สวีลิ่งอี๋ที่ยืนทอดสายตาไปยังทะเลสาบปี้อีอยู่ตรงหน้าต่าง จับมืออันบอบบางที่กำลังโอบกอดรอบเอวของตัวเอง พูดขึ้นเบาๆ “ตอนนี้ไม่เหมือนกับตอนที่ข้าพึ่งจะลาออกจากตำแหน่ง ฮ่องเต้ครองราชย์บัลลังก์มาหลายปี บวกกับการที่ไทเฮาสิ้นพระชนม์ ขุนนางในราชสำนักไม่มีใครกล้าคัดค้านการตัดสินใจของฮ่องเต้อีกต่อไป เรื่องที่ฮ่องเต้อยากจะทำมีมากมาย เขาจะมีเวลามาสนใจพวกเราได้เช่นไร ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงสองสามปีที่ข้าเอาแต่อยู่ที่จวน ในกองทัพมีวีรบุรุษอายุน้อยเพิ่มขึ้นมากมาย เจี่ยงอวิ๋นเฟยก็มีความดีความชอบ ข้ากำลังนึกถึงหวังจิ่วเป่า” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เสียใจ “หากไม่มีหนังสือหมื่นอักษรที่เขามอบให้ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางยกเลิกคำสั่งปิดทะเลได้อย่างราบรื่นเช่นนี้…ไม่ว่าจะเป็นราชสำนัก สกุลขุนนางในเจียงหนาน หรือกิจการในหนานเป่ย ล้วนแต่ได้รับผลประโยชน์ แต่ช่วงวิกฤติ กลับไม่มีใครยื่นมือมาช่วย... สกุลหวังถูกกวาดล้าง สกุลโอวขึ้นมามีอำนาจสูงสุด ราชสำนักก็ไม่มีแม่ทัพที่เชี่ยวชาญสงครามทางน้ำ ที่ทางฝั่งของฝูเจี้ยน เกรงว่าคงจะมีการพลิกผัน…สุดท้ายคนที่ต้องลำบากก็คือราษฎร…สองสามปีมานี้ฮ่องเต้ทำตามใจตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกเฉินเก๋อเหล่าเรียกหวังจิ่วเป่ากลับมา ตอนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับหวังจิ่วเป่า ข้ารู้สึกว่าหวังจิ่วเป่าเพียงทำตามคำสั่ง แต่ฮ่องเต้ทรงไม่สนใจราษฎรของแว่นเคว้น เกรงว่าถึงตอนนั้นเขาคงจะต้องเสียใจภายหลัง!”
ตัวของสวีลิ่งอี๋แข็งทื่อ
หัวข้อนี้ซับซ้อนเกินไป สืออีเหนียงไม่รู้ว่าควรพูดอะไร นางกอดสวีลิ่งอี๋แน่น ราวกับว่าทำเช่นนี้แล้วจะสามารถปลอบประโลมเขาได้
พวกเขาทั้งสองคนยืนเงียบอยู่ตรงนั้นสักพักใหญ่
พระอาทิตย์ที่เดิมทีส่องแสงเจิดจ้า แต่ต่อมากลับหม่นแสงลง จากนั้นก็มีเมฆหนา ฝนเริ่มตกหนัก
ความร้อนในห้องไม่ยอมระบายออกไป ความเย็นข้างนอกห้องก็เข้ามาไม่ได้ ทันใดนั้น บรรยากาศในห้องก็เริ่มหนาแน่น
สวีลิ่งอี๋จับมือสืออีเหนียง “เราออกไปเดินเล่นข้างนอกกันเถิด”
พวกเขาสองคนเดินออกไปใต้ชายคา
บ่าวรับใช้ยกเก้าอี้ไม้ไผ่มาให้พวกเขา
ฝนพึ่งจะตกทำให้พื้นเปียกเพียงชั่วครู่ แต่จู่ๆ ก็หยุดตกอย่างกะทันหัน
สายรุ้งปรากฏขึ้นมาบนท้องฟ้า
สวีลิ่งอี๋หยัดกายยืนขึ้น
“จะทิ้งเด็กคนนั้นไม่ได้” เขามองดูท้องฟ้าสีครามหลังฝนตก “เมื่อเขาโตขึ้นกว่านี้อีกสักหน่อย ก็ให้เขามาเป็นบ่าวรับใช้ของจิ่นเกอเถิด ถึงตอนนั้นให้เขาเรียนหนังสือ เรียนขี่ม้า เรียนยิงธนูกับจิ่นเกอ…จะทำให้ปู่ของเขาเสื่อมเสียชื่อเสียงไม่ได้”
“เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงมองดูใบหน้าที่หล่อเหลาของสวีลิ่งอี๋ “ข้าจะดูแลเขาเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ!”
