เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค – ตอนที่ 575 คำสาปลอยเข้าหู เชื่อเขา

ตอนที่ 575 คำสาปลอยเข้าหู เชื่อเขา

แม้ว่าบิดามารดานางจะสิ้นไปแล้วทั้งคู่ แต่ไม่อาจไม่ทำตามพิธีการได้

ยิ่งไปกว่านั้น ท่านแม่บุญธรรมเคยบอกว่าวันนี้จะรอนางที่จวนกั๋วกงแต่เช้าตรู่

มั่วจื่อถังก็บอกว่าจะมาต้อนรับ นางยังต้องพาหนิงเซ่าชิงไปกราบไหว้มั่วเทียนฟ่างกับเฟิงชิงอวี่ที่จากโลกใบนี้ไปแล้วด้วย

นางจะบอกมั่วเทียนฟ่างและเฟิงชิงอวี่ว่า นางแต่งให้กับบุรุษที่ดีที่สุดในโลก

แน่นอนว่านางคิดไม่ถึงว่าจะมี มหันตภัยรอนางอยู่ที่จวนกั๋วกง

รถม้าเพิ่งจะถึงหน้าประตูจวนกั๋วกง ประตูใหญ่ก็เปิดกว้าง พ่อบ้านนำคนออกมาต้อนรับ

ทุกคนห้อมล้อมมั่วเชียนเสวี่ยกับหนิงเซ่าชิงมาจนถึงห้องโถงด้านหน้า อย่างไรเสียก็ไม่ใช่บิดามารดาที่ให้กำเนิด ฐานะของหนิงเซ่าชิงสูงศักดิ์ จย่าฮูหยินกับท่านจย่าจึงไม่อาจวางมาดมากเกินไป เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยเข้าประตูมา ก็ลุกขึ้นมาต้อนรับ

ทักทายกันสองสามประโยค หนิงเซ่าชิงก็ตามมั่วเชียนเสวี่ยไปจุดธูปหน้าดวงวิญญาณมั่วเทียนฟ่างกับเฟิงชิงอวี่ ตอนนี้เวลาก็ไม่เช้าแล้ว เป็นเวลาอาหารกลางวันพอดี

คนที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารมีไม่มาก สองสามีภรรยาท่านจย่า สองสามีภรรยาหนิงเซ่าชิง มั่วเชียนเสวี่ย และมั่วจื่อถังที่นั่งอยู่ด้านหลังสุด

ร่ำสุราครบสามรอบ อาหารมื้อนี้ก็จบลง

ท่านจย่าเชิญหนิงเซ่าชิงไปเล่นหมากรุก มั่วจื่อถังนั่งดูหมากรุก มั่วเชียนเสวี่ยตามจย่าฮูหยินไปห้องโถงด้านใน

จย่าฮูหยินสงสารนางที่บิดามารดาจากไปเร็ว หลายเรื่องไร้คนดูแล จูงมือนาง ถามถึงสภาพการณ์ที่นางอยู่ในตระกูลหนิงอย่างเป็นห่วง และคุยเรื่องภารกิจที่ผู้เป็นสะใภ้สมควรทำให้สำเร็จ รวมถึงเรื่องต่างๆ ที่สมควรจะระมัดระวังในตระกูลใหญ่

เรื่องพวกนั้นที่จย่าฮูหยินเอ่ยถึง ความจริงแล้วในใจมั่วเชียนเสวี่ยก็มั่นใจแล้ว แต่ว่ามีคนเป็นห่วงตนเอง ท้ายที่สุดยังไงก็รู้สึกตื้นตันใจ และนึกถึงหนึ่งวันก่อนหน้าที่จะแต่งงานขึ้นมา จย่าฮูหยินให้คนส่งตุ๊กตาที่สอนบทเรียนให้ก่อนแต่งงานมา ในใจไม่เพียงไม่รู้สึกขบขัน จมูกก็แสบอีกด้วย

เอ่ยเรื่องชีวิตประจำวันจบแล้ว ก็สนทนาเรื่องข่าวใหม่ๆ ในเมืองหลวง ย่อมต้องเอ่ยถึงข่าวลือที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเมืองหลวง…เรื่องที่ท่านหญิงซูซูหนีออกจากบ้านอีกแล้ว

