แม้ว่าจะพูดเช่นนี้ แต่ว่าในใจสืออีเหนียงกลับรู้ดี คิดจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์เช่นนี้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
นางอดคิดเกี่ยวกับอนาคตของสวีซื่อเจี้ยไม่ได้
พอตกกลางคืน สืออีเหนียงพูดคุยกับสวีลิ่งอี๋ “อวี้เกอสอบติดซิ่วไฉ่ ต่อไปย่อมต้องศึกษาอย่างหนัก จุนเกอเป็นเด็กสุภาพ จริงใจ และซื่อสัตย์ เต็มใจที่จะดูแลน้องๆ หากมีเขาคอยดูแลสกุลนี้ ไม่ว่าจะเป็นท่านโหวหรือข้าต่างก็วางใจทั้งนั้น จิ่นเกอยังเล็ก ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องรีบร้อน ดูว่าเขาโตขึ้นแล้วอยากทำอะไร เมื่อถึงเวลานั้นค่อยวางแผนก็ยังไม่สาย มีเพียงเจี้ยเกอ…ในเมื่อเข้ามาอยู่ในครอบครัวเราแล้ว พวกเราก็คงไม่ดูแลเขาไม่ได้” ขณะที่พูดนางก็ลังเลขึ้นมา “ท่านโหวมีแผนอย่างไรบ้างหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ประหลาดใจเล็กน้อย ยิ้มแล้วพูดว่า “เจี้ยเกออายุยังน้อย ให้เรียนรู้หนังสือกับอาจารย์จ้าวไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน รอให้เขาโตอีกสักหน่อยค่อยช่วยหาลู่ทางอนาคตให้เขา”
พูดด้วยท่วงท่าสบายๆ
พูดง่ายๆ ก็คือเขาเพียงแค่รับเด็กไว้ ส่วนเรื่องอื่นๆ ยังไม่ได้พิจารณาเลย
สืออีเหนียงเงียบไปนาน พลันคิดถึงหน้าที่การงานนั้นของสวีซื่อเจี่ยนขึ้นมา
“หาลู่ทางอนาคต?” นางพูดอย่างลังเลว่า “ง่ายขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ”
“บางเรื่องจะบอกว่าง่ายก็ไม่ง่าย จะบอกว่ายากก็ไม่ยาก” สวีลิ่งอี๋พูดต่อไปว่า “ดูว่าจะทำอย่างไร ให้ใครช่วยทำ ทำเมื่อไร”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเรื่องแบบนี้ขึ้นอยู่กับโอกาสและโชค
พูดไปก็เหมือนไม่พูด
โอกาสและโชคเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือที่สุด
สืออีเหนียงท้อแท้เล็กน้อย
หาโอกาสซักถามสวีซื่อเจี้ย “เจ้าชอบทำอะไรมากที่สุด”
ตั้งแต่วันนั้นที่คุณชายสกุลโต้วสั่งให้เขาทำโน่นทำนี่ เขาก็ดูไร้ชีวิตชีวาอยู่ไม่น้อย ได้ยินสี่เอ๋อร์บอกว่าพอเลิกเรียนก็จะฝึกเขียนตัวอักษร ท่องหนังสืออยู่ในห้อง ไม่ได้ทำอย่างอื่นอีก
เขาคิดอยู่นานก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ข้าชอบเป่าขลุ่ยผิว ชอบทำหม้อดินเผา ชอบเล่นฉิน แล้วยังชอบทำโคมไฟ…”
มีสิ่งที่ชอบทำเยอะแยะมากมาย แต่ชอบอันไหนมากที่สุดกลับไม่สามารถพูดได้อย่างชัดเจน และในสิ่งที่เขาชอบทำเหล่านี้ ไม่มีสิ่งใดที่เหมาะต่อการศึกษาอย่างลึกซึ้งจนกลายเป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้เขามีจุดยืนได้ในสังคมนี้ สิ่งของเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ใช้ฝึกฝนวินัย ถ้าหากเปลี่ยนให้กลายเป็นทักษะในการเลี้ยงดูครอบครัว ก็จะกลายเป็นเพียงช่างฝีมือระดับล่าง