ถึงแม้ว่านางจะพูดเบาๆ แต่น้ำเสียงกลับทรงพลัง ทำให้บรรยากาศดูเคร่งขรึมขึ้นไม่น้อย
สวีลิ่งอี๋อดไม่ได้ที่จะหันไปมองนาง ก็เห็นภรรยายืนทำสีหน้าหม่นหมองอยู่ด้านหลังตัวเอง
เขาอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
เรื่องของตน แต่กลับทำให้สืออีเหนียงเป็นกังวล
“เราไปกันเถิด!” สวีลิ่งอี๋จับมือสืออีเหนียง
สืออีเหนียงมองพื้นที่เปียกแฉะ เหลือบมองรองเท้าพื้นสีแดงสดที่ปักลายห่านสีเหลืองของตัวเอง หากเดินไปทางนี้ รองเท้าของตัวเองต้องเละอย่างแน่นอน
ใบหน้าของนางมีความลังเลใจ
สวีลิ่งอี๋เห็นแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้
สืออีเหนียงช่างน่าสนใจเสียจริง!
ไม่ว่าเมื่อไร นางก็ไม่เคยลืมรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ เกรงว่าชาตินี้นางคงไม่เคยประสบพบเจอกับเหตุการณ์ที่น่าอนาถมาก่อน...
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา สวีลิ่งอี๋ก็รู้สึกภูมิใจในใจ
เมื่อก่อนตอนอยู่ที่สกุลเดิมนางไม่เคยพบเจอ หรือว่าอยู่กับตนแล้วยังจะให้นางต้องลำบากเช่นนั้นหรือ
คิดเช่นนี้ เขาก็ขึ้นไปยืนอยู่บนขั้นบันไดแล้วตบไหล่นางเบาๆ “มา ข้าแบกเจ้าเอง!”
สืออีเหนียงตกตะลึง จากนั้นนางก็รีบปฏิเสธทันที “จะให้ท่านโหวแบกข้าได้เช่นไรกัน…”
ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยบ่าวรับใช้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครอยู่ข้างหน้าพวกเขาตอนนี้ แต่ก็รับประกันไม่ได้ว่าจะไม่มีสาวใช้หรือบ่าวรับใช้ยืนดูพวกเขา เพื่อที่จะได้เดินออกมารับใช้พวกเขาได้ทันเวลา คงแอบอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่หรือหลังเสากระมัง
นางไม่อยากทำตัวปีนเกลียวกับสวีลิ่งอี๋ต่อหน้าคนอื่น!
“ท่านโหวจะไปไหนเจ้าคะ” นางยิ้มแล้วก้าวเท้าเดินลงบันได
มีบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามา เขาถือรองเท้าไม้มาสองคู่
สืออีเหนียงแอบดีใจ
แต่สวีลิ่งอี๋กลับนึกสนุกขึ้นมา เขาสะบัดมือให้บ่าวรับใช้คนนั้นแล้วพูดกับสืออีเหนียง “ข้าแบกเจ้าเอง อากาศหลังฝนตกมักจะสดชื่น เราไปศาลาชุนเหยี่ยนกันเถิด” เขาห้ามนางอยู่ตรงบันได
สืออีเหนียงคงกลัวว่าจะเสียชื่อเสียงใช่หรือไม่
สวีลิ่งอี๋แอบคิดในใจ จากนั้นก็ยิ้มแล้วรับปาก “ไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องของเรือนปั้นเย่ว์พั่น ไม่มีใครกล้าพูดแน่นอน” พูดด้วยสีหน้ามั่นใจ
สืออีเหนียงเชื่อเขาอยู่แล้ว แต่เมื่อมองดูแผ่นหลังของบ่าวรับใช้คนนั้นก็อดไม่ได้ที่จะบ่นสวีลิ่งอี๋ “ถึงจะเป็นเช่นนี้ก็ไม่ควรให้คนอื่นเห็น!”
