หลัจากฮูหยินห้าได้รับจดหมายก็รีบมาหาสืออีเหนียงทันที “เป็นอย่างไรบ้าง ความคิดข้าดีใช่หรือไม่!” ท่าทางภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก “ตอนข้าพานางไปหาหมอครั้งนั้น หมอหลวงบอกว่าไม่ให้นางเป็นกังวล ข้าว่าที่นางไม่มีบุตรก็เพราะเป็นกังวล” แล้วพูดต่ออีกว่า “พี่สะใภ้สี่ ข้าว่าท่านสละเสื้อผ้าที่จิ่นเกอใส่ตอนยังเล็กสักสองชุด ส่วนข้าก็จะหาเสื้อที่เซินเกอใส่ตอนยังเล็กมาอีกสองชุด ให้ผู้ดูแลหญิงคนนั้นนำไปที่เกาชิงด้วยเลย อวยพรให้นางได้บุตรชายในคราวเดียว” พูดจบก็พนมมือขึ้นแล้วพึมพำ “อมิตาพุทธ”
สืออีเหนียงเห็นดังนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้
ฮูหยินห้าเร่งเร้าให้นางไปหาเสื้อผ้ามา
“ตรวจชีพจรเจอตอนเดือนเก้า คาดว่าคงจะคลอดในฤดูร้อน” สืออีเหนียงยิ้มพลางเลือกเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าซงเจียงสีขาว “จิ่นเกอเกิดในฤดูหนาว เกรงว่าเสื้อผ้าเหล่านี้ตอนนำไปให้จะคับไปหน่อยกระมัง”
“แหม!” ฮูหยินห้ายิ้มแล้วพูดว่า “ก็แค่ทำให้เป็นลางดีเท่านั้นแหละจะใส่ไม่ใส่ก็เรื่องของนาง!” ขณะที่พูดก็เหลือบไปเห็นเสื้ออ่าวสีแดงที่อยู่ในหีบ โน้มตัวไปหยิบมาดู “ชุดนี้ช่างงดงามจริงๆ ทำไมข้าไม่เคยเห็น…” ยังไม่ทันพูดจบสีหน้าก็เปลี่ยนไป เอามือเท้าเอว “พี่สะใภ้สี่ เหมือนว่าข้าจะคลอดแล้ว!”
“ไม่ได้บอกว่ากลางเดือนหรอกหรือ” สืออีเหนียงตกใจแต่ก็รีบคุมสติอย่างรวดเร็ว พยุงนางไปนั่งที่เบาะรองผ้าฝ้ายสีแดงบนเก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็กำชับชิวอวี่กับฟังซีให้ไปเรียกหมอตำแย แล้วตะโกนเรียกป้าซ่งให้มาดูจิ่นเกอในเรือน ส่วนสืออีเหนียงก็ไปที่เรือนฮูหยินห้า
เมื่อถึงเวลาจุดโคมไฟ ฮูหยินห้าก็คลอดบุตรชายคนที่สองออกมาอย่างราบรื่น
ฮูหยินห้าทานข้าวต้มไข่ใส่ลำไยอบแห้งพลางบ่นพึมพำว่า “ไปบอกชีเหนียงว่าเป็นเพราะนางข้าถึงได้คลอดก่อนกำหนดเช่นนี้”
สืออีเหนียงอุ้มเด็กน้อยที่ทั้งขาวทั้งอวบอ้วนแล้วหัวเราะ “เจ้าวางใจได้ ข้าจะเขียนจดหมายถึงนางประเดี๋ยวนี้”
ขณะที่กำลังพูดคุยกัน ไท่ฮูหยินที่ได้รับข่าวคราวก็มาถึง
เมื่อเห็นหลานชายตัวน้อยที่ยังไม่ลืมตา ไท่ฮูหยินก็ดีใจเป็นอย่างมาก “มองดูแล้วรูปร่างหน้าตาคล้ายจิ่นเกอมากจริงๆ!”
