คราวนี้ เขาวางใจได้อย่างเต็มที่แล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยเข้าใจความคิดของหนิงเซ่าชิง แต่กลับรู้สึกหมดวาจาจะกล่าวมาก
หรือต้องให้นางบอกความรู้สึกของนางกับเขา ไม่กล่าวถึงว่าเรื่องนี้ยังไม่เกิดขึ้น แค่เอ่ยฟ้องลับหลัง ก็ไม่ใช่นิสัยของนางแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านย่าสุขภาพแข็งแรง จะต้องอายุยืนถึงร้อยปีแน่เจ้าค่ะ จะได้จัดการดูแลเรื่องต่างๆ ภายในจวนหรือไม่นั้นไม่สำคัญ เพียงแค่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระในจวนของท่านย่าได้เล็กน้อย ให้ท่านย่าสามารถผ่อนคลายสักหน่อย หลานสะใภ้ย่อมยินดียิ่ง”
ไม่ได้มีเพียงแค่หนิงเซ่าชิงที่ดีใจกับข้อเสนอของฮูหยินผู้เฒ่า กระทั่งหัวหน้าตระกูลหนิงรุ่นก่อนก็มีความสุขมากเช่นกัน
เขายิ้มให้มารดาตนเอง และพยักหน้ายืนยันให้กับมั่วเชียนเสวี่ย กระแอมไอเบาๆ สองสามครั้ง แล้วเอ่ยสำทับ
“มั่วซื่อเป็นสตรีที่มากความสามารถ หากกำหนดเวลาที่ชัดเจนให้นาง จะต้องรับผิดชอบภาระหนักในเรือนหลังของตระกูลหนิงภายใต้การชี้แนะของท่านแม่ได้แน่นอน ถึงตอนนั้น ท่านแม่ก็สามารถเพลิดเพลินไปกับการเล่นกับหลานๆ ได้ บุตรชายก็ปลื้มใจมากขอรับ”
มั่วเชียนเสวี่ยปรนนิบัติหนิงเซ่าชิงขณะกินอาหารเสร็จแล้ว ก็นั่งลงกินเล็กน้อย จากนั้นถึงจะเป็นคราวของอี๋เหนียงเหล่านั้น
พวกนางล้วนกินกันน้อยมาก เพียงแค่กินสองสามคำพอเป็นพิธีแล้วถอยออกไป
อย่างไรเสีย นี่ก็เป็นฤดูหนาว รอจนถึงพวกนางกิน อาหารก็เย็นชืดหมดแล้ว
สตรีของตระกูลหนิง แม้ว่าจะเป็นอี๋เหนียง แต่ก็บอบบางยิ่งกว่าภรรยาเอกในตระกูลทั่วไป
คาดว่าหลังจากกลับไปแล้ว สามารถให้ครัวใหญ่ทำอาหารให้กับตนเองกินคนเดียวได้เล็กน้อย
เหล่าผู้เป็นนายออกไปกันหมดแล้ว เหล่าข้ารับใช้ผัวจื่อก็เริ่มเก็บกวาดโต๊ะอาหาร
สวี่หยวนหยวนบ้างก็ถลึงตาโมโหใส่สายตาที่มองมาอย่างดูแคลน บ้างก็มองไปทางหนิงเซ่าชิงอย่างเศร้าใจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม บ้างก็จ้องมองมั่วเชียนเสวี่ยด้วยความริษยาเกลียดชัง อย่างไรเสียก็ไม่เคยได้อยู่อย่างสงบเงียบ
วั่นจื่ออิ๋งมีสมาธิจดจ่อ จิตใจไม่วอกแวก คล้ายกับไม่มีตัวตนเลยแม้แต่น้อย
หนิงเซ่าชิงปรายตามองสวี่หยวนหยวนแวบหนึ่ง
“มั่วซื่อ กักบริเวณสวี่อี๋เหนียงผู้นี้ในเรือนเรือนเฉียงเวยตั้งแต่วันนี้ ไม่อนุญาตให้ออกมา เรียนรู้เรื่องกฎระเบียบได้ดีเมื่อใด เมื่อนั้นค่อยออกมา
เขาต้องจัดการแก้ปัญหานี้ให้เรียบร้อยในคราวเดียว
กักบริเวณในเรือนเฉียงเวย? นั่นก็หมายความว่าไม่ให้นางมาปรนนิบัติอีก ไม่ได้เห็นคนที่ชอบอีกนานหรอกหรือ
สวี่หยวนหยวนคุกเข่าขอร้อง “หัวหน้าตระกูล เชี่ยเซินรู้ตัวว่าผิดแล้วเจ้าค่ะ…”
ทว่า นางยังเอ่ยไม่จบ ก็ถูกผัวจื่อก้าวเข้ามาลากนางออกไปแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยตอบอย่างเคารพนบนอบ “เจ้าค่ะ สามีโปรดวางใจ เชี่ยเซินจะให้คนสั่งสอนกฎระเบียบกับนางให้ดีแน่นอน”
หลังจากที่เจี่ยนชิงโยวให้การชี้แนะมารอบหนึ่ง เมื่ออยู่ข้างนอก นางจะไว้หน้าหนิงเซ่าชิงเต็มที่
