สวีลิ่งอี๋กระแอม สืออีเหนียงถึงได้สติกลับมา
พวกเขาสองคนรีบนั่งตัวตรง
สวีลิ่งอี๋ถามบุตรชาย “ใครทะเลาะกันหรือ”
จิ่นเกอเอียงหัว มองดูบิดากับมารดาที่มีท่าทีนิ่งสงบ“ท่านพ่อกับท่านแม่ขอรับ…” เขาพูดด้วยสีหน้าที่สับสน
สวีลิ่งอี๋กวักมือเรียกบุตรชาย
จิ่นเกอวิ่งเข้าไป
สวีลิ่งอี๋อุ้มเขาขึ้นมา ยิ้มแล้วถามว่า “พ่อกับแม่ทะเลาะกันตั้งแต่เมื่อไร”
“เมื่อครู่นี้!” จิ่นเกอเบิกตากว้าง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือทะเลาะ” สวีลิ่งอี๋ถามเขา
จิ่นเกอพยักหน้า “สุยเฟิงทะเลาะ! เขาทะเลาะกับฉังอานขอรับ!”
สุยเฟิงทะเลาะกับฉังอานเมื่อไร แล้วเขาจะทะเลาะกับฉังอานได้อย่างไร
สืออีเหนียงไม่เข้าใจ
แต่สวีลิ่งอี๋กลับถามจิ่นเกอ “พวกเขาทะเลาะกันอย่างไร”
จิ่นเกอทำท่ากดตัวสวีลิ่งอี๋ “แบบนี้ขอรับ!”
“เช่นนั้นเมื่อครู่นี้ พ่อกับแม่ของเจ้าทำแบบนั้นหรือ”
จิ่นเกอครุ่นคิด จากนั้นก็ส่ายหน้า
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงบอกว่าพ่อกับแม่ทะเลาะกันเล่า”
จิ่นเกอมองไปที่สืออีเหนียงด้วยสีหน้าขอความช่วยเหลือ
เจ้าหมอนี่ แม้แต่ลูกตัวเองก็ยังกลั่นแกล้ง!
สืออีเหนียงแอบบ่นในใจ นางรีบเข้าไปอุ้มจิ่นเกอ “จิ่นเกอมาให้แม่เล่านิทานให้ฟังเช่นนั้นหรือ” นางถามเขาอย่างอ่อนโยน
จิ่นเกอได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้า “ให้ท่านแม่เล่านิทานขอรับ!”
“ได้เลย!” สืออีเหนียงอุ้มเขาลงมาจากเตียง “เราไปเล่านิทานกันเถิด!”
จิ่นเกอยิ้มด้วยความดีใจ
สาวใช้และป้ารับใช้ที่แอบฟังอยู่ได้ยินดังนั้นต่างก็พากันแยกย้ายไป เมื่อสืออีเหนียงเดินออกมา พวกนางก็ยืนกุมมือก้มหน้าด้วยความเคารพ
สืออีเหนียงกลับมาที่ห้องยามไฮ่
“เหตุใดถึงกลับมาดึกเช่นนี้” สวีลิ่งอี๋เอนตัวอ่านหนังสือบนเตียงอยู่คนเดียว “จิ่นเกอดื้อหรือ”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงเบิกตากว้างมองสวีลิ่งอี๋ “เอาแต่ถามข้าว่าอะไรคือทะเลาะกัน”
สวีลิ่งอี๋ตอบเพียง “อืม” อย่างนิ่งเฉย จากนั้นก็พูดเบาๆ “ข้าแค่กลัวว่าเจ้าจะเสียหน้า” จากนั้นก็มองดูม้วนหนังสือในมืออีกครั้ง ทำท่าทีตั้งใจอ่านหนังสือ
สืออีเหนียงไม่พอใจ
โชคดีที่แค่ล้อเล่นกัน หากทะเลาะกันขึ้นมาจริงๆ…คงจะเสียหน้าน่าดู!
คิดเช่นนี้แล้ว นางก็อดไม่ได้ที่จะพูดเบาๆ ว่า “จริงๆ เลย ใครกันแน่ที่ไม่ยอมปล่อย”
สวีลิ่งอี๋แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน จากนั้นก็พูดเรื่องแต่งงานที่เหลียงฮูหยินพูดถึง “ในเมื่อคิดว่าแม่นางของตัวเองหน้าตาสวยงาม ไม่อยากให้แต่งงานกับใคร แล้วยังถือโอกาสตอนที่สกุลเหลียงคลอดหลานชายมาเยี่ยนจิง ข้าคิดว่าพวกเขาคงจะมีแผนการ หากไม่ใช่ความคิดของสามีนาง เช่นนั้นก็แสดงว่าเป็นความคิดของเหลียงฮูหยินคนนั้น ข้าคิดว่า ไม่จำเป็นต้องไปเจอนางก็ได้!”
สืออีเหนียงก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ไม่เช่นนั้น นางคงไม่แกล้งหยอกล้อสวีลิ่งอี๋ แต่กลับถูกสวีลิ่งอี๋หยอกล้อกลับ!
“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ!” นางตอบรับแล้วปล่อยม่านเตียงลง
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า เขาถามนางอย่างเคร่งขรึมว่า “อ้อใช่ เจ้าอธิบายคำว่าทะเลาะให้จิ่นเกอฟังอย่างไรหรือ!”
สืออีเหนียงคิดไม่ถึงว่าเขาจะถามเรื่องนี้ นางแปลกใจ
สวีลิ่งอี๋ยิ้มมุมปาก “หรือว่า เราลองทะเลาะกันดูดีหรือไม่”
*****
เรื่องราวเป็นไปตามที่สวีลิ่งอี๋คาดคิดไว้
ตั้งแต่งานเลี้ยงฉลองที่สวีซื่ออวี้สอบผ่านบัณฑิตซิ่วไฉสิ้นสุดลง ก็มีหลายสกุลมาพูดเป็นนัยว่าอยากแต่งงานกับสกุลสวี เมื่อก่อนมีข้ออ้างว่าสวีซื่ออวี้ไม่มีชื่อเสียง แต่ตอนนี้ไม่มีข้ออ้างแล้ว สืออีเหนียงจึงรู้สึกลำบากใจ
นางไม่เคยเจอบุตรสาวของภรรยาเอกสกุลใหญ่สกุลโต เลยแทบไม่รู้จักใครสักคน แต่ว่าคนอื่นกลับรู้จักครอบครัวนางเป็นอย่างดี เพราะว่าเป็นบุตรสาวที่เลี้ยงอยู่ในจวน จะสืบเรื่องอันใดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงทำให้นางรู้สึกไม่มั่นใจ
เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าต่อไปสวีซื่ออวี้ต้องย้ายออกไปอยู่ข้างนอก นางจึงอยากให้สวีซื่ออวี้แต่งงานกับภรรยาที่มีความสามารถ
และในขณะนี้เอง ฟังฮูหยินก็พาบุตรชายมาที่เยี่ยนจิง
ตามธรรมเนียมแล้ว นางต้องไปคารวะฮูหยินสามก่อน
ไท่ฮูหยินรู้เช่นนี้ก็พยักหน้าเบาๆ นางพูดกับป้าตู้ “ดูเหมือนว่า คนของเราคงจะถูกกำไว้ในมือแล้ว”
ป้าตู้กำลังนั่งตัดเล็บเท้าให้ไท่ฮูหยิน นางยิ้มแล้วพูดว่า “ตราบใดที่มีชีวิตที่ดี ใครจะถูกกำอยู่ในมือก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินยิ้ม “ก็จริง ตอนนี้พวกเขาย้ายไปอยู่ที่ตรอกซานจิ่งแล้ว ข้าไม่เห็นพวกเขาก็ไม่เป็นกังวล แค่มีคนที่รู้ความดูแลเรื่องในจวนก็พอ!”