ในเมื่อไม่สามารถเลือกหนึ่งอย่างจากสิ่งที่เขาชอบมาเป็นอาชีพในอนาคตได้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงเลือกหนึ่งอย่างจากสิ่งที่เขาเก่งที่สุด
สืออีเหนียงเชิญอาจารย์จ้าวเข้ามา ถามถึงการเรียนของสวีซื่อเจี้ยผ่านฉากกั้น
“คุณชายน้อยห้าเป็นคนขยันและมีความพยายามมาก ตอนนี้ได้เริ่มฝึกฝนเขียนตัวอักษรบ้างแล้ว ตำราปฐมวัยก็เรียนใกล้จะจบแล้ว บางครั้งก็เรียนวรรณศิลป์บ้าง” อาจารย์จ้าวนั่งก้มหน้าก้มตา แต่สายตากลับอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ฉากกั้น
กระโปรงจับจีบจันทราสีเขียว ปักด้วยลวดลายไม้เลื้อยสีเหลืองความสูงสามนิ้วรอบขอบกระโปรง ดูงดงามเป็นพิเศษ
“หลายปีมานี้ต้องลำบากอาจารย์จ้าวแล้ว” สืออีเหนียงพูดอย่างเกรงใจ “สวีซื่อเจี้ยเริ่มเรียนสัมผัสคำแล้วหรือยัง”
“เริ่มเรียนแล้วขอรับ” อาจารย์จ้าวท่าทางนอบน้อมเป็นอย่างมาก
เขาได้รับการแนะนำให้รู้จักท่านโหวอย่างไร นางบอกใบ้เขาเกี่ยวกับปัญหาของเด็กๆ อย่างไร และเขาปฏิบัติต่อเด็กๆ อย่างไร…คนอื่นไม่รู้ แต่ในใจเขารู้ดีที่สุด สตรีที่อยู่ด้านหลังฉากกั้น พูดจานุ่มนวลและอ่อนโยน จริงๆ แล้วเป็นคนที่กล้าหาญและเฉลียวฉลาดอย่างมาก ตอนที่นางถามเรื่องนี้ บางทีสิ่งที่อยากรู้อาจเป็นอีกเรื่องหนึ่ง สิ่งที่เขาทำได้คือพูดความจริง
“นานเท่าไรแล้ว”
“เริ่มตอนต้นฤดูใบไม้ผลิขอรับ”
“เคยจับสัมผัสคำได้อย่างสละสลวยบ้างหรือไม่”
อาจารย์จ้าวคิดอยู่ครู่หนึ่ง “คุณชายน้อยห้าจับสัมผัสคำได้อย่างเหมาะสม แต่ไม่เหมือนกับที่เขาเรียนขลุ่ยผิว เขารู้สึกได้ถึงสิ่งที่ต้องแสดงออกได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เป่ามันออกมาด้วยความเข้าใจของตัวเอง…”
บอกนางอย่างอ้อมค้อมว่าสวีซื่อเจี้ยไม่มีพรสวรรค์ในด้านนี้
สืออีเหนียงไม่สามารถปิดบังความผิดหวังได้ จึงบอกสวีซื่อเจี้ยให้เรียนลูกคิด
บางทีเมื่อถึงเวลานั้นเขาอาจจะช่วยสวีซื่อจุนจัดการกิจการในเรือนได้
สวีซื่อเจี้ยเรียนรู้อย่างรวดเร็ว แต่พอสืออีเหนียงให้เขาคิดคำนวณในใจ เขากลับใช้เวลาอยู่นานกว่าจะได้คำตอบออกมา ไม่เพียงแต่ช้า ซ้ำอัตราความแม่นยำก็ไม่สูง
ในการจัดการกิจการกลุ่มใหญ่เหล่านี้ แม้ว่าจะไม่จำเป็นต้องออกหน้าไปพูดคุยสัญญา แต่เวลาที่เถ้าแก่ใหญ่ตัดสินใจไม่ได้ก็ต้องมาขอให้เขาเป็นคนตัดสินใจ เขาคงจะไม่สามารถหยิบลูกคิดออกมาคิดเป็นเวลานานกว่าจะได้คำตอบ ผู้เชี่ยวชาญมักจะให้ความเคารพต่อมืออาชีพที่เก่งกาจกว่าพวกเขา
สืออีเหนียงอดขมวดคิ้วไม่ได้
หรือว่าสวีซื่อเจี้ยจะไม่สามารถหาพรสวรรค์อื่นๆ ได้นอกจากความสามารถของเขาในด้านศิลปะแล้ว?
