คนที่รู้ว่าเป็นสือหลิงจื่อส่วนใหญ่ล้วนเป็นศิษย์ของอีกสองสำนักและผู้แข็งแกร่ง แต่ละคนต่างงุนงง ขณะเดียวกันในตึกสูงหลังหนึ่ง ณ เขตตะวันตกของเมืองปรารถนาเสียงก็มีร่างของสตรีผู้หนึ่งฉายขึ้น นางสง่างามอย่างยิ่ง สวมชุดคลุมสีม่วง สีหน้าเย็นชา แต่เครื่องหน้าพริ้มเพรางดงาม
สตรีผู้นี้ก็คือเยว่หลิงจื่อ หนึ่งในสองมหาเต๋าของสำนักเหอเสียน
ในด้านความสำเร็จเรื่องการฝึกกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของนางเหนือกว่าสือหลิงจื่อ เป็นผู้แข็งแกร่งที่เป็นรองเพียงเจ้าสำนักเท่านั้น
นางมองไปยังทิศของเสียงคำรามสือหลิงจื่อแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาสงสัยใคร่รู้
“เจ้านั่นเป็นบ้าอะไร”
เวลาเดียวกัน ในอีกทิศหนึ่งของเมืองปรารถนาเสียง ศิษย์อีกสองคนของสำนักเหิงฉินก็เงยหน้าหันไปมองยังทิศทางของเสียงคำรามด้วยเช่นกัน
ทั้งสองล้วนเป็นบุรุษ รูปร่างหน้าตาค่อนข้างโดดเด่น หากเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าสตรี เกรงว่าคงทำให้สตรีหลายคนละอายใจ อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็แน่นแฟ้นมากซึ่งต่างจากการแข่งขันระหว่างศิษย์สำนักอื่น
ถึงขนาดไปไหนมาไหนด้วยกันหลายต่อหลายครั้งให้ผู้คนเห็น ขณะนี้ทั้งสองนั่งอยู่ในตำหนักหรูหราแห่งหนึ่งในเมืองปรารถนาเสียง คนหนึ่งเล่นฉิน คนหนึ่งนั่งเท้าคางอยู่ข้างๆ สายตาจ้องมองคนเล่นและฟังอย่างตั้งใจ แต่เมื่อเสียงคำรามของสือหลิงจื่อดังมารบกวนเสียงฉินก็ทำให้ผู้ที่เล่นฉินอยู่ขมวดคิ้วทันที
ส่วนอีกคนหนึ่งหลังจากเห็นสหายขมวดคิ้ว สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไป
“เจ้าจะไปไหน” ผู้ที่เล่นฉินเอ่ยถามเบาๆ
“ข้าจะไปทุบเขา”
เวลาเดียวกันยังมีอีกสถานที่หนึ่งในเมืองปรารถนาเสียง ผู้ฝึกตนวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีเทากำลังนั่งอยู่ในลานบ้าน ในมือถือไม้กำลังเคาะเครื่องเคลือบตรงหน้า
รอบกายเขามีเครื่องเคลือบที่ถูกทุบแตกกระจายอยู่เต็มไปหมด เศษกระเบื้องพวกนั้นเกลื่อนพื้น ขณะเดียวกันสายตาก็เหลือบมองเครื่องเคลือบที่ยังไม่แตกละเอียดซึ่งเหลืออยู่เพียงน้อยนิด แต่เขากลับไม่สนใจและยังคงเคาะเครื่องเคลือบแตกไปอีกหนึ่งชิ้นด้วยสีหน้ารู้แจ้ง ฟังเสียงเครื่องเคลือบที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับกำลังสลักอักขระเสียงอยู่ในใจ
แต่เสียงคำรามของสือหลิงจื่อดูเหมือนจะสร้างผลกระทบให้เขาไม่น้อย ทำให้สีหน้าชายวัยกลางคนบูดบึ้ง
คนผู้นี้ก็คือหนึ่งในศิษย์ของเต๋าแห่งจังหวะดนตรีนามว่าจงเหิงจื่อ
เขาคือศิษย์ที่โด่งดังที่สุดของเต๋าแห่งจังหวะดนตรี ส่วนอีกคนหนึ่งเนื่องจากชอบถือสันโดษ สำนักเหิงฉินและสำนักเหอเสียนจึงไม่ค่อยรู้จัก แม้กระทั่งเต๋าแห่งจังหวะดนตรีก็ยังรู้จักศิษย์คนนี้น้อยมาก
