เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค – ตอนที่ 560 มีเพียงมันเท่านั้นที่เหมาะสม (3)

ตอนที่ 560 มีเพียงมันเท่านั้นที่เหมาะสม (3)

หนิงเซ่าชิงจึงเล่าบทสนทนาที่ได้คุยกับบิดาวันนี้และรูปแบบในยามนี้ รวมถึงความกังวลของเขาให้ฟังทั้งหมด

มั่วเชียนเสวี่ยเสนอแนะความเห็นจากมุมของเขา ให้เขาส่งคนไปหาประสบการณ์สองเมืองก็พอ

แดนตะวันตกกับเป่ยต้าฮวงเดิมทีก็เป็นดินแดนที่อยู่ติดกันและล้วนมีแต่ลมพายุเต็มไปหมด

เพียงแต่ที่แตกต่างก็คือแม้แดนตะวันตกจะมีพายุหนัก แต่ที่ที่มีดินย่อมมีพืชพรรณธัญญาหารอุดมสมบูรณ์

ซ้ำมั่วเทียนฟ่างเพาะปลูกเป็นเวลานานหลายปี ทัศนียภาพในยามนี้จึงเปลี่ยนแปรไปไม่น้อย

ซึ่งแตกต่างจากเป่ยต้าฮวง ที่นั่นเป็นที่ที่ไร้ลมพายุ และส่วนใหญ่ก็ไม่มีพืชพรรณขึ้น

นั่นเป็นปัญหาของคุณภาพดิน

นางยังต้องคิดหาวิธีให้ดีว่าจะเปลี่ยนคุณภาพดินอย่างไร

หรือก็คือหาไร่นาที่เหมาะสมกับคุณภาพดินชนิดนั้น

เพียงพริบตาเดียวก็เข้าเดือนสิบเอ็ดแล้ว

สงครามเบื้องหน้าเข้าสู่ความดุเดือด ทว่าภายในเมืองหลวงกลับไร้ความวิตกแม้แต่น้อย

หลังจากเรื่องตระกูลเซี่ยจบลง ก็กลับสู่สภาพร้องรำทำเพลงเฉลิมฉลองสันติสุข

หิมะแรกในเมืองหลวง

มั่วเชียนเสวี่ยถูกเชิญให้เข้าร่วมงานชมหิมะที่จัดโดยตระกูลกุ้ยตรงชานเมือง

ฮูหยินชนชั้นสูงมากมายต่างมาประจบเอาใจ

หาใช่เพื่อการใด แต่เพื่อหวังจะได้ผักในเรือนกระจกของมั่วเชียนเสวี่ยสักนิดหน่อย

“คุณหนูใหญ่มั่ว อีกเดือนกว่าก็ถึงวันแต่งแล้ว ยินดีด้วยนะเจ้าคะ”

“ถึงเวลานั้นก็เชิญทุกท่านร่วมงานด้วยเลยนะ” นางไม่มีบิดาและพี่ชาย ประโยคนี้สตรีคนอื่นๆ ฟังแล้วเขินอายไม่เอ่ยคำ ทว่า นางฟังแล้วกลับต้องไปเชิญคนเขาจึงจะไม่เสียมารยาท

“คุณหนูใหญ่มั่ว หากต้องการอะไรก็บอกมาได้เลยนะเจ้าคะ”

“ขอบคุณฮูหยินที่ห่วงใย…”

หลังจากสนทนาตามมารยาทแล้ว บรรดาฮูหยินก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องผัก

“ผักที่คฤหาสน์ของคุณหนูใหญ่สามารถส่งให้ที่จวนพวกเราสักหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ หลายวันมานี้เหล่าไท่ไท่ไม่ค่อยอยากอาหารเลย จึงอยากได้ผักที่กินแล้วชุ่มคอหน่อย…”