แม้ว่าจวนจิ่งชินอ๋องจะไม่ได้กระพือข่าว แต่ตามหากันในเมืองหลวงอย่างเอิกเกริก จะไม่มีข่าวคราวได้อย่างไร ตระกูลใหญ่ที่มีความสามารถ หูตาไวตระกูลใดบ้างที่ไม่รู้ เพียงแค่ลืมตาข้างหนึ่ง หลับตาข้างหนึ่งเท่านั้นเอง

ได้ยินมาว่าซูซูหนีออกจากบ้าน มั่วเชียนเสวี่ยแค่เดาก็รู้แล้วว่า ซูชีไปจากเมืองหลวงแล้วแน่นอน

จย่าฮูหยินเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง กล่าววาจาถึงเรื่องนี้เพียงแค่ผิวเผิน เพียงชั่วครู่เดียว ก็จูงมั่วเชียนเสวี่ยไปหากลุ่มหนิงเซ่าชิงที่เรือนด้านหน้า

กลับจวนๆ หลังจากกลับจวนแล้วก็ต้องกลับไปจวนบิดามารดาสามีเร็วหน่อย ไม่สามารถล่าช้าจนดึกเกินไป

มั่วเชียนเสวี่ยหาโอกาสเอ่ยเรื่องของซูซูเสียงเบา

หนิงเซ่าชิงเพียงแค่หัวเราะเบาๆ เขาแทบอยากจะให้ซูซูไปเบี่ยงเบนความสนใจของซูชี

แม้ว่าเชียนเสวี่ยจะแต่งงานแล้ว แต่ภรรยาตนเองถูกผู้อื่นคิดถึง เป็นใครก็ล้วนไม่สบายใจ ทางที่ดีสุดที่สุดให้ซูซูผู้นั้นมีฝีมือหน่อย รีบจับซูชีเอาไว้ให้ได้

“สาเหตุที่ท่านหญิงซูซูไปจากเมืองหลวง จะต้องเป็นเพราะซูชีผู้นั้นแอบหนีออกจากเมืองหลวงแน่นอน…เฮ้อ เพียงแต่ครั้งนี้นางจะตามซูชีทันหรือไม่นั้น ดูท่าทางแล้ว นางเกรงว่า กระทั่งซูชีไปที่ใดก็ไม่รู้ เด็กสาวที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ สตรีผู้หนึ่งออกเดินทางไปข้างนอกเช่นนี้ได้อย่างไร”

เห็นมั่วเชียนเสวี่ยเป็นกังวลเล็กน้อย หนิงเซ่าชิงก็ตบไหล่นางเบาๆ “อย่ากังวลเกินไป ข้าจะให้คนสังเกตดูร่องรอยการเดินทางของนางแล้วส่งข่าวกลับไปยังจวนจิ่งชินอ๋อง”

นิสัยเช่นนั้นของท่านหญิงซูซู อาศัยอิทธิพลอำนาจของหอลับ หาทิศทางที่นางไปให้พบนั้นน่าจะไม่ยาก

ทั้งสองคนสนทนากันเบาๆ ได้สองประโยค จย่าฮูหยินก็มาแล้ว

ท่านจย่ากับมั่วจื่อถัง หนึ่งซ้ายหนึ่งขวาเดินนำอยู่ด้านหน้าหนิงเซ่าชิง จย่าฮูหยินคล้องแขนมั่วเชียนเสวี่ยเดินอยู่ด้านหลัง

เพิ่งจะถึงประตูใหญ่ หน้าประตูจวนกั๋วกงกลับมีคนและม้ากลุ่มหนึ่งมาเยือนอย่างยิ่งใหญ่

คนและม้ากลุ่มนั้น มีองครักษ์ในราชสำนักของวังหลวงเปิดทาง ขันทีตามมา ปกป้องรถม้าสองคันทางอยู่ด้านหลัง

เห็นได้ชัดว่า ฮ่องเต้เป็นคนส่งคนมา และผู้มาเยือนก็มีฐานะไม่น้อย

ของขวัญอวยพรของฮ่องเต้ส่งมาให้นานแล้วไม่ใช่หรือ นี่ฮ่องเต้คิดจะทำอะไรกัน ส่งของขวัญอวยพรอีกชิ้นอย่างนั้นหรือ