ป้าตู้ยิ้มแต่ไม่พูดอะไรต่อ นางรับใช้ไท่ฮูหยินพักผ่อน
เช้าวันต่อมา ฮูหยินสามก็พาฟังฮูหยินมาคารวะไท่ฮูหยิน
ฟังฮูหยินรูปร่างไม่สูง หน้าตาสวยงาม สายตาอ่อนโยน ดูเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ทำให้สืออีเหนียงแอบพึมพำในใจ
หากเจอนางที่อื่น ตนคงคิดไม่ถึงว่าฟังฮูหยินจะเป็นคนนี้ ดูเหมือนว่าฟังซื่อจะไม่เหมือนบิดาแต่กลับเหมือนมารดาเสียมากกว่า
น้องชายของฟังซื่ออายุเพียงสิบขวบ ถึงแม้ว่าจะดูมีมารยาท แต่สายตาของเขากลับมีความอยากรู้อยากเห็นซุกซนราวกับเด็กน้อย ทำให้เขาดูน่ารักน่าชัง
ไท่ฮูหยินเห็นเช่นนี้ก็ชื่นชอบเขา นางจับมือเขามาถามว่ากี่ขวบแล้ว เรียนหนังสือแล้วหรือยัง ปกติชอบทำอะไร…แล้วยังบอกให้คนไปเชิญสวีซื่ออวี้และคนอื่นๆ มาพบแขก
ฟังฮูหยินเจอสวีซื่ออวี้ก็ทำสีหน้าพอใจ ชื่นชมเขาสองสามประโยค ฟังจากน้ำเสียงแล้ว ฟังจี้น่าจะเล่าเรื่องดีๆ ของสวีซื่ออวี้ให้พวกเขาฟังไม่น้อย
สวีซื่อจุนแก่กว่าคุณชายน้อยสกุลฟังแค่หนึ่งปี สวีซื่อเจี้ยอายุน้อยกว่าคุณชายน้อยสกุลฟังหนึ่งปี พวกเขาจึงสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว สำหรับจิ่นเกอและเซินเกอที่ยังเด็ก แม่นมของพวกเขาอุ้มมาคารวะฟังฮูหยินจากนั้นก็อุ้มกลับไปที่เรือนแล้ว
ไท่ฮูหยินเชิญฟังฮูหยินอยู่ทานอาหารกลางวัน ฟังฮูหยินก็ไม่ได้ปฏิเสธ แต่เมื่อทานอาหารกลางวันเสร็จ นางก็อ้างว่าไม่รบกวนไท่ฮูหยินนอนกลางวัน แล้วลุกขึ้นขอตัวลา
สืออีเหนียงออกไปส่งฟังฮูหยินสองแม่ลูกและฮูหยินสามที่ประตูฉุยฮวา
เมื่อนางกำลังจะกลับไปที่เรือน ก็มีบ่าวรับใช้วิ่งหอบเข้ามา
เมื่อเห็นสืออีเหนียง เขาก็โค้งคำนับ “ฮูหยินสี่ขอรับ บ่าวกำลังจะไปส่งเทียบขอพบให้ฮูหยินสองที่เรือนเสาหวาขอรับ!”
สืออีเหนียงแปลกใจ
ฮูหยินสองไม่ค่อยออกไปไหน ไม่รู้ว่าใครส่งเทียบมาขอเจอกับฮูหยินสอง
นางแอบสังเกตดูก็เห็นว่าคนที่ส่งเทียบมาให้ฮูหยินสองคือนายหญิงเกา
“พวกเจ้าเป็นอะไรกัน” เมื่อนายหญิงเกาเจอฮูหยินสองนางก็ยิ้ม “ไม่กี่วันก่อนที่โหรวจิ่นแต่งงานออกเรือนไปยังดีๆ กันอยู่เลย เหตุใดไปที่จวนเจ้าแล้วพี่สะใภ้ของเจ้าถึงได้แอบกลับมาร้องไห้”
ฮูหยินสองได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว
ตนไม่ชอบให้นายหญิงเซี่ยงพูดถึงสกุลเซี่ยงต่อหน้าคนสกุลเดิมของนางมากที่สุด
แต่นางยังไม่ทันได้ตอบโต้ นายหญิงเกาก็ถอนหายใจ “พวกเจ้านะพวกเจ้า จะให้ข้าพูดเช่นไร คนหนึ่งปากแข็งใจอ่อน เรื่องที่ควรจัดการไม่เคยปฏิเสธ แต่เรื่องที่ไม่ควรจัดการ ก็จัดการได้อย่างเหมาะสม แล้วยังไม่ยอมรับ ส่วนอีกคนหนึ่งก็ถูกเอาอกเอาใจตั้งแต่เด็ก พูดอะไรตรงไปตรงมา แม้แต่พูดอ้อมค้อมก็ยังพูดไม่เป็น ตามหลักแล้ว คนนอกอย่างข้า ไม่ควรเข้ามายุ่งเรื่องของพวกเจ้า เมื่อก่อน ข้าก็แค่นั่งดูอยู่ข้างๆ พูดถึงพี่สะใภ้เจ้าลับหลัง แต่ครั้งนี้ ข้าทนดูไม่ได้จริงๆ!”