สืออีเหนียงยิ้มเจื่อนๆ
ไท่ฮูหยินมักจะพูดถึงจิ่นเกออยู่บ่อยๆ บางครั้งจึงได้เผลอพูดออกมาเช่นนี้
นางรีบพูดขึ้นมาว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ เหมือนตอนที่จิ่นเกอของพวกเราคลอดออกมาเลย ท่าทางดูแข็งแรง” จากนั้นก็ถามป้าสือเสียงดังว่า “อะไรกัน คุณชายห้ายังไม่กลับมาอีกหรือ”
ป้าสือเป็นคนเข้าใจอะไรได้ง่าย ยิ้มแล้วพูดว่า “ได้ส่งคนไปรอที่หน้าประตูวังแล้ว ประเดี๋ยวบ่าวจะส่งคนไปเร่งอีกทีเจ้าค่ะ” แล้วถามฮูหยินห้าว่า “ท่านว่าต้องเขียนจดหมายรายงานทางด้านตรอกหงเติงตอนนี้หรือไม่ หรือว่ารอพรุ่งนี้เช้าค่อยไปรายงานเจ้าคะ”
ความเสียใจของท่านซุนโหวผู้เฒ่าก็คือไม่มีบุตรชาย ตอนที่เซินเกอคลอดครั้งนั้นเลยไม่ได้สนใจขนบธรรมเนียมประเพณี มาหาหลานชายถึงจวนตอนพิธีสรงสาม ครั้งนี้ฮูหยินห้าให้กำเนิดบุตรชายอีกครั้ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาจะดีใจขนาดไหน
“ส่งคนไปรายงานให้ท่านพ่อข้าทราบตอนนี้เลย” เมื่อฮูหยินห้าคิดได้ดังนั้นใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
สืออีเหนียงแนะนำว่า “ส่งจดหมายไปที่ตรอกซานจิ่งด้วยเลยดีหรือไม่” จากนั้นก็คุยกับฮูหยินห้าเรื่องพิธีสรงสามของเด็กน้อย “เจ้าว่าจะจัดอย่างไรดี เมื่อถึงเวลาข้าจะได้เลือกรายการอาหารได้ถูก”
ตอนนี้เป็นฤดูหนาว ใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว ร้านหลายร้านต่างก็ปิดแล้ว ของบางอย่างแม้ว่าจะมีเงินก็หาซื้อไม่ได้ แต่ว่าฮูหยินห้าเป็นคนที่รักและเอ็นดูบุตรมาเสมอ แล้วก็เป็นคนที่รักในหน้าตาและศักดิ์ศรีเช่นกัน ตราบใดที่เรือนนางเป็นคนจัดงาน ก็มักจะทำให้อลังการ เมื่อได้ยินดังนั้นก็พูดพึมพำว่า “ข้าอยากให้เมื่อถึงเวลานั้นในงานเลี้ยงมีผักกาดเขียวกับปวยเล้ง ไม่รู้ว่าจะไปหาซื้อได้หรือไม่”
ผักสดในฤดูหนาวของภาคเหนือนั้นหาได้ยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงปวยเล้งที่เก็บเกี่ยวได้ในฤดูใบไม้ผลิ
“ข้าจะกลับไปบอกกับเหล่าผู้ดูแล” สืออีเหนียงพูดต่อไปว่า “ลองดูว่าจะหาได้ในเรือนกระจกของเฟิงไถหรือไม่ หากไม่ได้ เจ้าว่าใช้หัวผักกาดแดงหรือแตงกวาแทนดีหรือไม่ จวนเราตระเตรียมเอาไว้ไม่น้อยเลยสำหรับตรุษจีน”
ใช้หัวผักกาดแดงกับแตงกวาก็ดูมีหน้ามีตาเช่นกัน ฮูหยินห้าเลยไม่ได้ลังเลเท่าไร ยิ้มแล้วพูดว่า “ได้สิ!แค่พี่สะใภ้สี่ช่วยข้าออกความคิดเห็นก็พอแล้ว คราวที่แล้วพิธีครบรอบหนึ่งปีของเซินเกอ ทุกคนต่างก็เอ่ยปากชม!”
ทุกคนคุยไปหัวเราะไปจนแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้แล้ว พอสวีลิ่งควนกลับมาก็อุ้มเด็กน้อย สีหน้าเบิกบานจนหุบยิ้มไม่ได้ คิดอยู่นานกว่าจะตั้งชื่อให้เด็กน้อยว่า ‘เฉิง’
“มีศรัทธาและเป็นสุภาพบุรุษ!”