ขณะที่มั่วเชียนเสวี่ยสงสัย ขบวนม้าก็หยุดลงแล้ว

องครักษ์ยืนเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ทั้งสองด้าน รถม้าด้านหลังขับมาถึงหน้าประตูจวนกั๋วกง

รถม้าสองคันเพิ่งจอดนิ่ง ก็มีขันทีที่ติดตามการเดินทางมาด้วยเลิกผ้าม่านรถม้าคันหน้าขึ้น

มีคนเดินออกมาจากรถม้าคนหนึ่ง นั่นก็คือลู่กงกง ขันทีคนสนิทของฮ่องเต้

รถม้าคันแรกมีลู่กงกงเดินออกมา แต่รถม้าที่ติดตามมาคันที่สองกลับไร้ความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

มั่วเชี่ยนเสวี่ยรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ

หัวหน้าขันทีในวังหลวง ก็คืออัครเสนาบดีหลวงขั้นหนึ่ง เมื่อพบหน้าล้วนต้องให้ความเกรงใจมาก แม้ว่ามั่วจื่อถังจะไม่เคยเจอลู่กงกง แต่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงนานแล้ว อาศัยเพียงแต่สถานการณ์และอาภรณ์ที่สวมใส่ ก็สามารถคาดเดาได้ฐานะของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไม่ใช่ก็ใกล้เคียง

เขาก้าวขึ้นไปก่อน “ยินดีต้อนรับกงกงให้เกียรติมาเยี่ยมเยียน ข้าน้อยรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก”

หนิงเซ่าชิงมือไพล่หลังยืนนิ่งไม่ขยับ ขันทีคนหนึ่งทำให้เขาแสดงความนอบน้อมไม่ได้

ท่านจย่าประสานมือทำความเคารพ จย่าฮูหยินดึงมั่วเชียนเสวี่ยให้พยักหน้าเล็กน้อย ถือว่าเป็นการทำความเคารพ

ลู่กงกงก้าวเข้ามา กระแอมไอเสียงเบา สีหน้าอึมครึม

“ข้ามาที่นี่ เพราะปฏิบัติตามพระบัญชาของฝ่าบาท มาถ่ายทอดวาจาของฝ่าบาท”

มั่วเชียนเสวี่ยแต่งงานแล้ว ฐานะก็ไม่ธรรมดา ในบางแง่มุมมั่วจื่อถังนั้นสามารถเป็นตัวแทนจวนกั๋วกงได้จริงๆ จึงผายมือทำท่าทางเชื้อเชิญ “กงกง เชิญด้านในขอรับ”

มั่วจื่อถังเดินนำทางอยู่ด้านหน้า คนทั้งหมดกลับไปยังห้องโถงใหญ่ของจวนกั๋วกงอีกครั้ง

หนิงเซ่าชิงมีฐานะสูงส่งกว่าผู้อื่นมากเพียงใด แต่ฮ่องเต้มีวาจาจะถ่ายทอด เขาก็ต้องฟังสักหน่อย

เข้ามาในห้องโถงแล้ว ลู่กงกงยืนนิ่ง สีหน้าเคร่งขรึม นอกจากหนิงเซ่าชิงกับมั่วเชียนเสวี่ยแล้ว ทุกคนล้วนคุกเข่ากันหมด

“ฝ่าบาทตรัสว่า หัวหน้าตระกูลหนิงเป็นเสาหลักของแว่นแคว้น และเป็นรากฐานของราชสำนัก ในฐานะที่มั่วเชียนเสวี่ยเป็นบุตรภรรยาเอกของจวนกั๋วกงไม่ได้มีสาวใช้แต่งงานติดตามไปด้วยในยามแต่งงาน การปรนนิบัติเรื่องอาหารการกิน และเรื่องอื่นๆ ในชีวิตประจำวันให้หัวหน้าตระกูลหนิงนั้นเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีตอนที่แรงใจแต่กายไม่อำนวย…

ฟังถึงตรงนี้ มั่วเชียนเสวี่ยก็รู้สึกไม่สบายใจแล้ว

ใจอยาก แต่ร่างกายไม่อำนวยอันใด ก็แค่กล่าวถึงวันที่นางไม่สามารถร่วมหอและปรนนิบัติได้ไม่กี่วันนั้นอ้อมๆ หรอกหรือ