เป็นคนเริ่มพูดก่อน!
คิดเช่นนี้ แต่นางกลับยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอย่างนิ่งเฉย
นายหญิงเการู้ว่าคุณหนูสกุลเซี่ยงคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา นางไม่พอใจกับท่าทีที่ไม่สนใจอะไรของฮูหยินสอง สีหน้าของนายหญิงเกาเคร่งขรึมขึ้น นางพูดต่อไปว่า “ข้าจะไม่พูดเรื่องอื่น แต่พูดเรื่องแต่งงานของคุณชายน้อยสองสกุลสวีและโหรวเน่อของเราดีกว่า หากไม่ใช่เพราะพวกเจ้าก่อเรื่อง มันจะมีจุดจบเช่นนี้ได้อย่างไร คุณชายน้อยสองสกุลสวีนั่นไม่ทุกข์ร้อน เพราะเขาเป็นผู้ชาย ค่อยๆ เลือกเอาก็ได้ แต่กลับทำให้โหรวเน่อของเราเสียเวลา!”
ฮูหยินสองได้ฟังแล้วก็เลิกคิ้ว
ตอนแรกพี่สะใภ้รู้สึกว่าตัวเองถูกดูถูก ตำหนินางว่าเข้ามายุ่งเรื่องในจวน ไม่ว่าอะไรก็ปฏิเสธ ตอนนี้เรื่องแต่งงานของโหรวเน่อไม่ได้ดั่งใจแต่กลับมาโทษนาง!
หัวของฮูหยินสองหมุนอย่างรวดเร็ว
ปกตินางไม่ค่อยไปมาหาสู่กับนายหญิงเกา ความสัมพันธ์ของพวกนาง หากไม่มีเรื่องอันใดก็ไม่ไปมาหาสู่กัน แต่จู่ๆ นางก็พูดถึงเรื่องแต่งงานของสวีซื่ออวี้และโหรวเน่อ หรือว่า…
คิดเช่นนี้ สีหน้าของฮูหยินสองก็เปลี่ยนไป
สกุลสวีไม่ใช่สกุลชาวไร่ชาวนา ที่อยากจะมาพูดเรื่องแต่งงานก็มาพูด ไม่อยากพูดก็เอะอะโวยวาย
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตอนนี้สวีซื่ออวี้สอบผ่านบัณฑิตซิ่วไฉ ฉินอี๋เหนียงก็ไม่อยู่แล้ว อนาคตของสวีซื่ออวี้ยังอีกยาวไกล และถึงแม้ว่าต่อให้ตอนนี้สวีซื่ออวี้จะไร้ชื่อเสียง และฉินอี๋เหนียงยังมีชีวิตอยู่ ตนก็ไม่มีทางทำเรื่องที่ทำให้สกุลสวีอับอายขายขี้หน้าเช่นนั้นอีก!
“เมื่อก่อนนายหญิงเกาไม่ค่อยสนใจเรื่องของพี่สะใภ้ เพราะไม่เข้าใจสถานการณ์” ฮูหยินสองพูดตรงไปตรงมา “ตอนแรกพี่สะใภ้คิดว่าข้าพูดเรื่องแต่งงานนี้ ทำให้นางอับอาย ไม่ว่าเช่นไรก็ไม่เห็นด้วย เพราะเรื่องนี้ ไท่ฮูหยินเองก็ไม่สบายใจ แม้แต่น้องสะใภ้สี่ เกรงว่าจนถึงตอนนี้คงยังจะโทษว่าข้าทำตัวไม่เหมาะสม แต่ทำไมข้าฟังดูแล้วรู้สึกว่านายหญิงเกากำลังตำหนินาง หากพี่สะใภ้ของข้ารู้ เกรงว่านางคงจะไม่พอใจนายหญิงเกา คิดว่านายหญิงเกาไม่เห็นหัวนาง อยากให้บุตรสาวของนางแต่งงานกับสกุลเช่นนี้…”
นายหญิงเกาได้ยินดังนั้นก็คิดว่าตัวเองมาไกล่เกลี่ย ไม่ได้มาหาเรื่องทะเลาะ จึงรีบยิ้มแล้วพูดว่า “คุณหนูพูดถูก แต่ว่า คุณหนูอาจจะอยู่คนเดียวนานเกินไป ทำอะไรก็ทำคนเดียว ลืมปรึกษากับพี่สะใภ้ของเจ้า…” นางพูดถึงเหตุผลที่ทำไมตอนนั้นนายหญิงเซี่ยงถึงไม่เห็นด้วย “ไม่เช่นนั้น ด้วยมิตรภาพของสองสกุล ก็คงจะแต่งงานกันไปตั้งนานแล้ว ยังจะรอจนถึงวันนี้เช่นนั้นหรือ” นางยิ้ม “จะว่าไปแล้ว เด็กสองคนนี้ช่างมีวาสนาต่อกันเสียจริง ไม่เช่นนั้น เหตุใดถึงผ่านไปตั้งสองสามปี พวกเขากลับยังไม่ได้แต่งงานสักคน?”
การคาดเดาในใจได้รับการยืนยัน ฮูหยินสองยิ้มอย่างเย็นชา นางขี้เกียจที่จะพูดกับนายหญิงเกาไปมากกว่านี้เลยนั่งฟังอย่างเหม่อลอย
นายหญิงเกาก็ไม่ยอมแพ้ นางถอนหายใจแล้วพูดต่อ “เจ้าก็รู้จักนิสัยพี่สะใภ้ของเจ้าดี สองสามปีนี้ใต้เท้าเซี่ยงรับตำแหน่ง นางวิ่งตามไปดูแลใต้เท้าเซี่ยงทุกที ลำบากไม่น้อย เลี้ยงลูกสองสามคนจนโต ตอนแรกมีเรื่องของอี้จยา ต่อมามีเรื่องของโหรวเน่อ ทำให้นางสับสน แม้แต่พูดจาต่อหน้าคนอื่นก็ยังไม่มีความมั่นใจ เจ้าไม่รู้ งานเลี้ยงที่จวนเมื่อสองวันก่อน นางถูกลูกพี่ลูกน้องของข้าเยาะเย้ย หากเป็นปกติ พี่สะใภ้ของเจ้ายอมคนได้ที่ไหนกัน แต่ครั้งนี้นางกลับไม่พูดอะไรสักคำ เพียงพาโหรวเน่อและอี้จยากลับจวน กลับไปถึงเรือนก็ร้องไห้
ตอนนั้นโหรวเน่อก็อยู่ในเหตุการณ์ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น นางก็ปลอบใจพี่สะใภ้ของเจ้าตลอด
ล้วนแต่บอกว่าโหรวเน่อเป็นคนสุขุม แต่ไม่ว่าจะสุขุมแค่ไหน นางก็เป็นแค่แม่นางที่อายุสิบเจ็ดสิบแปดปี ข้าไม่เชื่อว่านางจะไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย ไม่เช่นนั้น งานเลี้ยงฉลองของคุณชายน้อยสองวันนั้น ทำไมไม่ว่าถึงอย่างไรนางก็ไม่ยอมออกไปไหน เพราะนางกลัวว่าคนอื่นจะหัวเราะเยาะเอาได้!”
แม้ฮูหยินสองกับพี่สะใภ้ของตัวเองจะไม่ค่อยเป็นมิตรกัน แต่นางก็รักใคร่เอ็นดูหลานชายหลานสาวจากใจจริง
เมื่อได้ยินดังนั้นนางก็เงียบไป