“อืม” หนิงเซ่าชิงจิบชาอย่างเหม่อลอย แล้วเอ่ยว่า “มั่วซื่อ หลังจากนี้ให้เจ้าเป็นผู้ปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่ากินอาหารเช้าที่นี่”
ในเรือนของพวกเขา มั่วเชียนเสวี่ยเป็นคนตัดสินใจ ตอนนี้กินอาหารข้างนอกล้วนให้นางเป็นคนปรนนิบัติ แม้นางจะเหนื่อยเล็กน้อย แต่ก็นับได้ว่าเป็นการขจัดความขัดแย้งโดยสิ้นเชิงมั่วเชียนเสวี่ยตอบกลับว่า “เจ้าค่ะ” ภายใต้สถานการณ์ที่มีทุกคนอยู่ นางไม่สะดวกที่จะกล่าวให้มากความ ยิ่งไปกว่านั้น นี่ก็เป็นสิ่งที่นางคิดอยู่พอดี
หัวหน้าตระกูลหนิงรุ่นก่อนกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว ก็คุยเล่นกับฮูหยินผู้เฒ่าสองสามประโยค และออกจากเรือนฉือหย่างไป ภายใต้การประคองของจื่อฮูหยิน
หนิงเซ่าชิงกินอาหารเช้าเสร็จ ก็จากไปแล้วเช่นกัน เขาให้คนนัดหมายซูจิ่นอวี้เรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้ ทั้งสองตระกูลจำเป็นต้องรวมกันเป็นกลุ่มก้อน
คนสำคัญจากไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าก็เอ่ยให้แยกย้าย อี๋เหนียงแต่ละคนและยังมีบุตรีอนุภรรยาก็พากันจากไป
เหมยฮูหยินบอกว่ารั่วซาจะถึงวัยปักปิ่นแล้ว มีเรื่องที่ต้องทำจึงจากไปแล้ว จิ้งฮูหยินก็หัวเราะเสียงดัง เดินตามหลังเหมยฮูหยินออกไปด้วยกัน
มีเพียงแค่มั่วเชียนเสวี่ยที่รั้งอยู่เรือนฉือหย่าง
บอกตามตรง นางไม่เชื่อคำโป้ปดมดเท็จของฮูหยินผู้เฒ่าที่รั้งนางเอาไว้ เพื่อสั่งสอนเรื่องการจัดการดูแลจวนเลยสักนิด
ตั้งแต่โบราณ คนที่มีอำนาจในมือคนไหนบ้างที่จะเป็นฝ่ายสละอำนาจ แล้วมอบให้กับคนที่ตนเองไม่ชอบ
ภายในภัตตาคารอวี่จี้ หนิงเซ่าชิงกับซูจิ่นอวี้นั่งอยู่ริมหน้าต่าง ทั้งสองคนไม่ได้กล่าววาจาใดมากมาย แต่กลับขมวดคิ้วเป็นปมแน่นเหมือนกัน
ที่ดินตระกูลหนิงห่างไกลรกร้าง ที่ดินตระกูลซูมีน้ำท่วมบ่อย ทุกๆ ปีจะมีน้ำหลากจนสามารถทำลายทุกสิ่งได้
บนท้องถนนบรรเลงเครื่องดนตรีประเภทตีและเป่า คึกครื้นเป็นอย่างมาก ทำให้ความหดหู่และความหนักใจของทั้งสองคนชัดเจนยิ่งขึ้น
วันนี้เป็นวันที่องค์หญิงอวี้เหอออกเดินทางจากแคว้นไปแต่งงาน
เดิม ด้วยอายุขององค์หญิงอวี้เหอ ผ่านการเฉลิมฉลองวันตรุษจีนไป ถึงจะมีอายุลวงสิบสี่ ให้แต่งงานล่ะก็ เร็วเกินไปจริงๆ ยังสามารถเลี้ยงดูได้อีกสองปี
แต่การเจรจาสงบศึกแล้วคัดเลือกสาวงามมาแต่งตั้งเป็นองค์หญิง ก่อนจะจัดให้แต่งงานนั้นเป็นเรื่องระหว่างแว่นแคว้น ย่อมไม่สามารถใช้เหตุผลปกติมาตัดสินใจได้
คำพังเพยกล่าวเอาไว้ว่า แต่งภรรยาแล้วเฉลิมฉลองวันตรุษจีน ทูตแห่งหนานหลิงคิดจะส่งองค์หญิงพระองค์หนึ่งมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี จึงไม่สามารถกลับแคว้นมือเปล่าได้ และคิดจะกลับบ้านไปเฉลิมฉลองวันตรุษให้ดี
จึงถวายฎีกาขอร้อง บอกว่าตอนกลับไปจะได้คุ้มครององค์หญิงอวี้เหอกลับแคว้นด้วย แบบนี้ราชสำนักเทียนฉี กระทั่งขบวนคุ้มกันก็สามารถลดได้ ฮ่องเต้คิดแล้ว การส่งตัวเจ้าสาว ก็สามารถมอบอวี้เหอให้กับหนานหลิงได้เลย ไม่เพียงแต่จะเป็นความรับผิดชอบ ในขณะเดียวกันก็สามารถหลีกเลี่ยงอุปสรรคที่มีมากจากเวลาอันยาวนานได้ จึงอนุญาตทันที
เบื้องหลังองค์หญิงอวี้เหอไม่มีตระกูลฝ่ายมารดาให้การสนับสนุน ไฉนเลยจะมีคนไปทำให้ฮ่องเต้ไม่สบอารมณ์ ทำให้หัวหน้าตระกูลหนิงไม่พอใจ เพื่อองค์หญิงที่ถูกตระกูลทอดทิ้งคนหนึ่งกัน
ดังนั้น เมื่อฮ่องเต้อนุญาต ก็เป็นเรื่องแน่นอนแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยอยู่ในเรือนฉือหย่างตลอดทั้งวัน วันนี้สองฝ่ายล้วนหยั่งเชิงขีดจำกัดซึ่งกันและกัน คลื่นลมจึงสงบเงียบ ปลอดภัยไร้กังวล
วันที่สอง ฮูหยินผู้เฒ่าก็เริ่มให้มั่วเชียนเสวี่ยปรนนิบัติ นอกจากปรนนิบัตินางกินดื่มทั้งวันแล้ว ก็ให้นางอ่านเตือนสตรี ไม่ได้ให้นางเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องใดๆ เลยสักนิดเดียว
ตอนเช้ามีคนมารายงาน ฮูหยินผู้เฒ่าก็ให้นางออกมา โดยให้นางไปดูว่าครัวใหญ่ทำขนมเสร็จหรือยัง ทั้งยังบอกอีกว่าอยากกินขนมหวานฝีมือนางที่ทั้งนุ่มทั้งหอมพวกนั้น
ตอนกลางวันมีคนมารายงาน ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่าอีกครู่นางจะพักผ่อนยามกลางวัน ให้นางไปดูว่าถ่านในห้องนอนเผาไปถึงไหนแล้ว และถือโอกาสเปลี่ยนเตากำยานสงบใจอีกเตาหนึ่ง
ตอนบ่ายมีคนมารายงานอีก…อย่างไรก็แล้วแต่ ฮูหยินผู้เฒ่ามักจะมีเหตุผลต่างๆ ในการให้มั่วเชียนเสวี่ยออกไปก่อน
เวลาที่เหลือ นางก็อ่านเตือนสตรี! แสร้งใช้คำที่น่าฟังว่า ฝึกฝนขัดเกลาตนเองให้มีคุณธรรมและจริยธรรม!
หนึ่งวันมานี้ นางอ่านจนคอแห้งผาก
แต่ดันไม่สามารถโมโหได้ เพราะไม่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะให้นางทำอะไร ล้วนใช้น้ำเสียงอ่อนโยน สีหน้าเป็นห่วง และขอร้อง ทำให้นางมีทุกข์แต่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้
ตอนนี้ นางเพิ่งจะมีความรู้สึกว่าได้เจอคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือพอๆ กัน
แน่นอนว่า นางไม่ได้บอกอะไรกับหนิงเซ่าชิง
เขากังวลเรื่องในตระกูลมาพอแล้ว นางไม่อาจทำให้เขาเป็นห่วงตนเองได้เด็ดขาด
นางจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยได้ ดูแลควบคุมการหุงหาอาหารในจวนให้ราบรื่น และเป็นผู้ให้การสนับสนุนเบื้องหลังที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา
วันที่สาม ปัญหาก็…มาเยือนในที่สุด!
จะเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนแล้ว ในฐานะผู้คุมหางเสือเรือนหลังของตระกูลขุนนางเก่าแก่ เดิมควรจะยุ่งจนหัวหมุน
แต่ว่า ฮูหยินผู้เฒ่ากลับมีท่าทางว่างมาก เห็นได้ชัดว่าชำนาญกับการรับมือเรื่องในจวนเหล่านี้แล้ว
นางคือฮูหยินผู้เฒ่า เป็นบรรพบุรุษตระกูลหนิง หัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนคือบุตรชายของนาง หัวหน้าตระกูลคนปัจจุบันคือหลานชายแท้ๆ ของนาง ด้านหนึ่ง ใครก็ไม่กล้าเล่นลอบกัดภายใต้สายตานาง
แต่อีกด้านหนึ่ง ก็เป็นการอธิบายได้ว่า นางจัดการเรื่องราวได้เหมาะสม
ทิ้งเรื่องการปฏิบัติตัวต่อนางไป มั่วเชียนเสวี่ยยังคงนับถือฮูหยินผู้เฒ่ามาก