เช่นนี้เมื่อคำนวณดูแล้ว ทั้งหมดมีเก้าสิบเก้าหีบสี่ขบวน
จวนหนิงอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองหลวง จวนกั๋วกงของมั่วเชียนเสวี่ยอยู่ทางตะวันตกของเมืองหลวง
แม้ว่าจะเป็นสองทิศทาง หากเดินทางตรง ก็หลายสิบลี้ได้
แต่เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดภาพเหตุการณ์ที่สินเดิมทางนี้เข้าประตูไป แล้วยังมีส่วนที่ยังไม่ได้ยกเข้าไปอีก
ขบวนที่มารับตัวเจ้าสาวจึงตั้งใจเดินอ้อมกำแพงเมืองหลวงเป็นพิเศษ
ดนตรีบรรเลงตีเป่าไปตลอดทาง มั่วเชียนเสวี่ยสวมผ้าคลุมหน้า มือประคองผิงกั่ว[1]เอาไว้
แรกเริ่มนางจัดอาภรณ์ให้เรียบร้อยและนั่งตัวตรง ในภายหลังกลับถูกโยกไปมาเสียจนเกือบจะหลับ จนในที่สุดเกี้ยวหลังนี้ก็มาถึงประตูจวนหนิง
เจ้าบ่าวเตะเกี้ยว ข้ามกระถางที่จุดไฟเอาไว้…
ล้วนเป็นประเพณีโบราณ ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลับหยิกขาตนเอง เพื่อไล่ความง่วงงุนให้หายไป แล้วถึงได้เดินออกจากเกี้ยวด้วยความตั้งใจอย่างยิ่ง
ในสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความปีติยินดี ซูชีกลับนั่งถือไหสุราบนหลังคาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจวนหนิง ดื่มด่ำความรู้สึกสิ้นหวังในใจนี้อยู่คนเดียว
เขาจิบสุราทีละอึกๆ ตอนนี้เขาไม่มีกระทั่งความกล้าที่จะไปอวยพรด้วยตนเอง
เขามองเกี้ยวแดงหลังนั้นของมั่วเชียนเสวี่ยยกเข้าไปในประตูใหญ่ของจวนหนิง
เสียงอวยพรแสดงความยินดีดังขึ้นไม่ขาดสาย
เสียงประทัดดังเข้าหู
หรือเวลาที่เขาสมควรไปจากเมืองหลวงมาถึงแล้ว
หนึ่งคำนับฟ้าดิน!
สองคำนับบิดามารดา!
สามคำนับกันและกัน!
แม้ว่าทั้งสองคนจะขึ้นชื่อว่าเป็นสามีภรรยาในหมู่บ้านหวังจยา แต่ก็มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งฉันท์สามีภรรยา และอยู่ด้วยกันมานานแล้ว ทว่ากลับไม่เคยคำนับฟ้าดินมาก่อน
คราแรก หนิงเซ่าชิงป่วยติดเตียงจนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ นางก็หมดสติไป จึงถูกคนโยนลงบนเตียงของหนิงเซ่าชิงแทน
ก็ไม่แปลกที่จะมีคนในหมู่บ้านหวังจยาเยาะเย้ย ความเป็นจริงไม่สอดคล้องกับนามที่เรียก…
เพียงแค่คำนับแรก จิตใจทั้งสองคนล้วนสงบอย่างน่าประหลาด
นางถูกคนกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมเข้าไปในห้องนอนบ่าวสาวตามไหมแดงเส้นนั้นที่หนิงเซ่าชิงจับเอาไว้
เนื่องจากยังไม่ได้เปิดผ้าคลุมหน้า นางจึงทำได้แค่นั่งนิ่งๆ บนเตียง โชคดีที่ชูอีเฝ้าอยู่ข้างกายนางตลอด และคอยถามไถ่นางเป็นระยะๆ
สตรีหลายคนนั่งแทะเมล็ดแตงโม และสนทนากัน ภายในห้องจึงไม่เงียบงัน
จากสายตาของมั่วเชียนเสวี่ย มองเห็นเพียงแค่รอบปลายเท้าตนเองเท่านั้น ฟังจากน้ำเสียงของพวกนางแล้ว น่าจะเป็นพวกพี่สะใภ้น้องสะใภ้ตระกูลหนิง
แต่งงานไม่ใช่เรื่องง่าย
เหนื่อยมากจริงๆ
ทั้งยังหิวอย่างยิ่ง และรู้สึกอึดอัดสุดๆ
เพราะกลัวว่าการที่ต้องไปเข้าห้องน้ำระหว่างทางจะไม่เป็นมงคล ทั้งยังทำลายภาพลักษณ์ จนถึงตอนนี้มั่วเชียนเสวี่ยจึงยังไม่ได้กินน้ำและข้าวเลยสักนิดเดียวตามคำกำชับของจย่าฮูหยิน
จำเป็นต้องกล่าวว่า วาจาจย่าฮูหยินนั้นมีเหตุผลจริงๆ ไม่อย่างนั้น ถูกคนปล่อยไว้ในเกี้ยวโยกไปโยกมาหนึ่งชั่วยาม ทั้งยังต้องกราบไหว้ฟ้าดิน และ…อะไรพวกนี้ นางก็ไม่กล้าบอกว่าตนเองจะอั้นไหวจริงๆ
แต่ว่า ตอนนี้ท้องว่างยิ่งนัก ทำให้นางรู้สึกแย่จริงๆ
หนิงเซ่าชิงเอ๋ยหนิงเซ่าชิง ท่านรีบมาช่วยข้าเร็วเข้า…
อดทนอยู่เนิ่นนาน
มั่วเชียนเสวี่ยเพิ่งจะได้ยินเสียงดังจากข้างนอก
“ฮูหยินของหัวหน้าตระกูลเป็นสตรีผู้มีความรู้ความสามารถเป็นอันดับหนึ่งของเมืองหลวง รูปโฉมย่อมไม่แย่”
แม้ว่าฐานะของหนิงเซ่าชิงจะพิเศษ แต่ก็ต้องมีน้าลุงพี่น้องบางส่วนมาก่อกวนห้องบ่าวสาว
จากประเพณีของคนโบราณ คนที่มาก่อกวนห้องบ่าวสาวยิ่งเยอะ ในภายภาคหน้าสามีภรรยาก็ยิ่งปรองดองกัน
บุรุษตระกูลหนิงสองสามคนประคองหนิงเซ่าชิงกลับมายังห้องบ่าวสาว
สี่เหนียงเฝ้าอยู่นอกประตูห้องตลอด เมื่อเห็นหนิงเซ่าชิงเข้าไปในห้องบ่าวสาวแล้ว ก็ตามเข้ามาด้วย ปากก็ขับร้องคำอวยพร…
บุรุษตระกูลหนิงหลายคนก็เร่งให้หนิงเซ่าชิงเลิกผ้าคลุมหน้า ย่อมร่วมมือกันกล่าวชมเชย
เจ้าสาวสวยมากจริงๆ เจ้าสาวจะต้องเป็นคนที่เชี่ยวชาญมากคนหนึ่งอะไรพวกนี้
น้องสะใภ้และพี่สะใภ้ที่นั่งอยู่เป็นเพื่อนนางในห้องก่อนหน้านี้ก็เข้ามาร่วมกล่าววาจาดีงามเป็นสิริมงคล
วันนี้เป็นวันที่มั่วเชียนเสวี่ยได้รับคำอวยพรมากที่สุด นางฟังจนหูชาไปหมด
ตอนนี้แทบจะอดรนทนไม่ไหวไล่พวกเขาออกไป
เพียงแต่คืนวันแต่งงาน นางไม่สามารถทำตัวแข็งกร้าวเกินไปได้
จึงทำได้แค่อดกลั้นเอาไว้
หนิงเซ่าชิงกลับเห็นความหงุดหงิดในแววตานาง เขาที่เมามายจึงสั่งให้คนรินสุรามา ทั้งสองคนแลกจอกสุรากันดื่ม มัดชายเสื้อ ก็ถือว่าเสร็จสิ้นพิธีแล้ว
สี่เหนียง[2] รีบยกชามเกี๊ยวที่เตรียมเอาไว้แต่แรกแล้วมา จากนั้นก็คีบชิ้นหนึ่งขึ้นมาป้อนมั่วเชียนเสวี่ย
“ดิบหรือไม่[3]”
“ดิบ!”
จากนั้นก็เอ่ยวาจาเป็นสิริมงคลไปอีกหลายประโยค ได้รับเงินเป็นรางวัล ก็ถูกหนิงเซ่าชิงไล่ออกไป
สาวใช้และผู้ที่มาก่อกวนในห้องบ่าวสาวล้วนรู้จักมองสีหน้าแววตา หลังจากมองกันและกันแวบหนึ่งแล้ว ก็พากันถอยออกไป
ชูอีมองทั้งคู่แวบหนึ่ง นางกำชับคนที่มาส่งสุราและอาหารให้จัดวางบนโต๊ะเรียบร้อยแต่แรกแล้ว ดังนั้นจึงถอยออกไปเช่นกัน
ประตูห้องปิดลง ภายในห้องเหลือแค่ทั้งสองคนแล้ว
หนิงเซ่าชิงรีบร้อนมานั่งข้างกายมั่วเชียนเสวี่ย จับมือนางขึ้นมา “เชียนเสวี่ย ในที่สุดพวกเราก็แต่งงานกันแล้ว ดีจริงๆ!”
เขาในตอนนี้ ไหนเลยจะยังมีท่าทางเมามายอีก
“คนโง่!” มั่วเชียนเสวี่ยเห็นเขามีท่าทางเช่นนี้ ก็ลืมความหิวในท้องไปทันที ติเตียนเขาอย่างเขินอายไปประโยคหนึ่ง ได้กลิ่นสุราทั่วร่างเขาแล้ว ก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ “ท่านดื่มไปเท่าใด”
หนิงเซ่าชิงโน้มตัวเข้าไปใกล้หูนาง กระซิบเสียงเย้ายวน “วันนี้เป็นวันแต่งงานของพวกเรา สามีจะดื่มมากได้อย่างไร สุรานี้ข้าตั้งใจสาดใส่ตัว ไม่อย่างนั้นเกรงว่าจนถึงตอนนี้ก็ยากจะปลีกตัวออกมาได้!”
“เจ้าหิวแย่แล้วแน่ๆ กินพวกนี้ไปก่อน ข้าจะไปอาบน้ำ จะได้ไม่มอมเสี่ยวเสวี่ยเสวี่ยของข้าจนมึน!” เขาเอ่ยแล้วจุมพิตบนหน้าผากมั่วเชียนเสวี่ยแผ่วเบา จากนั้นก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำที่กั้นเอาไว้
ภายใต้ความรู้สึกหิวอย่างยิ่งยวด จึงไม่สะดวกที่จะกินมากเกินไป มั่วเชียนเสวี่ยกินอาหารเล็กน้อยให้ท้องไม่รู้สึกหิวมากขนาดนั้น แล้ววางตะเกียบลง
นางไม่ได้นั่งนิ่งๆ รอหนิงเซ่าชิงมาอยู่บนเตียงสูงงดงามซึ่งมีหมอนใบนุ่มวางอยู่ที่จัดเตรียมไว้เป็นพิเศษในห้องบ่าวสาวหลังนั้น
แต่กลับเดินซอยเท้าช้าๆ ในห้อง และใช้มือลูบทุกสิ่งที่อยู่ภายในห้องอย่างละเอียด
สำหรับนางแล้ว ทั้งหมดนี้ราวกับความฝัน
เป็นคนมาสองชาติ ในที่สุดก็จะแต่งงานแล้ว ทะลุมิติมายังต่างโลก ตามหาบุรุษที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ผู้หนึ่ง นางเหนื่อยเหลือเกิน
มั่วเชียนเสวี่ยลูบเตียงหลังใหญ่ที่มีกลิ่นไม้จันท์แดง จางๆ แล้วยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
เตียงหลังนี้ทำจากไม้จันทน์ที่หาได้ยาก หนิงเซ่าชิงตั้งใจซื้อมาสร้างเป็นพิเศษ
ได้ยินมาว่าไม้จันท์แดงสามารถทำให้จิตใจสงบ มีสมาธิ บำรุงจิตใจ เขาตั้งใจจริงๆ
ห้องบ่าวสาวไม่เล็ก ตกแต่งได้งดงามยิ่ง เห็นได้ชัดว่าคนที่ตกแต่งใช้ความคิดไปไม่น้อย
มุมปากมั่วเชียนเสวี่ยปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจอย่างอดไม่ได้
ตอนที่หนิงเซ่าชิงออกมา ก็เห็นมั่วเชียนเสวี่ยที่พิงหัวเตียงที่ทำจากไม้จันท์แดงกำลังยิ้ม
หัวใจจึงหวั่นไหวตามไปด้วยอย่างอดไม่อยู่
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นหนิงเซ่าชิงออกมาแล้ว ก็ยิ้มหวานให้เขา นับจากนี้ไปทั้งสองคนก็ต่างพึ่งพาอาศัยกันเพื่อความอยู่รอด
รอยยิ้มที่ไม่เหมือนกันทั้งสองรอยยิ้มนั้น ทำให้ริมฝีปากหนิงเซ่าชิงโค้งตามขึ้นไปด้วยเช่นกัน
เขาก้าวตรงเข้าไปกอดมั่วเชียนเสวี่ยเอาไว้ในอ้อมแขน
คืนนี้เขาไม่มีทางปล่อยนางไปแน่นอน
มั่วเชียนเสวี่ยก็เกาะเกี่ยวเอวคอดของหนิงเซ่าชิง ทั้งคู่ไร้ซึ่งความรู้สึกพะว้าพะวงใดๆ อีก
[1] ผิงกั่ว หมายถึง แอปเปิ้ล
[2] สี่เหนียง หมายถึง สตรีที่แต่งงานแล้ว ทำหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าสาว
[3] ดิบหรือไม่ ในพิธีแต่งงาน จะมีการนำเกี๊ยวมาป้อนให้บ่าวสาว เกี๊ยวนี้ไม่สามารถต้มจนสุกได้ เมื่อบ่าวสาวกินแล้ว ก็จะมีคนถามว่า ดิบหรือไม่ดิบ 生 นอกจากแปลว่า “ดิบ” แล้ว ยังมีความหมายว่า “ให้กำเนิด” ได้อีกวย นับว่าเป็นการเล่นคำมงคลอย่างหนึ่ง