“เหล่าไท่เหยี่ยบ้านข้าร่างกายไม่ค่อยดี หมอบอกว่าทางที่ดีให้ทานอาหารรสจืดๆ เป็นหลัก แต่ยามนี้นอกจากผักกาดขาวกับหัวไชเท้าที่กักตุนแล้ว ไหนเลยยังจะมีผักที่ชุ่มคออื่นๆ อีก เหล่าไท่เหยี่ยหมู่นี้โวยวายไม่อยากกินข้าวแล้ว…”

ข้ออ้างสารพัดมากมาย ส่วนใหญ่ล้วนเอาความกตัญญูมาอ้าง

อากาศหนาวเหน็บเพียงนี้ คนที่มีกำลังทรัพย์ใครบ้างจะไม่อยากกินผักสดเขียวชอุ่มกรุบกรอบ

หากไม่อ้างเรื่องกตัญญู จะให้บอกว่าตัวเองอยากกินเองอย่างนั้นรึ

ทว่า หลังจากที่นางส่งผักให้ภัตตาคารอวี่จี้แล้ว ส่วนใหญ่ก็จะกินเอง ที่เหลือล้วนส่งให้จวนตระกูลหนิงหมด ไหนเลยยังจะเหลือไว้ขายให้คนนอกอีก

โชคดีที่ถงจื่อจิ้งเป็นคนฉลาด แม้จะมีเรือนกระจกสร้างขึ้นด้านหลังนาง แต่ยามนี้ก็มีผักสดใหม่วางแผงในตลาดแล้ว

เพียงแต่เขาไม่ถนัดการเข้าสังคมด้านนอก ไม่เคยออกจากบ้านมาก่อน ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้

มั่วเชียนเสวี่ยจึงขายผักของเขาจนเกลี้ยง เพื่อสร้างชื่อให้ตัวเอง เพื่อสิ่งดีๆ และเพื่อสร้างรายได้ให้ถงจื่อจิ้งด้วย

บอกคนนอกว่ามอบผักเหล่านี้ให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ฐานะของคนเหล่านั้นที่นางมอบให้ ล้วนเป็นบุคคลที่ทำให้เทียนฉีสั่นสะเทือนกันทั้งนั้น จะมาเอาผักนางไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ได้อย่างไร

ล้วนต้องมีของขวัญตอบแทนเอาไว้ทั้งนั้น

ประการแรกเพื่อคบค้าสมาคมด้วย ประการที่สองเพื่อหน้าตา

แม้แต่เหล่าฮูหยินตระกูลหนิง วันๆ เอาแต่กินผักที่มั่วเชียนเสวี่ยมอบให้เพื่อแสดงความเคารพ ก็ไม่มีขาดตกเรื่องรางวัล มอบสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ มาให้นาง

ด้วยเหตุนี้ ยังไม่ทันแต่งเข้ามา ย่ากับหลานสะใภ้ก็ปรองดองกันแล้ว ทำเอาหัวหน้าตระกูลอาวุโสกับหนิงเซ่าชิงต่างปลื้มอกปลื้มใจ

ส่วนของเล็กๆ น้อยๆ ที่หญิงชรามอบให้พวกนั้น มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่ถือสา อย่างไรเสียก็ปูความสัมพันธ์ได้เรียบร้อยแล้ว หญิงชราชอบหรือไม่ชอบนาง นางไม่สนใจแต่แรกแล้ว

ทว่า นางต้องให้หนิงเซ่าชิงกับหัวหน้าตระกูลอาวุโสกินดีอยู่ดี จะมอบให้แต่บรรพชนอย่างเดียวก็คงไม่ได้

ให้นางพอได้หน้าในฐานะลูกหลานก็พอแล้ว

เรือนกระจกสร้างรายได้ให้นาง ซ้ำยังกระชับความสัมพันธ์พวกนี้ให้นางได้อีก มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกประสบความสำเร็จมาก

เพียงแต่ก็ค่อนข้างเสียดายเช่นกัน

ยามนี้ฝ่าบาทให้ความสำคัญต่อซินอี้หมิงมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

ด้วยฐานะของนาง นางไม่เหมาะที่จะเข้าใกล้เจี่ยนชิงโยวมากเกินไป ซินอี้หมิงจะได้ไม่โดนสงสัย ทีนี้คงได้ทำงานยากขึ้น