แต่ความกังวลของนางก็อยู่ได้ไม่นาน สวีซื่ออวี้ก็กลับมาพอดี สืออีเหนียงจึงต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจในการวางแผนงานแต่งให้เขา นางตัดสินใจปล่อยวางเรื่องนี้เอาไว้ก่อนชั่วคราว
“ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร อาจารย์เจียงให้ข้ากลับไปต้นฤดูใบไม้ผลิในปีหน้า” สวีซื่ออวี้โค้งคำนับสืออีเหนียงกับสวีลิ่งอี๋ด้วยความเคารพ จากนั้นก็ยิ้มพลางทักทายจิ่นเกอที่อยู่ข้างๆ
จิ่นเกอขานรับคำทักทายเขา นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเชื่อฟังไม่ขยับไปไหน
ในความทรงจำของสวีซื่ออวี้ แต่ไหนแต่ไรมาจิ่นเกอเป็นคนร่าเริงและสดใสเสมอ แต่ตอนนี้กลับเหมือนผักสดที่ถูกลวกในน้ำร้อน ซ้ำยังไม่ได้มีสีหน้าปิติยินดีที่ได้เห็นเขา
เขาอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ กำลังลังเลใจว่าจะถามดีหรือไม่ สวีลิ่งอี๋ก็พูดขึ้นมาว่า “เจ้าเดินทางมาไกลเจอทั้งลมและฝุ่น ไปพักผ่อนก่อนเถิด มีเรื่องอันใดพวกเราค่อยคุยกันพรุ่งนี้”
สวีซื่ออวี้จึงทำได้เพียงถอยออกไป
เมื่อกลับมาถึงเรือนตัวเองก็ถามอวี้เปียนที่อยู่เรือนว่า “รู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น”
“คุณชายน้อยหกถูกฮูหยินสี่สั่งสอนเจ้าค่ะ” อวี้เปียนปิดปากหัวเราะ “หลายวันมานี้ก็อยู่ข้างกายฮูหยินสี่อย่างเชื่อฟัง ไม่กล้าไปที่ไหนทั้งนั้นเจ้าค่ะ”
สวีซื่ออวี้ตกตะลึง
อวี้เปียนเล่าเรื่องที่จิ่นเกอเลี้ยงไส้เดือนให้สวีซื่ออวี้ฟัง “…ไส้เดือนถูกตัดเป็นหลายชิ้น สุดท้ายก็มีไม่กี่ตัวที่รอดชีวิต ส่วนที่เหลือก็ตายหมด ฮูหยินสี่ก็เลยให้คุณชายน้อยหกลองแบ่งเป็นสองท่อนก่อน ดูว่าจะมีชีวิตรอดหรือไม่ ถ้าหากรอดก็ค่อยลองแบ่งเป็นสามท่อนดู ไม่ให้คุณชายน้อยหกรีบร้อนเกินไป คุณชายน้อยหกได้ยินดังนั้นก็พาหวงเสี่ยวเหมากับหลิวเอ้อร์อู่ขุดหาไส้เดือนไปทั่ว บางวันก็ไปขุดอยู่ใกล้เรือนหน่วนฝัง โหลใส่ไส้เดือนมีไม่พอ คุณชายน้อยหกรู้สึกว่ากระถางดอกไม้ที่ถูกทิ้งอยู่ด้านข้างนั้นไม่สวย เลือกไปเลือกมาก็ไปถูกใจกระถางดอกไม้ที่มีพื้นสีขาวลายแม่น้ำในฤดูใบไม้ผลิที่ปลูกต้นไม้วางอยู่ที่ผนังมุมเรือนหน่วนฝัง ก็เลยดึงดอกไม้ออกมาแล้วเอากระถางดอกไม้นั้นมาใส่ไส้เดือน ใครจะไปรู้ว่าสิ่งที่ปลูกในกระถางดอกไม้นั้นคือว่านแสนสุข ไม่เพียงแต่ต้นว่านแสนสุข ซ้ำยังมีดอกตูมของต้นว่านแสนสุขที่ฮูหยินสองเลี้ยงมานานเป็นเวลาหกปีและกำลังจะเบ่งบานแล้วเจ้าค่ะ…”