ทว่า สีหน้าเขียวคล้ำของมั่วเชียนเสวี่ย ก็ไม่สามารถปิดปากลู่กงกงได้

คำสาปพวกนั้น ทะลักเข้าสู่สมองของนางทีละคำๆ

“ฝ่าบาทเห็นใจบุตรีภรรยาเอกตระกูลมั่วที่ไร้ญาติขาดมิตร จึงตั้งใจมอบ…วั่นจื่ออิ๋ง บุตรีภรรยาเอกคนโตของผู้ตรวจการวั่นให้ติดตามมั่วเชียนเสวี่ยกลับไปช่วยคุณหนูใหญ่มั่วปรนนิบัติหัวหน้าตระกูลหนิงที่จวนด้วยกัน”

“มอบย่วนหยวนเวิงจู่ให้ติดตามมั่วเชียนเสวี่ยกลับไปช่วยคุณหนูใหญ่มั่วปรนนิบัติหัวหน้าตระกูลหนิงที่จวนด้วยกัน…”

วั่นจื่ออิ๋งนั้นนางเคยเห็นมาก่อน ส่วนย่วนหยวนเวิงจู่นั้นเป็นใครกัน

มั่วเชียนเสวี่ยเดือดดาล

หนิงเซ่าชิงขมวดคิ้ว ยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงนั้น

มั่วจื่อถัง ท่านจย่า และจย่าฮูหยินถวายความเคารพขอบคุณตามมารยาทในราชสำนัก “ขอบพระทัยฝ่าบาทสำหรับของขวัญพระราชทานนี้เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ”

ลู่กงกงยกมือข้างหนึ่งขึ้น “ลุกขึ้นเถอะ”

ลู่กงกงปรายตามองมั่วเชียนเสวี่ยที่สีหน้าเขียวคล้ำ แล้วหันไปแสร้งยิ้มให้หนิงเซ่าชิง

เขาบีบเสียงให้แหลม “ฝ่าบาทตรัสว่า หนิงฮูหยินฐานะสูงศักดิ์ หัวหน้าตระกูลหนิงคุณธรรมสูงส่ง พวกนางสองคนต้องมีฐานะไม่สูงเกินไป ให้เป็นอนุภรรยาก็พอแล้ว คิดว่าหัวหน้าตระกูลคงจะไว้หน้าฝ่าบาทนะ หนิงฮูหยินมีชาติกำเนิดในตระกูลที่มีชื่อเสียง คงจะไม่มีทางไม่คำนึงถึงภาพรวม ไร้ความอดทน และไม่มีน้ำใจต่อผู้อื่น”

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

Status: Ongoing

เพราะสำลักน้ำชาจนขาดอากาศ(?)ทำให้ มั่วเชียนเสวี่ย สาวมั่นหัวการค้าทะลุมิติมาอยู่ในโลกยุคโบราณและในร่างของคนอื่น

แต่นั่นยังไม่น่าตระหนกเท่าการที่ร่างนี้กำลังจะแต่งงานเพื่อแก้เคล็ดให้กับชายหนุ่มที่ป่วยร่อแร่เต็มที!

ในโลกที่หากขาดที่พึ่งผู้หญิงก็สามารถถูกขายเป็นทาสได้ตลอดเวลาสามีคนนี้ของนางนับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว

ทั้งมีความรู้ สุภาพและไม่ใช้กำลังแถมหน้าตายังหล่อเหลาอีกด้วย เสียตรงร่างกายอ่อนแอไปหน่อยเท่านั้น

ชีวิตครอบครัวชนบทแสนยากจนของนางจึงเริ่มขึ้นที่ตรงนั้น… แต่อย่างไรนางไม่ยอมงอมืองอเท้ารับชะตากรรมแบบนี้แน่

ในเมื่อนางมีความรู้ความสามารถยังต้องกลัวสร้างกิจการไม่ได้อีกหรือ?!

เส้นทางร่ำรวยสายนี้นางจะบุกเบิกมันขึ้นมาด้วยตนเอง! และหวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นด้วยดี

เพราะเหมือน ‘ร่างนี้’ ของนางกับฐานะเดิมของสามีเหมือนจะไม่ค่อยธรรมดาเสียด้วยสิ…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท