทำร้ายเขาได้
ในเมื่อไม่สามารถมอบความสุขให้เขาได้ ก็ไม่สามารถให้ความหวังเขาสักนิดเดียว มีเพียงแบบนี้ เขาถึงจะได้รับความสุขเร็วขึ้น
บรรยากาศในศาลาชะงักงัน!
สืออู่ชงชาเดินเข้ามา เห็นมั่วเชียนเสวี่ยกับบุรุษอาภรณ์สีม่วงที่ยืนอยู่ในศาลา ก็คิดจะพุ่งไปสืบดูให้ชัดเจน แต่กลับถูกชูอีที่อยู่ข้างๆ ลากไปหลังต้นไม้
มองคนที่ยืนอยู่ใกล้น้ำไม่ไกล แล้วมองชูอี
สืออู่ไม่ได้ไม่เข้าใจเรื่องราวบนโลก และไม่ได้โหวกเหวกโวยวายเหมือนเมื่อก่อน ที่ต้องให้ชูอีปิดปากนาง
แน่นอน ชูอีรู้ว่าสืออู่มีนิสัยใจร้อน หลังจากชูอีลากสืออู่ไปหลังต้นไม้แล้ว ก็อธิบายโดยไม่รอให้นางถาม “คุณหนูมีเรื่องจะเอ่ยกับคุณชายซูแน่นอน พวกเรารออยู่ตรงนี้ก่อน”
สืออู่ขยี้เท้า “แต่ว่ากูเหยีย…” หากกูเหยียรู้ว่าคุณหนูใหญ่ยืนสนทนากับคุณชายซูแบบนี้ล่ะก็ เกรงว่าจะโมโหอีก เกรงว่าร่างกายของคุณหนูก็จะฟกช้ำดำเขียวอีก