ที่รู้คือศิษย์คนนี้นามว่ายิ่นสี่
และตอนนี้ผู้ฝึกตนสามสำนักใหญ่ของเมืองปรารถนาเสียงต่างถูกรบกวนด้วยเสียงของสือหลิงจื่อ หวังเป่าเล่อที่ถูกส่งกลับมาจึงได้ยินเสียงไปโดยปริยาย
จุดที่เขาถูกส่งกลับมาไม่ได้เฉพาะเจาะจง จะเป็นการสุ่มเกิด ดังนั้นจึงไม่ได้ใกล้กับสือหลิงจื่อมากนัก เขาจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าและรูปร่างหน้าตากลับมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินไปตามถนนด้วยสีหน้าสงบนิ่งราวกับไม่สนใจเสียงคำรามของสือหลิงจื่อ แต่ในใจกลับแค่นเสียงเย็น
“เสียงผีอะไรกัน ครั้งหน้าข้าจะให้เจ้าได้รู้จักเสียงกระจอกอีกครั้ง!” หวังเป่าเล่ออารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ท่วงทำนองที่เขารังสรรค์อย่างยากลำบากถูกเหยียบย่ำ ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนกับลูกที่เลี้ยงมาถูกคนนอกรังเกียจ
แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าในเรื่องระดับของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงเขาด้อยกว่าสือหลิงจื่อผู้นั้นจริงๆ ระดับบทประพันธ์แห่งท่วงทำนองของอีกฝ่ายนับว่าเป็นหนึ่งในต้นกำเนิดกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงแล้ว
“ฟู่ 3,000 กว่าตัวยังไม่ตาย งั้นก็ 30,000 ตัวไปเลย!” หวังเป่าเล่อดวงตาเหี้ยมโหด ก่อนจะรีบกลับไปร้านอาหาร หลังจากมาถึงไม่นานเขาก็เรียกพ่อบ้านมาหาและมอบปลาดนตรีครามที่เก็บไว้ให้
ปลาดนตรีครามในกระเป๋าคลังเก็บไม่ได้มีชีวิตชีวาอะไร และตายไปแล้วบางส่วน แต่ก็ยังเหลืออีกหลายสิบตัว ส่วนพ่อบ้านหลังจากใช้เทพวัตถุพิเศษสัมผัสจำนวนปลาในกระเป๋าคลังเก็บก็ถึงกับตกใจ
“เยอะ…เยอะขนาดนี้เชียว!!”
หวังเป่าเล่อไม่สนใจสายตามึนงงของพ่อบ้านและเอ่ยเสียงต่ำด้วยอารมณ์ไม่สู้ดีนัก
“บอกเจ้านายของเจ้า ข้าต้องการบันทึกอักขระดนตรี ยิ่งมากยิ่งดี!”
พ่อบ้านใจเต้นรัว เขาย่อมเข้าใจราคาที่ต้องแลกกับปลาดนตรีครามมากมายขนาดนี้ ขณะเดียวกันก็ยิ่งเข้าใจดีว่าการได้ของเหล่านี้มา แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนตรงหน้าแล้ว
เพราะปลาดนตรีครามไม่ได้จับกันง่ายๆ
ดังนั้นหลังจากได้ยินคำขอจากหวังเป่าเล่อ เขาก็รีบพยักหน้า เมื่อออกไปแล้วก็รีบไปรายงานกับเจ้านายตนเอง ในไม่ช้าเจ้าของที่อยู่เบื้องหลังร้านอาหารแห่งนี้ก็ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวไปเก็บรวบรวมบันทึกอักขระดนตรีทั่วทั้งเมืองปรารถนาเสียงมาให้หวังเป่าเล่อ
ดังนั้นเมื่อกลางคืนกำลังจะมาเยือนอีกครั้ง บันทึกอักขระดนตรีที่ไม่สมบูรณ์ชุดแรกก็ถูกส่งมา หวังเป่าเล่อไม่ได้ไปที่ภูเขาไฟเป็นอันดับแรก แต่นั่งอ่านบันทึกอักขระดนตรีอยู่ในห้องและเริ่มรู้แจ้งอย่างบ้าคลั่ง