ไท่ฮูหยินตอบอย่างเห็นด้วย “ดีเลย”
สืออีเหนียงกลับกำลังยุ่งกับการหาซื้อปวยเล้ง
โชคดีที่พ่อบ้านไป๋เป็นคนมีความสามารถ ในบ่ายวันนั้นก็มีผักปวยเล้งมาส่งหนึ่งตะกร้า
สืออีเหนียงคำนวณดูแล้วเห็นว่ามีเยอะ จึงให้ป้าซ่งนำกระดาษมาห่อแบ่งเป็นสองห่อ ส่งไปที่ตรอกกงเสียนหนึ่งห่อ แล้วส่งไปที่จวนกานไท่ฮูหยินหนึ่งห่อ
พอป้าซ่งกลับมาในตอนเย็นก็นำเสื้อผ้าและของกินที่กานไท่ฮูหยินทำให้จิ่นเกอมาด้วย พูดกับสืออีเหนียงเสียงเบาว่า “คุณนายใหญ่สกุลหลัวที่อยู่อวี๋หังส่งจดหมายมา ให้คุณชายใหญ่สกุลหลัวส่งคุณชายน้อยห้ากลับอวี๋หังในต้นฤดูใบไม้ผลิ เช่นนี้หวังอี๋เหนียงก็จะได้ดูแลคุณชายใหญ่ได้อย่างเต็มที่ ตอนที่หวังอี๋เหนียงออกมารับผัก ขอบตาแดงก่ำ มองดูก็รู้ว่าร้องไห้มาเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงแอบประหลาดใจ
ต้นฤดูใบไม้ผลิปีนี้ อี๋เหนียงของหลัวเจิ้นซิ่งได้ให้กำเนิดบุตรชาย เป็นคุณชายน้อยอันดับที่ห้าในสกุลหลัว เพราะว่าเกิดจากอนุภรรยาจึงไม่ได้มีงานเลี้ยง มีเพียงซื่อเหนียง อู่เหนียง สืออีเหนียง และคนอื่นๆ อีกนิดหน่อยที่ไปเยี่ยมและมอบของขวัญต้อนรับ
“ใครบอกท่าน” นางอดถามไม่ได้ “แล้วพี่ใหญ่ว่าอย่างไรบ้าง”
สามีภรรยาแยกจากกัน ซ้ำข้างกายยังมีคนเคียงข้างทุกวัน คอยถามสารทุกข์สุกดิบ แล้วยังให้กำเนิดบุตรชาย สืออีเหนียงกังวลว่าหลัวเจิ้นซิ่งกับภรรยาจะมีช่องว่างระหว่างกันด้วยเหตุนี้
ป้าซ่งบอกว่า “ป้าหังเป็นคนบอกบ่าวเจ้าค่ะ ฟังจากคำพูดของป้าหัง เหมือว่าคุณชายใหญ่ก็เห็นด้วย”
สืออีเหนียงอดถอนหายใจไม่ได้ พูดขึ้นมาว่า “ท่านจำเอาไว้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นให้เตือนข้าด้วย ข้าจะได้ฝากของบางอย่างกลับไปที่อวี๋หัง”
สืออีเหนียงนั่งเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกไปที่ห้องโถงบุปผา ให้จู๋เซียงเรียกบรรดาผู้ดูแลหญิงเหล่านั้นมา จัดการเรื่องพิธีสรงสามของเฉิงเกอ
เพราะว่าเป็นสิ้นปี แต่ละจวนจึงยุ่งวุ่นวายกันทั้งนั้น พอกินเลี้ยงเสร็จเลยแยกย้ายกันไป พิธีครบรอบหนึ่งเดือนก็เป็นวันที่แปดเดือนหนึ่ง เป็นช่วงเวลาที่แต่ละจวนเชิญแขกมาหรือไปเยี่ยมจวนอื่น ฮูหยินห้าปรึกษาสืออีเหนียง “…ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจัดพิธีครบรอบร้อยวัน! จะให้เขาน้อยหน้าพี่สาวและพี่ชายไม่ได้”
สืออีเหนียงเข้าใจจิตใจที่รักความยุติธรรมของฮูหยินห้าดี ยิ้มแล้วพูดว่า “ได้สิ! ตอนนั้นก็เป็นช่วงกลางเดือนสามพอดี เป็นช่วงเวลาที่ต้นหญ้าเติบโตวิหคโบยบิน พวกเราก็อาศัยโอกาสนี้ทำจวนให้มีชีวิตชีวาดีกว่า”
ฮูหยินห้าพลันนึกถึงชีเหนียงขึ้นมา “น่าเสียดายที่นางมาไม่ได้” เมื่อพูดจบก็อุทานขึ้นมา “ไอ๊หยา” แล้วพูดต่อไปว่า “ข้าช่างเลอะเลือนเสียจริง เดือนสิบอวี้เกอก็จะแต่งภรรยาแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นก็ส่งเทียบเชิญไปเชิญชีเหนียงมาดื่มสุรามงคล…”
สืออีเหนียงขัดจังหวะนาง “เมื่อถึงตอนนั้นบุตรของนางคงยังเล็กอยู่ ชีเหนียงจะทนให้ลูกน้อยเดินทางไกลได้อย่างไร”
“จริงด้วย!” ฮูหยินห้าอดรู้สึกเสียดายไม่ได้
ป้าซ่งยิ้มพลางเดินเข้ามา คารวะฮูหยินห้า แล้วขอให้สืออีเหนียงช่วยชี้แนะ “จะทำอย่างไรกับของในห้องทำงานคุณชายน้อยห้าดีเจ้าคะ ที่นั่นก็เป็นเพียงแค่จวนประตูเดียว”
สืออีเหนียงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “เจ้าให้คุณชายน้อยห้าไปดูด้วยตัวเองก่อน สิ่งไหนที่จะเอาไปด้วยก็เก็บให้เรียบร้อย ส่วนที่เอาไว้เก็บของรอให้ข้ากับท่านโหวปรึกษากันก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ฮูหยินห้ารู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย อาศัยจังหวะที่นางพูดจบลุกขึ้นกล่าวลา “ในเมื่อท่านมีธุระ เช่นนั้นข้าก็จะไม่รบกวนแล้ว ผ่านไปอีกสักหน่อยค่อยมาปรึกษาเรื่องพิธีครบรอบร้อยวันของเฉิงเกอ”
สืออีเหนียงเข้าใจความรู้สึกของนางจึงไม่ได้รั้งนางไว้ ยิ้มพลางตอบตกลง ส่งนางที่ประตูแล้วไปที่ห้องของสวีซื่อเจี้ย
ของในห้องถูกเก็บอย่างเรียบร้อย ในอากาศแฝงไว้ด้วยกลิ่นไอของความเยือกเย็นเล็กน้อย ราวกับว่าไม่ได้มีใครใช้มาหลายวันแล้ว
ช่วงนี้นางยุ่งอยู่กับการเชิญแขกและไปเป็นแขก เมื่อเห็นว่าเทศกาลโคมไฟเมื่อวานนี้สวีซื่อเจี้ยได้ทำโคมไฟกระต่ายให้จิ่นเกอกับเซินเกอจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
สะใภ้หนานหย่งที่ได้ยินข่าวนี้ก็ทิ้งงานเก็บของใส่หีบแล้วรีบวิ่งมา “โคมไฟกระต่ายที่มอบให้คุณชายน้อยหกกับคุณชายน้อยเจ็ดได้ทำไว้นานแล้ว ช่วงนี้เป็นช่วงตรุษจีน อาจารย์จ้าวก็กลับบ้านเกิด คุณชายน้อยห้านอกจากจะเป่าขลุ่ยบ้างเป็นบางครั้งแล้ว เวลาส่วนใหญ่ก็จะอยู่กับคุณชายน้อยสี่เจ้าค่ะ”
ในช่วงตรุษจีน สืออีเหนียงสนับสนุนให้สวีซื่อจุนเชิญแขกมาที่เรือน
เริ่มแรกสวีซื่อจุนก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร แต่ไม่นานก็รู้สึกสนใจขึ้นมา “เอาสิ เอาสิ หันเจี้ยนก็เชิญแขกมาที่จวนเช่นกัน ซ้ำยังให้เทียบเชิญข้ามาด้วย แต่ว่าข้ากลัวว่าท่านพ่อจะไม่พอใจ ดังนั้นก็เลยไม่ได้ไป…” ขณะที่พูดเสียงก็เบาลงเรื่อยๆ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าสืออีเหนียงบอกว่าเขาต้องมีความกล้า เขาก็มีท่าทางไม่สบายใจ “ข้าเห็นว่าแต่ไหนแต่ไรมาท่านพ่อไม่เคยจัดงานเลี้ยงใหญ่โต” พอพูดจบก็กลัวว่าสืออีเหนียงจะตำหนิจึงพูดต่ออีกว่า “แม้แต่พิธีครบรอบหนึ่งเดือนของน้องหกก็ไม่ครื้นเครงเท่าของน้องหญิงสองกับน้องเจ็ด…”
การอธิบายเหตุผลของการกระทำของสวีลิ่งอี๋นั้นค่อนข้างซับซ้อน แล้วเวลานี้ยังไม่เหมาะสม
“พวกเราไปถามท่านโหวกันเถิด!” สืออีเหนียงพูดอย่างอ่อนโยน “ถ้าหากท่านโหวตกลงแล้ว พวกเราก็จะได้ส่งเทียบเชิญให้แขก ถ้าหากไม่ตกลง พวกเราก็แค่ปล่อยมันไป”
สวีซื่อจุนลังเลเล็กน้อย “ถ้าหากท่านพ่อโกรธ…”
“หากพวกเราไม่ลอง แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าพ่อของเจ้าจะตอบตกลงหรือไม่!” สืออีเหนียงให้กำลังใจเขา “ข้าจะไปกับเจ้าเอง จะไปยืนรอเจ้าอยู่ที่ด้านนอกของห้องหนังสืออีกด้วย”
สวีซื่อจุนได้ฟังดังนั้นดวงตาก็เป็นประกาย ไปหาสวีลิ่งอี๋พร้อมกับสืออีเหนียง
สวีลิ่งอี๋ได้ฟังคำขอที่ตะกุกตะกักของบุตรชาย ในใจก็รู้สึกชื่นชมเล็กน้อย
เขาสามารถให้สถานะกับตำแหน่งแก่บุตรชายได้ แต่ไม่สามารถรักษาสถานะกับตำแหน่งให้เขาได้ มีเพียงต้องให้สวีซื่อจุนพึ่งพาตัวเองเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าบุตรชายของเขาดูเหมือนจะเริ่มเข้าใจแล้ว จู่ๆ ก็รู้ความสำคัญของสหาย สวีลิ่งอี๋ไม่เพียงตอบตกลงอย่างตรงไปตรงมา ซ้ำยังส่งให้ผู้ดูแลจ้าวไปจัดการเรื่องเชิญแขกของเขา
สวีซื่อจุนรู้สึกประหลาดใจกับการกระทำของท่านพ่อ เขาเดินออกมาหน้าประตูด้วยความสับสน เมื่อเห็นสืออีเหนียงจึงได้รู้ว่านี่คือเรื่องจริง รีบวิ่งไปอยู่ตรงหน้าสืออีเหนียง “ท่านพ่อตกลงแล้ว ท่านพ่อตกลงแล้วขอรับ ซ้ำยังให้ผู้ดูแลจ้าวช่วยข้าเชิญแขกด้วย”
เพราะว่าตื่นเต้น ใบหน้าของเขาจึงแดงก่ำ
“เห็นแล้วหรือยัง การเอ่ยปากถามนั้นไม่ยากเลย!” สืออีเหนียงมองสวีซื่อจุนด้วยรอยยิ้ม
สวีซื่อจุนรีบพยักหน้า
“เอาล่ะ! พวกเราเริ่มเตรียมเชิญแขกกันได้แล้ว” สืออีเหนียงทำท่าทางกระตือรือร้น “เจ้าไปเขียนรายชื่อแขกที่จะเชิญมา จากนั้นก็ส่งเทียบเชิญออกไป ให้บ่าวรับใช้ที่มักจะออกไปข้างนอกกับเจ้าไปสืบมาว่าแขกที่เจ้าเชิญนั้นชอบทานอะไรบ้าง ข้าจะได้ช่วยเจ้าจัดเตรียมอาหาร”
สวีซื่อจุนรีบพยักหน้า ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว “ข้ารู้ ข้ารู้ขอรับ หวังอวิ่นไม่ทานหวาน โต้วจิ้งชอบทานปลา ส่วนหันเจี้ยนชอบดื่มชาใส่กลีบดอกไม้…” ใบหน้าของเขาเปล่งประกายราวกับว่าสามารถขับไล่ความหนาวของฤดูหนาวได้อย่างไรอย่างนั้น
ความจริงแล้วสวีซื่อจุนเป็นเด็กที่ใส่ใจคนรอบข้างเป็นอย่างมาก!
สืออีเหนียงยิ้มพลางเงยหน้าขึ้น กลับเห็นสวีลิ่งอี๋ยืนอยู่ด้านหลังหน้าต่างพลางมองพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
นางยักคิ้วให้สวีลิ่งอี๋เหมือนจะบอกว่า ‘ท่านดูสิ นี่เป็นสิ่งที่ท่านมองข้าม’ จากนั้นก็โอบไหล่สวีซื่อจุนแล้วออกจากห้องหนังสือเรือนนอก
ต่อมาการจัดงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้สวีซื่อจุนจึงวิ่งไปหาสืออีเหนียงแล้วเล่ารายละเอียดทุกอย่างให้นางฟัง จนถึงยามไฮ่ก็ยังไม่ยอมจากไป แต่ถ้าหากคืนนี้ไม่ได้ฟังนิทาน จิ่นเกอก็จะเอาแต่จ้องเขาตาโต
เมื่อนึกได้เช่นนี้ สืออีเหนียงก็อดยิ้มไม่ได้ “ให้พวกเขาสองพี่น้องเล่นกันเถิด! อีกสองวันอาจารย์จ้าวก็จะกลับมาแล้ว ก็จะไม่ได้ผ่อนคลายเช่นนี้แล้ว”