“สาวใช้และบ่าวรับใช้เหล่านั้นเห็นจะเป็นอะไรไปเล่า!” สวีลิ่งอี๋ไม่พอใจ เขาขี้เกียจที่จะเถียงกับนางแล้ว จึงอุ้มนางขึ้นมาทันที “เหตุใดเจ้าถึงเรื่องเยอะแบบนี้!” บ่นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน จากนั้นก็เดินออกไป
สืออีเหนียงรีบกอดคอเขาอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นางรีบพูด “ท่านโหวปล่อยข้าลงเถิด ข้าอยากเดินเองเจ้าค่ะ!”
กลิ่นหอมที่อยู่ในอ้อมแขนของสวีลิ่งอี๋ เขาจะยอมปล่อยนางลงได้อย่างไรกัน พูดขึ้นเบาๆ “ประเดี๋ยวก็ถึงแล้ว!”
ออกมาจากเรือนปั้นเย่ว์พั่น ต้องเดินผ่านซอยเล็กๆ แล้วเดินขึ้นบันไดสิบกว่าขั้น กว่าจะถึงศาลาชุนเหยี่ยน
โกหกหน้าตาย!
สืออีเหนียงแอบบ่นพึมพำในใจ เงยหน้ามองออกไป โชคดีที่มองไม่เห็นใคร จากนั้นก็เห็นสวีลิ่งอี๋ออกแรงเกร็งไหล่ นางรู้ว่าเขาเป็นคนแข็งแรง แต่อุ้มนางเดินมาไกลเสียขนาดนี้ ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
ในขณะที่นางกำลังลังเล สวีลิ่งอี๋ก็เดินเข้าซอยเล็กๆ ไปแล้ว จากตรงนี้สามารถมองเห็นบันไดของศาลาชุนเหยี่ยน หันหน้ากลับมา นางกลับมองเห็นเหงื่อตรงขมับของสวีลิ่งอี๋
“ท่านโหว” นางกัดริมฝีปากตัวเอง “ท่าน…ท่านเปลี่ยนเป็นแบกข้าดีกว่าเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋กลั้นหัวเราะ
ไม่เหมือนตอนที่พึ่งแต่งงานกันใหม่ๆ สองสามปีที่ผ่านมา สืออีเหนียงทำตัวสบายๆ กับเขามากขึ้นเรื่อยๆ อย่างแรกคือจัดการเรื่องเสื้อผ้าอาหารการกินของเขา ต่อมาก็จัดการเรื่องการเดินทางของเขา ตอนนี้พัฒนามาจนถึงเครื่องหอมบนโต๊ะในห้องหนังสือ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นางล้วนเป็นคนจัดการ
ตอนเด็กเขามีแม่นมคอยดูแล โตขึ้นมามีสาวใช้คอยดูแล ในกองทัพก็มีบ่าวรับใช้คอยดูแล ถึงแม้ว่าระหว่างนั้นไท่ฮูหยินและหยวนเหนียงก็เคยทำรองเท้าให้เขา แต่ว่าคนหนึ่งทำให้เขาตอนที่เขายังเป็นทารก เวลาผ่านไปนานมากแล้ว เขาจำแทบไม่ได้แล้ว อีกคนหนึ่งทำให้เขาตอนที่เขามีเรื่องราวมากมาย เขาไม่มีเวลาสนใจ เขานำไปให้สาวใช้เก็บเอาไว้ก่อน จากนั้นก็นำไปให้ห้องเย็บปักถักร้อย