ความสามารถในด้านกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของเขาก็ได้เปิดเผยออกมาในตอนนี้เอง แม้จะไม่เท่าวาสนาของฝูงปลาดนตรีคราม แต่ขอเพียงมีบันทึกอักขระดนตรีมากพอ เขาก็รู้แจ้งได้มาก
แน่นอนว่าขึ้นอยู่กับว่าจะมีบันทึกอักขระดนตรีที่เพียงพอ
เป็นเช่นนี้ เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งเดือน ในครึ่งเดือนนี้หวังเป่าเล่อแทบจะอยู่แต่ในร้านอาหาร ไม่ได้ไปสำนักเลย และด้วยการรู้แจ้งอย่างต่อเนื่อง อักขระเสียงของเขาก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยเฉพาะช่วงหลังเมื่อบันทึกอักขระดนตรีที่ไม่สมบูรณ์หลายพันแผ่นส่งมาทุกวัน อักขระเสียงฟู่ของหวังเป่าเล่อก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นในความเร็วที่น่าอัศจรรย์
ตอนนี้จำนวนเสียงที่ซ้อนทับกันไม่ใช่ 3,000 กว่าตัวแล้ว แต่มากถึง 8,000 ตัว ส่วนเสียงฉิน บางทีอาจเป็นเพราะความไม่สมบูรณ์ของบันทึกอักขระดนตรี หรือเพราะไม่ใช่เสียงมวลมหาธรรมชาติ มันจึงไม่สร้างขึ้นเลยแม้แต่ตัวเดียว
แม้หวังเป่าเล่อจะหดหู่ใจ แต่เมื่อคิดถึงการสังหารสือหลิงจื่อ ความดื้อรั้นกับบทเพลงของตนจึงถูกระงับเก็บไว้ในก้นบึ้งหัวใจและจดจ่อกับการซ้อนทับเสียงฟู่
เวลาเดียวกันในช่วงครึ่งเดือนนี้ ประกาศจับก็ถูกส่งออกมาจากสำนักเหอเสียนในนามสือหลิงจื่อ
ประกาศจับนี้เรียบง่ายมาก ข้างในมีเพียงภาพเหมือนซึ่งก็คือภาพหวังเป่าเล่อที่เปลี่ยนรูปร่างหน้าตานั่นเอง แม้แต่ฝีมือก็ละเอียดอย่างยิ่งทำให้อารมณ์ของเขาส่งออกมาจากภาพได้อย่างสมบูรณ์แบบ
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลบางส่วนที่บอกว่าคนผู้นี้ชำนาญเรื่องเสียงธรรมดาแต่ประหลาด หากมีใครพบเห็นและแจ้งแก่สือหลิงจื่อจะได้รับสิทธิ์ให้สือหลิงจื่อแต่งบทเพลงให้เองกับมือ
สิทธิ์นี้สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ฝึกตนของสามสำนักในทันที การที่ศิษย์ในสามสำนักใหญ่ปรับแต่งบันทึกอักขระดนตรีให้เองกับมือย่อมเป็นวาสนาใหญ่สำหรับผู้ฝึกตนทั้งสามสำนัก
ดังนั้นในครึ่งเดือนนี้ทั้งสามสำนักจึงมีผู้ฝึกตนไม่น้อยที่เลิกถือสันโดษ และเข้าสู่ราตรีเพื่อค้นหาบุคคลที่สือหลิงจื่อหมายหัว โดยเฉพาะสำนักเหิงฉิน เมื่อหลายวันก่อนสือหลิงจื่อถึงกับมาเยือนเพื่อตามหาหวังเป่าเล่อ
แต่กลับถูกขัดขวางและเกิดความวุ่นวายไม่น้อย
แต่ถึงอย่างไรร่างแปลงของหวังเป่าเล่อก็ได้มีชื่อเสียงในสามสำนักใหญ่หรือแม้กระทั่งในหมู่คนธรรมดาของเมืองปรารถนาเสียงไปแล้ว
ในตอนที่ผู้คนกำลังตามหาตัวนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็เสร็จสิ้นการรู้แจ้งด้วยบันทึกอักขระดนตรีที่ไม่สมบูรณ์นี้
……………………………………………