ระหว่างที่แสดงท่าทางถ่อมตนต่อกัน แต่ละคนก็เอ่ยวาจาอวยพรอันเป็นสิริมงคลสองสามประโยค แล้วมอบของขวัญในการพบหน้ากันให้ ต่อมาก็คืออนุภรรยาทั้งสามคนของหัวหน้าตระกูลรุ่นก่อน
เหมยฮูหยิน จิ้งฮูหยิน และจื่อฮูหยิน นางล้วนเคยพบมาก่อน
จื่อจิงก็เคยเล่าให้นางฟังว่า เหมยฮูหยินมีบุตรีอนุภรรยาอายุสิบสี่ นามรั่วซา คิดว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังจิ้งฮูหยิน ตอนนี้ก็คือญาติผู้น้องรั่วซาคนนั้น
จิ้งฮูหยินเคยแท้งไปแล้วก็ไม่ได้ตั้งครรภ์อีก จื่อฮูหยินก็แต่งเข้าตระกูลมาได้สิบปีแล้ว ให้กำเนิดบุตรีนางหนึ่ง อายุแปดปี นามรั่วจิ่น
หัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนยังมีอี๋เหนียงอีกหกคน ซึ่งเข้ามาคารวะนางพร้อมกันทีเดียวในตอนนี้
จางอี๋เหนียง มีบุตรีนามรั่วปั๋ว อายุสิบเจ็ดก็หมั้นหมายไว้แล้ว เพียงแค่รออายุสิบแปดเต็ม ก็จะแต่งงาน
หลี่อี๋เหนียงว่ากันว่า เหมือนจะถูกกรอกยา จึงไม่เคยตั้งครรภ์ เพราะปรนนิบัติหัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนตั้งแต่เยาว์วัย ถึงพอจะอยู่รอดมาได้
สวีอี๋เหนียง มีบุตรีนางหนึ่ง อายุสิบสาม นามว่ารั่วซัง
เจิ้งอี๋เหนียง หลังจากแท้งบุตรไปก็ไม่เคยตั้งครรภ์อีก
ต้าเฉินอี๋เหนียง หลังจากให้กำเนิดทารกที่เสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ก็ไม่ได้ตั้งครรภ์อีก
เสี่ยวเฉินอี๋เหนียง ให้กำเนิดบุตรชายหนึ่งคน แต่ยังไม่ครบเดือนก็ตายเสียแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยที่ได้พบสตรีน่าสงสารกลุ่มหนึ่ง ก็รู้สึกเหน็บหนาวหัวใจ สตรีมากมายเช่นนี้ แต่ละคนกลับมีเส้นทางชีวิตที่ไม่ราบรื่นต่างกันไป เห็นได้ชัดว่าในตระกูลใหญ่มีเรื่องดำมืดที่ไม่อาจบอกใครได้
อี๋เหนียงเข้ามาคารวะทีละคน เมื่อมีความรู้สึกสงสาร มั่วเชียนเสวี่ยก็พยักหน้าให้อย่างเกรงใจ แล้วให้ซุนหมัวมัวมอบเหอเปาที่เตรียมไว้แต่แรกให้เป็นรางวัล
ญาติผู้น้องแต่ละคนก็เข้ามาทำความเคารพเพื่อขอหงเปา มั่วเชียนเสวี่ยก็ยิ้มตอบทุกคน
รอจนการทำความเคารพของบรรดาครอบครัวฐานะต่ำต้อยเสร็จสิ้นแล้ว ถัดมาฉือหมัวมัวก็พามั่วเชียนเสวี่ยไปยกน้ำชาให้กับเหล่านายท่านคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ในห้องโถง