ตอนที่สืออีเหนียงพึ่งจะแต่งงานเข้ามา นางกำลังยุ่งอยู่กับการทำความคุ้นเคยกับสถานที่ใหม่ นางจึงไม่มีเวลาเย็บปักถักร้อยให้เขา ต่อมาพวกเขาสองคนเริ่มสนิทสนมกัน นางทำรองเท้าฤดูร้อนให้เขาด้วยตัวเองด้วยความสุขที่เขาสัมผัสได้ ถึงกระนั้นก็คิดไม่ถึงว่านางจะยืนหยัดทำมาตลอด ไม่เพียงเท่านี้ นางยังทำกางเกงให้เขา มันไม่ใช่แค่ความสนุกเพียงชั่วคราว หรือเป็นเพียงการเย็บปักถักร้อยยามว่าง ที่พอตัวเองยุ่งก็โยนไปให้คนอื่นทำต่อ แต่มันคือการเย็บปักถักร้อยที่ตั้งใจเย็บทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ว่าจะเป็นคนของห้องเย็บปักถักร้อย หรือสาวใช้คนสนิทก็ไม่ได้ช่วยนางทำเลยแม้แต่น้อย…เขาจึงเริ่มใจอ่อน
โดยเฉพาะตอนที่โจวซื่อเจิงป่าวประกาศว่าตนมีช่างปักที่ทำรองเท้าฤดูร้อนได้ดี แต่ตนกลับอธิบายให้ใครฟังไม่ได้ เลยมักจะรู้สึกแปลกๆ แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองยังสวมกางเกงที่สืออีเหนียงทำให้อยู่ นึกถึงตอนที่สืออีเหนียงทำกางเกงให้ตน นางมักจะไล่สาวใช้และป้ารับใช้ออกไปข้างนอก ไม่อยากให้คนอื่นเห็น จากนั้นตนก็เริ่มมีความรู้สึกที่มีความลับกับนางแค่สองคน
เขาอดไม่ได้ที่จะมองดูสืออีเหนียง
ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่านางน่ารัก ยิ่งชอบก็ยิ่งอยากจะแกล้งนางเพื่อให้ได้เห็นท่าทีเขินอายของนาง อยากเห็นท่าทีเจ้าเล่ห์ที่พูดปากไม่ตรงกับใจของนาง และท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของนาง…
เหมือนกับตอนนี้ ถึงแม้ว่านางจะไม่ยอมแค่ไหน แต่เห็นเขาเดินมาไกลขนาดนี้ นางก็รู้สึกไม่สบายใจ
จะว่าไปแล้ว ก็เพราะว่านางสงสารเขา
คิดเช่นนี้ หัวใจของเขาก็ร้อนผ่าวขึ้นมา รอยยิ้มบนใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นความลังเล
เขาปล่อยนางลงข้างต้นไม้ในซอยอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ลูบขมับนางเบาๆ “ร้อนหรือไม่”
ร่างกายของนางไม่ค่อยแข็งแรง ประเดี๋ยวก็ขี้ร้อน ประเดี๋ยวก็ขี้หนาว
สืออีเหนียงส่ายหน้า “ที่นี่ลมแรง เย็นสบายเจ้าค่ะ” พูดพลางยิ้มหวาน
สวีลิ่งอี๋รู้สึกอุ่นใจ
เขาแบกสืออีเหนียง แล้วเดินไปตามบันไดของศาลาชุนเหยี่ยน
ป่าเขาทางขวาเขียวชอุ่ม ดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิทางซ้ายดูยุ่งเหยิงแต่กลับมีชีวิตชีวา ป่าเขาหลังฝนตก มีเสียงนกร้องดังออกมาเป็นครั้งคราว เดินผ่านดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิไป สามารถมองเห็นนกยูงที่จิ่นเกอเลี้ยงไว้ในลานลี่จิ่งเซวียนกำลังเดินเล่นอยู่ในลาน
สืออีเหนียงซบอยู่บนแผ่นหลังของสวีลิ่งอี๋
ไหล่ที่กว้าง ก้าวเดินที่เชื่องช้าแต่มั่นคง…
นางหลับตาลงด้วยความสบายใจ วางหัวของตัวเองลงบนไหล่ของสวีลิ่งอี๋