ด้วยเหตุนี้ ท่ามกลางที่สาธารณะ แม้จะเคยพบหน้ากันมาหลายครา ก็ทำเพียงทักทายกันเท่านั้น แม้แต่คำถามตามมารยาทก็ยังไม่อาจพูดอะไรได้มาก

เรื่องใหญ่โตเพียงนี้ แม้สามีทั้งสองตระกูลจะไม่ฉลาดเฉลียว แต่พวกนางล้วนกระจ่างแจ้งแก่ใจดี

ทั้งคู่ทอดมองกัน ยามสบตากันก็แลกเปลี่ยนสายตาห่วงใยให้กันและกัน

เมื่อหนิงเซ่าชิงจัดการงานราชงานหลวงเสร็จแล้ว ก็เดินออกจากห้องมาทอดมองไปยังลานบ้าน หิมะขาวโพลนไปทั่ว

เขานึกถึงวันที่หิมะตกเมื่อปีที่แล้ว มั่วเชียนเสวี่ยสวมเสื้อกันหนาวขอบขนสีเทายืนอยู่ตรงหน้าเขา

ตอนนั้นเขารู้สึกว่านางสุภาพเยือกเย็น อ่อนโยนและงดงาม รู้สึกว่าเสื้อผ้าเนื้อหยาบทั้งร่างนั้นไม่คู่ควรกับนาง

ตอนนั้นอยากจะเอาขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวที่ล่าได้ตอนเด็กๆ มาทำเสื้อขนสุนัขจิ้งจอกแล้วสวมให้นางด้วยตัวเอง

เพียงแต่ตอนนั้นออกจากเมืองหลวงแล้ว จึงไม่มีโอกาส…

มุมปากเขาหยักยกขึ้น ภาพที่มั่วเชียนเสวี่ยคลุมเสื้อขนสุนัขจิ้งจอกอย่างงดงามปรากฏขึ้นในหัวของเขา

เขานึกมาถึงตรงนี้ก็สั่งเยวี่ยเซี่ยให้หยิบขนสุนัขจิ้งจอกขาวผืนนั้นออกมา เพื่อทำเป็นเสื้อคลุมขนจิ้งจอกขาวให้มั่วเชียนเสวี่ย

เยวี่ยเซี่ยไม่พอใจ

เดิมทีจิ้งจอกขาวก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยอยู่แล้ว ซ้ำขนสุนัขจิ้งจอกขาวผืนนั้นของนายท่านยิ่งเป็นขนจิ้งจอกชั้นเยี่ยมที่ไร้ซึ่งตำหนิแม้แต่นิดเดียว

เป็นของล้ำค่าที่ประมาณราคาไม่ได้ที่แท้จริง นั่นเป็นสัตว์ที่ดีที่สุดที่นายท่านล่ามาได้เลย

ตอนนั้นเซี่ยซื่ออยากได้ นายท่านก็บ่ายเบี่ยงว่าจะเก็บไว้เป็นที่ระลึก

เหล่าฮูหยินอยากได้ เขาก็หักใจมอบให้ไม่ได้

บอกไว้เลยว่าจะไม่ยกให้ใครทั้งนั้น

ยามนี้ฮูหยินยังไม่ทันแต่งเข้ามา นายท่านก็จะยกของล้ำค่าผืนนี้ให้เสียแล้ว

รักใคร่ปานนี้หาใช่เรื่องดี แต่มันคือหายนะ

แน่นอนว่าเยวี่ยเซี่ยกล้าคิดแค่ในใจเท่านั้น นางรับคำสั่งจากนายท่านมาก็ออกไปตระเตรียม