ฮูหยินผู้เฒ่ายังอยู่ ภายในห้องโถง นอกจากครอบครัวของหนิงเซ่าชิงแล้ว ยังมีพี่ชาย น้องชาย หลานชายของสายตรงคนอื่นๆ หรือบุตรชายที่อนุภรรยาเป็นผู้ให้กำเนิดของหัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนด้วย
ทุกที่ที่ไปเยือน ล้วนแนะนำตัวก่อน
แม้ว่าหัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนจะเป็นหัวหน้าตระกูล แต่ความจริงแล้วเป็นบุตรคนรอง ฉือหมัวมัวย่อมพามั่วเชียนเสวี่ยไปทำความเคารพ นายท่านใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากตำแหน่งที่นั่งของหัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนเป็นคนแรก
บุรุษผู้มีท่าทางเซื่องซึม ใบหน้าซีดเหลืองคนหนึ่ง
นายท่านใหญ่มีอิ๋งฮูหยินเป็นผู้ให้กำเนิด มีภรรยานามจางซื่อ
บ้านใหญ่ไม่ได้ให้กำเนิด จึงทำได้แค่รับเลี้ยงบุตรชายในตระกูลคนหนึ่ง นามหนิงเซ่าฟัง ปีนี้เพิ่งจะสิบสามหนาว
แม้ว่าจางซื่อผู้นั้นจะแต่งกายไม่เลว แต่กลับเป็นคนระมัดระวังตัวมากเกินไปคนหนึ่ง
ดูท่าจะใช้ชีวิตผ่านมาได้ไม่สบายนัก
นายท่านใหญ่ผู้นี้ แม้ว่าจะอายุมากกว่าบิดาของหนิงเซ่าชิงแค่สามปี แต่ดูแล้วกลับเหมือนมากกว่าสิบกว่าปี มีลักษณะท่าทางของผู้เฒ่าอย่างเต็มเปี่ยม
เดิม สิ่งที่ตระกูลขุนนางหลีกเลี่ยงกันมากที่สุดคือ บุตรอนุภรรยาอายุมากกว่าบุตรภรรยาเอก
แต่ได้ยินมาว่าตอนนั้นฮูหยินผู้เฒ่าแต่งเข้ามาสามปีแล้วก็ยังไม่ตั้งครรภ์ ตั้งครรภ์ก็ให้กำเนิดบุตรี
ตระกูลขุนนางเห็นบุตรชายสำคัญ ฮูหยินยิ่งต้องเพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรม ฮูหยินผู้เฒ่าจึงให้อิ๋งฮูหยินที่ตอนนั้นยังเป็นแค่สาวใช้ห้องข้างหยุดกินยา
ดังนั้นถึงได้มีนายท่านใหญ่ ดังนั้นนายท่านใหญ่ถึงได้โตกว่าหัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนสามปี นี่ก็คือสาเหตุที่อิ๋งฮูหยินผู้มีชาติกำเนิดไม่สูง แต่กลับได้เลื่อนขั้นเป็นอนุภรรยา
ทุกครั้งที่ฉือหมัวมัวแนะนำคนหนึ่ง ในสมองมั่วเชียนเสวี่ยก็จะมีข้อมูลของคนคนนั้นปรากฏขึ้น จับคู่กับบุคคลนี้ได้อย่างรวดเร็ว
นายท่านสาม (อวี่ฮูหยินให้กำเนิด) ภรรยาคือวังซื่อ…บุตรชายนามอวี่เซ่าหวา สะใภ้คือเหวินซื่อ
นายท่านสี่ (ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นผู้ให้กำเนิด) ภรรยาคือถานซื่อ มีบุตรชายสองคนนามหนิงเซ่าหัน หมั้นหมายแล้ว คู่หมั้นคือบุตรีภรรยาเอกของตระกูลก่วน ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางขั้นสอง บุตรชายคนรองนามหนิงเซ่าผู่ อายุเพียงสิบสองปี ไม่มีบุตรอนุภรรยา มีบุตรีอนุภรรยาสองคน