สวีซื่ออวี้ได้ฟังดังนั้นก็อุทานขึ้นมา “ไอ๊หยา” แล้วพูดต่อไปว่า “มิน่าเล่าข้าถึงได้รู้สึกคุ้นหูตอนที่เจ้าพูดถึงกระถางดอกไม้นั้น!” น้ำเสียงของเขากังวลเล็กน้อย “ว่านแสนสุขต้องได้รับการเลี้ยงดูเป็นเวลาแปดถึงสิบปีกว่าจะออกดอก ท่านป้าสองทะนุถนอมเหมือนไข่ในหินมาตลอด เหตุใดถึงได้เอาไปวางไว้ที่เรือนหน่วนฝังเล่า”
อวี้เปียนยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินสองรู้สึกว่าดอกไม้นี้ตั้งอยู่บนโต๊ะมานานแล้ว ดูไม่มีชีวิตชีวา จึงได้ให้สะใภ้หลี่ถิงเอาไปเลี้ยงที่เรือนหน่วนฝังสักช่วงหนึ่ง บอกว่าเรือนหน่วนฝังมีความเขียวขจี เป็นผลดีต่อว่านแสนสุข สะใภ้หลี่ถิงไม่กล้าละเลย จึงได้ให้หญิงเฒ่าผู้หนึ่งมาดูแลดอกไม้นี้โดยเฉพาะ แต่ในวันนั้นคุณชายน้อยหกไปขุดไส้เดือนที่เรือนหน่วนฝัง ไม่มีใครกล้าเข้าไปห้าม หญิงสูงวัยผู้นั้นก็เอาอกเอาใจคุณชายน้อยหกช่วยยกเก้าอี้เล็กมาให้เขา สุดท้ายก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเจ้าค่ะ”
สวีซื่ออวี้พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เกรงว่าเรื่องนี้…” น้ำเสียงของเขาลังเล แฝงไว้ด้วยความกังวล
น้ำเสียงของอวี้เปียนกลับฟังดูสบายๆ “หลังจากเกิดเรื่องขึ้น ทุกคนก็งุนงงกันไปหมด โดยเฉพาะฮูหยินสี่ รีบพาคุณชายน้อยหกไปขอโทษฮูหยินสอง ซ้ำยังให้สัญญาว่าจะคิดหาวิธีช่วยฮูหยินสองซื้อว่านแสนสุขมาใหม่ ฮูหยินสองได้ฟังดังนั้นกลับถามคุณชายน้อยหกว่าทำไมต้องดึงว่านแสนสุขออกมาเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นคุณชายน้อยหกว่าอย่างไร” สวีซื่ออวี้ซักไซ้
“คุณชายน้อยหกบอกว่ากระถางดอกไม้อันนั้นสวยที่สุดเจ้าค่ะ”
สวีซื่ออวี้รู้สึกทั้งตะลึง ทั้งขบขัน แต่ก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล
จิ่นเกอชอบของสวยๆ งามๆ มาตั้งแต่ไหนแต่ไร หากไม่สวยก็ไม่เอา
“ฮูหยินสองได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะพลางพูดกับฮูหยินสี่ว่าเด็กยังเล็ก ไม่รู้ความ ผู้อาวุโสอย่างพวกเราก็ไม่ต้องไปถือสามากเกินไป ทำให้เรื่องนี้จบไป ไม่เพียงแค่นั้น ซ้ำยังให้กระถางดอกไม้ที่วาดภาพคนตกปลาบนภูเขาหิมะให้จิ่นเกอด้วย แล้วบอกว่ายากนักที่จะมีคนรู้ว่านี่เป็นผลงานชิ้นเอกของสื่อเสี่ยวฮวาในราชวงศ์เก่า เครื่องประทินผิวย่อมมอบให้หญิงงาม ส่วนดาบย่อมมอบให้สุภาพบุรุษ หากกระถางดอกไม้นี้ไปอยู่ในมือคนที่รู้ค่าก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว ตอนนั้นฮูหยินสี่หน้าแดงไปหมด คิดหาวิธีต่างๆ นาๆ ที่จะปลูกว่านแสนสุขให้ฮูหยินสองอีกครั้ง ซ้ำยังหากระถางดอกไม้ทรายม่วงส่งไปให้ ตอนนี้กระถางดอกไม้ทั้งสองกระถางของสื่อเสี่ยวฮวากลายเป็นของคุณชายน้อยหกแล้ว ข้าได้ยินคนพูดกันว่ากระถางดอกไม้นั้นอย่างต่ำก็ราคาหนึ่งพันตำลึงแน่ะเจ้าค่ะ!”
“ดังนั้นท่านแม่ก็เลยคุมความประพฤติจิ่นเกอหรือ”
อวี้เปียนพยักหน้า “หลายวันมานี้คุณชายน้อยหกเลยไม่สดใสเจ้าค่ะ”
สวีซื่ออวี้คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้นมาว่า “เช่นนั้นท่านพ่อว่าอย่างไร”
“ท่านโหว?” อวี้เปียนยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวบอกว่า ‘กระถางดอกไม้นั้นดูแล้วก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร คิดไม่ถึงว่าจะเป็นของเก่าแก่ ใครจะไปรู้ว่าในเรือนดอกไม้จะมีของดีเช่นนี้’ ที่เหลือก็ไม่ได้พูดอะไรเจ้าค่ะ”
สวีซื่ออวี้หัวเราะ “หากเป็นข้า เกรงว่าก็คงจะไม่รู้เช่นกัน!”
ยังอยากจะถามต่อ แต่สวีซื่อฉินที่เดินทางมาจากตรอกซานจิ่งมาถึงพอดี “พวกเราออกไปทานข้าวกันเถิด พี่ชายภรรยาข้าตั้งใจจัดงานเลี้ยงพิเศษที่หอชุนซีเพื่อต้อนรับเจ้าโดยเฉพาะ”
“พอดีเลย ข้าก็อยากจะไปพบพี่ใหญ่ฟังเช่นกัน” สวีซื่ออวี้ยิ้มพลางไปล้างหน้า “อาจารย์บอกว่าเรื่องข้อสอบคราวที่แล้วโชคดีที่พี่ใหญ่ฟังช่วยไว้ จึงตั้งใจให้ข้านำของพื้นเมืองของเล่ออานมาให้พี่ใหญ่ฟังโดยเฉพาะ”
ทั้งสองคนพูดคุยหัวเราะกันพลางมุ่งหน้าไปที่หอชุนซี กว่าจะกลับมาก็เย็นมากแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้นสวีซื่ออวี้ไปคารวะไท่ฮูหยินในขณะที่รู้สึกปวดหัวเหมือนจะระเบิด
ไท่ฮูหยินกำลังอุ้มจิ่นเกอพลางปลอบเขา “…ในจวนตัวเอง แน่นอนว่าอยากได้ก็เอาไป ใครจะยังไปพิจารณาว่าคืออะไร แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจู่ๆ ก็มีต้นไม้ที่สิบปีออกดอกหนึ่งหนอย่างว่านแสนสุขวางอยู่ อีกอย่างว่านแสนสุขต้นนั้นแตกต่างอะไรกันกับกล้วยไม้ดิน จิ่นเกอของพวกเราย่อมไม่รู้อยู่แล้ว เรื่องนี้ล้วนเป็นความผิดของหญิงเฒ่าที่ดูแลเรือนหน่วนฝังผู้นั้น”
สวีซื่ออวี้เห็นว่าฮูหยินสองที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่เพียงแต่จะไม่โกรธ ซ้ำยังมองจิ่นเกอด้วยสายตาที่อ่อนโยนเป็นอย่างมาก และจิ่นเกอที่เดิมทีไม่ค่อยสบายใจ เมื่อได้ยินไท่ฮูหยินพูดเช่นนี้ก็รีบหันไปมองฮูหยินสอง เมื่อเห็นว่าสีหน้าของฮูหยินสองมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา เขาก็ยืดตัวตรง “ใช่แล้ว ใช่แล้วขอรับ!” พูดพลางสำรวจสีหน้าของฮูหยินสองอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าฮูหยินสองยังคงยิ้มอยู่ ก็เริ่มกล้ามากขึ้น “ข้าก็ไม่รู้ว่าอะไรคือว่านแสนสุข อะไรคือกล้วยไม้ดิน” พูดจบก็ซุกอยู่ในอ้อมแขนของไท่ฮูหยิน
เมื่อฮูหยินสองเห็นท่าทางแข็งนอกอ่อนในของเขา ก็ทนไม่ได้อีกต่อไป หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
จิ่นเกอเห็นดังนั้นก็โดดออกจากอ้อมแขนของไท่ฮูหยิน วิ่งไปหาฮูหยินสอง “ท่านป้าสอง ท่านป้าสอง ต่อไปข้าจะช่วยท่านรดน้ำดอกไม้ขอรับ”
ฮูหยินสองชะงักไปครู่หนึ่ง โอบจิ่นเกอด้วยท่าทางแข็งทื่อเล็กน้อย “ได้สิ!”
จิ่นเกอยิ้มกว้าง
ดวงตาหงส์กลมโตกะพริบปริบๆ น่ารักเป็นอย่างมาก