*****
ศาลาชุนเหยี่ยนลมค่อนข้างแรง
สวีลิ่งอี๋อุ้มสืออีเหนียงไปนั่งลงบนเบาะรองนั่ง
เมื่อลมพัดผ่านมา เสื้อผ้าของพวกเขาก็พลิ้วไหวทำให้เกิดเสียง
สวีลิ่งอี๋จึงถือโอกาสพูดคุยกับนาง
“เรื่องแม่สื่อของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
สืออีเหนียงไม่ค่อยได้ยิน นางจึงต้องขยับหน้าเข้าไปใกล้ๆ เขา
สวีลิ่งอี๋จึงฉวยโอกาสสูดลมหายใจเข้าลึกตรงซอกคอนาง ราวกับกำลังดมกลิ่นหอมบนตัวนาง ทำให้นางตกใจจนกระโดดออกห่างจากตัวเขา
“ไม่เลวเจ้าค่ะ!” นางยืนเม้มปากห่างจากเขาประมาณห้าก้าว “ทางฝั่งของกานฮูหยิน โจวฮูหยิน แล้วยังมีถังฮูหยินและคุณนายใหญ่สกุลหลิน…ข้าขอร้องให้พวกนางช่วยดูแล เรื่องข่าวลือดวงพิฆาตภรรยาของคุณชายน้อยใหญ่สกุลเซี่ยง ข้าก็บอกพวกนางเรียบร้อยแล้ว…”
สวีลิ่งอี๋ยื่นมือออกไป…สืออีเหนียงกลับถอยหลังหนี…แต่นางก็เร็วสู้สวีลิ่งอี๋ไม่ได้ นางถูกดึงกลับเข้ามาในอ้อมแขนของเขาอีกครั้ง
“พวกนางยังไม่ให้คำตอบเจ้าหรือ”
สวีลิ่งอี๋กระซิบข้างหูนาง
เจ้าหมอนี่ ขี้แกล้งจริงเชียว!
ถึงแม้ว่านางจะไม่ยอมแสดงความสนิทสนมกันในสถานการณ์เช่นนี้ แต่นางก็เชื่อว่าเขาทำอะไรไม่ได้
สืออีเหนียงสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามไม่สนใจการกระทำของเขา ทำให้ตัวเองสงบสติอารมณ์ลงโดยเร็วที่สุด
“ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าทำไมนายหญิงเซี่ยงถึงลำบากใจเช่นนั้น!” นางพูดเบาๆ “คนที่มีความรู้น้อยได้ยินเช่นนั้น แน่นอนว่าพวกเขาต้องหลบเลี่ยง ส่วนคนที่ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ก็กลับกลัวว่าหากให้บุตรสาวตัวเองแต่งงานเข้าไปแล้วจะถูกลือว่าหวังสูง ทำให้บุตรสาวตัวเองเสื่อมเสียชื่อเสียง…” พูดถึงตรงนี้ นางก็นึกถึงเรื่องแต่งงานของสวีซื่ออวี้ขึ้นมา “ท่านโหวเจ้าคะ เรื่องของอวี้เกอ ข้าคิดว่าเราควรจะเตรียมการได้แล้วกระมัง!”
ทันทีที่พูดจบ บรรยากาศก็ตึงเครียดขึ้นมาทันที
สวีลิ่งอี๋นั่งตัวตรง ปล่อยให้สืออีเหนียงนั่งอยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง
“เจ้าหมายความว่า?”
สืออีเหนียงพูดเบาๆ “หากเขาสอบบัณฑิตซิ่วไฉผ่านก็คงเป็นเรื่องที่ดี แต่ว่าเราก็ต้องเตรียมพร้อม วางแผนให้เขาล่วงหน้าด้วย!”
แต่สวีลิ่งอี๋กลับหัวเราะ “ถึงตอนนั้นเกรงว่าเจ้าคงจะต้องเลือกลูกสะใภ้จนตาลาย!”
สืออีเหนียงมองสวีลิ่งอี๋ด้วยความแปลกใจ