สตรีที่เอ่ยวาจาเหน็บแนมนางก็คือฮูหยินสี่ถานซื่อ
ยกน้ำชารอบหนึ่ง ก็เข้าใจถึงความเกี่ยวข้องของแต่ละคนชัดเจนแล้ว หน้าก็จับคู่ได้แล้ว จากรูปร่างหน้าตา นิสัยของคนบางส่วน มั่วเชียนเสวี่ยก็พอจะคาดเดาโดยพื้นฐานได้แล้ว
จำเป็นต้องกล่าวว่า ตระกูลใหญ่ มีคนมากนั้นก็เหนื่อย
แม้ว่าจะไม่ได้มีการทำให้ลำบากใจเท่าใดนัก แต่ยกน้ำชาเคารพไปรอบหนึ่ง ก็ต้องรับมือกับทุกคน ทั้งยังต้องฟังการอบรมสั่งสอนจากฮูหยินผู้เฒ่าอีกหลายประโยค รอจนกลับมาถึงเรือนหลักก็ผ่านยามอู่[1]ไปแล้ว
วันนี้เป็นวันแต่งงานใหม่ แม้ว่าในตระกูลจะมีงานเยอะ ขอเพียงแค่ไม่ได้เป็นสถานการณ์วิกฤต ก็ไม่มีใครกล้าวิ่งมารายงานกับหัวหน้าตระกูล แล้วลากหนิงเซ่าชิงจากไปในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้
มั่วเชียนเสวี่ยนั่งเสลี่ยงกลับมาก่อน
นางเพิ่งจะถึง หนิงเซ่าชิงก็สนทนากับบิดาของตนเองสองสามประโยค และถูกน้องชายที่เป็นบุตรอนุภรรยาคุยเรื่องทั่วไปในตระกูลเล็กน้อย ก็กลับเช่นกัน
ฮูหยินหัวหน้าตระกูลลุกขึ้นกลับเรือน ย่อมมีคนล่วงหน้าไปเตรียมอาหารไว้ก่อน เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยเข้าไปในเรือนจื่อจู๋หว่าน อาหารก็วางเต็มโต๊ะแล้ว
สภาพความเป็นอยู่แต่ละด้านในเรือนหลักย่อมไม่มีอันใดต้องเอ่ยถึง ตั้งแต่การตกแต่งไปถึงของกินของใช้ ย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในจวนหนิง
ยังมีห้องครัวเล็กส่วนตัว สามารถกินอาหารที่ครัวใหญ่ทำ และตนเองสามารถสั่งให้คนทำเองได้
เพียงแต่ วันนี้เพิ่งมาเป็นวันแรก ทั้งยังเป็นเจ้าสาวที่เพิ่งจะแต่งงาน จึงไม่สะดวกลงมือทำเอง อาหารบนโต๊ะแม้ว่าจะมากมายหลายอย่าง แต่กลับส่งมาจากครัวใหญ่
อากาศหนาวเหน็บ ส่งมาด้วยระยะทางที่ไกลขนาดนั้น แม้ว่ากล่องอาหารจะรักษาอุณหภูมิอย่างไร ก็ไม่เหมือนกับที่เพิ่งทำเสร็จขึ้นจากหม้อ
รสชาติอาหารเป็นเรื่องรองในฤดูหนาว ที่กินคืออาหารที่เพิ่งทำเสร็จและความอุ่นร้อน ทั้งสองคนนั่งลงที่โต๊ะอาหารภายใต้การปรนนิบัติจากข้ารับใช้กลุ่มหนึ่ง เพียงแต่กินได้ไม่กี่คำ อาหารก็เย็นชืดหมดแล้ว
หนิงเซ่าชิงมีข้อเรียกร้องในเรื่องอาหารการกินสูงมากมาตลอด กินได้สองสามคำก็ขมวดคิ้วแล้ววางตะเกียบลงแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่ได้ฝืนกิน ส่งสายตาสั่งให้คนเก็บสำรับไป
คนในเรือนล้วนเป็นคนสนิท รู้ความเคยชินของมั่วเชียนเสวี่ยกับหนิงเซ่าชิงเป็นอย่างดี เก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว ก็ยกน้ำชาอุ่นร้อนมา เติมถ่านในห้องเล็กน้อยเรียบร้อย ก็ล้วนไปรอปรนนิบัติข้างนอก
มั่วเชียนเสวี่ยถอดเครื่องประดับศีรษะที่ดูเคร่งขรึมและหนักมากจริงๆ ออก เมื่อหันหน้าไปก็เห็นหนิงเซ่าชิงพิงตั่งอ่านหนังสือ
นางเดินเข้าไป ดึงหนังสือจากมือเขา ใช้มือทาบลงบนนัยน์ตาเขา แล้วเอ่ยเสียงนุ่ม “เด็กดี เชื่อฟังนะ นอนพักสักหน่อย”
หนิงเซ่าชิงหลับตาลงครู่หนึ่ง หัวเราะเบาๆ ดึงมือนางออก วางลงบนริมฝีปากแล้วจุมพิตแผ่วเบา มองนางด้วยสายตาที่คล้ายกับหลงใหล ทั้งคล้ายกับออดอ้อน “เจ้านอนเป็นเพื่อนข้า”
“หลังจากนี้นอนเป็นเพื่อนท่านทุกวัน ตลอดชีวิตยังไม่พอหรือ”
“ไม่พอ”
เอ่ยจบก็ออกแรงดึง ในตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยยังไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไร นางก็นอนอยู่บนตั่ง ถูกหนิงเซ่าชิงทาบทับไว้ใต้ร่างแล้ว
นางใช้มือขวางใบหน้าที่แนบลงมา “เซ่าชิง ท่านจะร่วมรักกันอย่างเปิดเผยในช่วงกลางวันหรือ ท่านยังต้องการบารมีของหัวหน้าตระกูลอยู่หรือไม่”
“ไม่ต้องการ”
เสียงทรงเสน่ห์เย้ายวนยังไม่จบ ไอร้อนก็เข้าปกคลุมต้นคอแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยทั้งโมโห ทั้งขบขัน ออกแรงยันศีรษะหนิงเซ่าชิงเอาไว้ ไม่ให้เขาเคลื่อนไหวขั้นต่อไป ด่ายิ้มๆ ว่า “ท่านไม่ต้องการบารมี ข้ากลับอยากจะอาศัยอยู่ในจวนนี้ดีๆ ข้าเป็นฮูหยินหัวหน้าตระกูลที่เพิ่งเข้าตระกูลมา ยังไม่อยากถูกคนประณามลับหลังหรอกนะ…”
ความจริงแล้วคนอื่นมีความคิดเห็นเช่นไร มั่วเชียนเสวี่ยไม่สนใจเลยสักนิด นางเพียงแค่เป็นห่วงสุขภาพเขา
“ใครกล้า”
“ก็ได้ๆ! ไม่มีใครกล้าก็ได้”
เมื่อคืนหนิงเซ่าชิงก็เหนื่อยจริงๆ ใช้เจินชี่[2]เปิดทางให้มั่วเชียนเสวี่ยตลอดทั้งคืน เหนื่อยกว่าการประมือกับศัตรูยิ่ง
การประมือกับศัตรูนั้น แค่ต้องปกป้องร่างกายตนเอง แล้วสังหารศัตรูให้ได้ก็พอ แต่การเปิดทางเจินชี่ให้มั่วเชียนเสวี่ย ต้องใช้สมาธิสูงมาก ผิดพลาดเพียงแค่เล็กน้อย มั่วเชียนเสวี่ยก็สามารถธาตุไฟเข้าแทรกได้
[1] ยามอู่ คือเวลา 11.00 – 12.59 น.
[2] เจินชี่ คือต้นธารของพลังขับเคลื่อนต่างๆ ในร่างกาย