เสื้อคลุมตัวนี้นางต้องลงมือเอง จะทำให้วัตถุดิบดีๆ เช่นนี้มาเสียเปล่าไม่ได้

สวนดอกไม้ชมหิมะของตระกูลกุ้ยแม้จะอยู่ชานเมือง แต่ก็อยู่ไม่ห่างจากเมืองหลวง

ในบรรดาร้านที่มารดาทิ้งไว้ให้มั่วเชียนเสวี่ยนั้นมีร้านขายวัตถุโบรารณเทียนเสิ่งเซวียนด้วย นางให้ผู้ดูแลคอยดูแลตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อนแล้ว ขอแค่มีคนเอาหินเลือดไก่สีแดงมาขายที่ร้าน ไม่ว่าราคาเท่าใดก็จะซื้อเข้าร้านไว้ก่อน

วันนี้เสี่ยวเอ้อร์ในร้านเพิ่งจะมารายงานว่ามีคนเอาหินเลือดหงส์ชั้นเยี่ยมมา เพียงแต่ตั้งราคาไว้สูงลิ่ว ผู้ดูแลจึงตัดสินใจเองไม่ได้

มั่วเชียนเสวี่ยเร่งรุดมาที่เทียนเสิ่งเซวียนด้วยความลิงโลด

นางทราบจากการบอกเป็นนัยของเสี่ยวเอ้อร์ว่าคนที่เอาหินมาขายคือคุณชายอาภรณ์ไหมคนนั้นที่ผู้ดูแลกำลังต้อนรับอยู่ ดูจากเสื้อผ้าการแต่งกายและกิริยาท่าทางแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เหมือนคนกำลังขัดสนเงินทอง

ผู้ดูแลเห็นมั่วเชียนเสวี่ยเข้ามาก็รีบหาที่หาทางให้คุณชายอาภรณ์ไหมคนนั้นนั่ง “ท่านนั่งก่อน โปรดนั่งนิ่งๆ รอข้าเดี๋ยว ครู่เดียวก็กลับมา”

คุณชายคนนั้นพินิจมองมั่วเชียนเสวี่ยเล็กน้อยก็กระจ่างแจ้ง เจ้าของร้านตัวจริงคงมาแล้ว

ผู้ดูแลพามั่วเชียนเสวี่ยเข้ามาในโถงด้านใน แล้วเล่าเรื่องราวให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ

หินชิ้นนี้ราคาสูงลิ่วจริงๆ คุณชายคนนั้นตั้งราคาไว้หนึ่งแสนตำลึง อีกทั้งยังจะเอาเงินสดด้วย

เงื่อนไขและราคานี้ แม้เป็นคนที่ผ่านโลกมามากอย่างมั่วเชียนเสวี่ยยังสั่นสะท้าน

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

Status: Ongoing

เพราะสำลักน้ำชาจนขาดอากาศ(?)ทำให้ มั่วเชียนเสวี่ย สาวมั่นหัวการค้าทะลุมิติมาอยู่ในโลกยุคโบราณและในร่างของคนอื่น

แต่นั่นยังไม่น่าตระหนกเท่าการที่ร่างนี้กำลังจะแต่งงานเพื่อแก้เคล็ดให้กับชายหนุ่มที่ป่วยร่อแร่เต็มที!

ในโลกที่หากขาดที่พึ่งผู้หญิงก็สามารถถูกขายเป็นทาสได้ตลอดเวลาสามีคนนี้ของนางนับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว

ทั้งมีความรู้ สุภาพและไม่ใช้กำลังแถมหน้าตายังหล่อเหลาอีกด้วย เสียตรงร่างกายอ่อนแอไปหน่อยเท่านั้น

ชีวิตครอบครัวชนบทแสนยากจนของนางจึงเริ่มขึ้นที่ตรงนั้น… แต่อย่างไรนางไม่ยอมงอมืองอเท้ารับชะตากรรมแบบนี้แน่

ในเมื่อนางมีความรู้ความสามารถยังต้องกลัวสร้างกิจการไม่ได้อีกหรือ?!

เส้นทางร่ำรวยสายนี้นางจะบุกเบิกมันขึ้นมาด้วยตนเอง! และหวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นด้วยดี

เพราะเหมือน ‘ร่างนี้’ ของนางกับฐานะเดิมของสามีเหมือนจะไม่ค่อยธรรมดาเสียด้วยสิ…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท