\“ก็ไม่ได้พูดอะไร!” สวีลิ่งอี๋พูดต่อไปว่า “ก็แค่ไปปีนเขาด้วยกัน”
“ไม่ได้พูดอะไรเลยหรือ” สืออีเหนียงซักไซ้
“ไม่ได้พูดอะไรเลย!” สวีลิ่งอี๋พูดต่อไปว่า “เขาล้มเหลวในสนามสอบ ข้าจะไปถามเขาเรื่องการบ้านก็คงจะไม่ใช่เรื่องกระมัง”
สวีซื่ออวี้ไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย เพียงแค่การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของสวีลิ่งอี๋ก็สามารถทำให้เขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมได้แล้ว
สืออีเหนียงยิ้มพลางมองสวีลิ่งอี๋ ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ
สวีลิ่งอี๋เห็นสายตาของภรรยา ก็อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”
“ข้าแค่คิดว่าท่านโหวเก่งยิ่งนักเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดต่ออีกว่า “พวกเราพูดไปพันคำหมื่นคำ ก็ไม่สู้ท่านโหวที่พาออกไปเดินนอกเมืองโดยไม่พูดอะไรสักคำ!” ท่าทางเหมือนหยอกล้อเขาเล็กน้อย
นางอยากจะใช้ท่าทางที่ดูเหมือนผ่อนคลายเช่นนี้บอกให้เขาใส่ใจเด็กๆ ให้มากขึ้นกระมัง!
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางนอนลง “รีบนอนเถิด พรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครมาอีก!”
สืออีเหนียงยิ้มพลางเป่าตะเกียง
ในความมืด นางได้ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่น
******
สืออีเหนียงตื่นขึ้นยามเหม่า
เมื่อหันหน้าไปก็เห็นใบหน้าที่กำลังหลับใหลของสวีลิ่งอี๋
นางอดแอบมองเขาอย่างเงียบๆ ไม่ได้
สวีลิ่งอี๋ที่หลับใหลสีหน้าดูสงบนิ่ง ดูอ่อนกว่าวัยหลายปี ที่คิ้วด้านซ้ายของเขามีขนสองเส้นที่ยาวมาก
จู่ๆ นางก็นึกถึงการชุมนุมในตอนกลางคืนของมหาวิทยาลัย มีเพื่อนร่วมชั้นบอกว่าผู้ชายขนคิ้วยาวมักจะกลัวภรรยา…พอคิดถึงเรื่องนี้ สืออีเหนียงก็อดเม้มปากกลั้นหัวเราะไม่ได้
บางทีเขาอาจจะรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวแปลกไป หรืออาจจะนอนเต็มอิ่มแล้ว จู่ๆ สวีลิ่งอี๋ก็ลืมตาขึ้นมา
เมื่อเห็นสืออีเหนียงกำลังมองเขาด้วยรอยยิ้ม ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ราวกับว่าเขาบังเอิญเห็นบางสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขโดยไม่ได้ตั้งใจ ดวงตาของเขาพลันเป็นประกาย
“เจ้าไม่ได้เป็นอะไรใช่หรือไม่”
สืออีเหนียงรู้สึกเขินเล็กน้อย รีบคว้ามือของเขา “ข้าสบายดี!”
“จริงหรือ” สวีลิ่งอี๋มองนางด้วยรอยยิ้ม
“จริงเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงอึดอัดเล็กน้อย ลุกขึ้นนั่งราวกับจะปกปิดอะไรบางอย่าง
ผ้าห่มสีน้ำเงินไพลินที่ส่องแสงสีน้ำเงินจางๆ เลื่อนลงมา เผยให้เห็นเรือนร่างของสืออีเหนียงที่มีรอยเขียวช้ำ แววตาของเขาหม่นหมองลง
สืออีเหนียงรีบหันข้างแล้วสวมเสื้อชั้นใน
ผ้าดิ้นสีเหลืองนวล ช่วยขับให้ผิวขาวราวหิมะของนางดูนุ่มนวลกระจ่างตา
สวีลิ่งอี๋จับที่แขนของนาง ริมฝีปากอุ่นๆ ค่อยๆ ประทับลงบนแผ่นหลังของนาง
สืออีเหนียงพลันตัวแข็งทื่อ มือที่กำลังผูกเชือกหยุดชะงัก
“ท่านโหว…” น้ำเสียงของสืออีเหนียงแหบพร่าเล็กน้อย “ประเดี๋ยวสาวใช้ก็จะเข้ามา…ปรนนิบัติ…ล้างหน้าแล้ว…”
“ครู่เดียวก็เสร็จแล้ว!” น้ำเสียงของสวีลิ่งอีแฝงเอาไว้ด้วยความเย้าหยอก ร่างกายแนบชิดนางโดยไม่เหลือช่องว่างใด
******
ตอนไปคาราวะไท่หูหยิน มือและเท้าของสืออีเหนียงยังอ่อนแรงอยู่เล็กน้อย
ไท่ฮูหยินคิดว่าสืออีเหนียงเหนื่อยกับการจัดงานแต่งให้สวีซื่ออวี้ จึงรีบให้ป้าตู้ยกชาโสมมาให้นาง “ถ้าหากจัดการไม่ทัน ก็ให้ตานหยางมาช่วยเจ้า เรื่องต้อนรับแขกนางเชี่ยวชาญมากที่สุดแล้ว ในจวนก็ไม่ได้มีคนมาก พวกเจ้าต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันถึงจะถูก”
สืออีเหนียงยิ้มพลางขานรับอย่างนอบน้อม “เจ้าค่ะ” แล้วพูดขึ้นว่า “ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน กำลังคิดว่าจะบอกกับน้องสะใภ้ห้าอย่างไรดี เฉิงเกอยังอายุไม่ถึงหนึ่งขวบเลย จึงรู้สึกยากที่จะเอ่ยปาก”
คำพูดของนางไม่ได้ขัดกับสิ่งที่นางคิดเลยแม้แต่น้อย
จำนวนแขกที่มาในครั้งนี้และยศบรรดาศักดิ์ที่ค่อนข้างซับซ้อนของพวกเขานั้นเกินความคาดหมายของนางไปมาก ด้านนอกมีพ่อบ้านไป๋คอยดูแล นางจึงไม่ต้องเป็นกังวล แต่นางกลับต้องเป็นคนดูแลสถานการณ์โดยรวมของเรือนใน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น คนของจวนเฉินเก๋อเหล่า เหลียงเก๋อเหล่า โต้วเก๋อเหล่าต่างก็ส่งของขวัญมาแสดงความยินดี หากบรรดาฮูหยินของพวกเขามา นางก็ต้องไปคอยดูแลด้วยตัวเองไม่ใช่หรือ แต่ถ้าหากนางไปดูแลบรรดาฮูหยินเหล่านั้น แล้วใครจะดูแลหวงฮูหยิน ถังฮูหยิน โจวฮูหยิน คุณนายใหญ่สกุลหลินเล่า นอกจากนี้ก็ยังต้องจัดเตรียมอาหาร สุรา น้ำชา ขนมของเรือนใน…แม้ว่านางจะไม่ต้องลงมือทำเอง แต่ก็ต้องออกคำสั่ง มอบป้ายคู่ให้บรรดาผู้ดูแลหญิงไปจัดการมาไม่ใช่หรือ เดิมทีส่วนนี้มีฮูหยินสามคอยช่วยเหลือ แต่ตอนนี้ฮูหยินสามแยกจวนออกไปแล้ว ย่อมไม่อาจให้นางมาช่วยงานนี้ได้ ถ้าหากตนไม่เอ่ยปากขอให้ฮูหยินห้ามาช่วย เกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้นต่อให้มีสามหัวหกแขนก็คงไม่พอใช้
สืออีเหนียงยังไม่ทันพูดจบ เสียงกระดิ่งเงินก็ดังมาจากประตู “แม้ว่าจะเป็นลูกสะใภ้ของพี่สะใภ้สี่ แต่ก็เป็นหลานสะใภ้ของข้าเช่นกัน ข้าคิดอยากจะช่วยพี่สะใภ้สี่อีกแรงหนึ่งอยู่แล้ว แต่ก็กลัวว่าพี่สะใภ้สี่จะรังเกียจที่ข้าไม่ได้เป็นคนละเอียดอ่อน จึงไม่กล้าเอ่ยปาก ในเมื่อพี่สะใภ้สี่ไม่รังเกียจ เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว!”
“น้องสะใภ้ห้า!” สืออีเหนียงยิ้มพลางลุกขึ้นทักทายผู้มาเยือน “หากเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็วางใจแล้ว!” จากนั้นทั้งสองคนก็ยิ้มพลางนั่งลงข้างๆ ไท่ฮูหยิน ปรึกษากันว่าจะให้สืออีเหนียงเป็นคนต้อนรับบรรดาฮูหยินของเก๋อเหล่าและรองเจ้ากรม ส่วนฮูหยินห้าจะเป็นคนต้อนรับโจวฮูหยิน คุณนายใหญ่สกุลหลินและคนอื่นๆ ส่วนหวงฮูหยินกับเจิ้งไท่จวินก็ให้พามานั่งกับไท่ฮูหยิน ให้จู๋เซียงรับผิดชอบเรื่องน้ำชา ป้าซ่งเป็นคนรับผิดชอบอาหารและสุรา เมื่อพูดถึงตรงนี้ฮูหยินห้าก็อุทานขึ้นมา “ไอ๊หยา” ถามสืออีเหนียงว่า “แล้วจะเชิญงิ้วคณะไหนมาเล่น”
ตามธรรมเนียมทั่วไปแล้ว หากจะเชิญคณะงิ้วมาเล่นก็ต้องส่งคนไปเลือกเรื่องโดยเฉพาะ
“ข้าเชิญคณะเจี๋ยเซียงตู้ของไป๋ซีเซียงแล้ว” สืออีเหนียงจงใจรักษาระยะห่างกับคณะเต๋ออินปาน “พวกเขามีละครใหม่มากมาย”
“ห้องโถงที่จัดพิธีงานแต่งก็ไม่ได้เชิญแขกให้มาชมทิวทัศน์ยามว่างในห้องโถง หาอะไรใหม่ๆ มาก็นับว่าน่าสนใจดี” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “ถึงอย่างไรก็ต้องมีท่อนร้องเกี่ยวกับสามีภรรยาที่รักใคร่กันอยู่แล้ว” พูดพึมพำว่า “ข้าว่าเชิญคณะงิ้วใหญ่ทั้งสามคณะมาให้หมดเลยดีหรือไม่! จัดเวทีที่ห้องโถงเตี่ยนชุนหนึ่งที่ และที่เรือนนอกอีกหนึ่งที่ เชิญเสี่ยวเฟินฟังและเสี่ยวเหลียนจูที่อายุสิบเอ็ดสิบสองปีมาขับร้องที่ห้องโถงเตี่ยนชุน ส่วนผู้ที่มีชื่อเสียงอย่างไป๋จวี๋ซวงกับเซี่ยงซานหว่านไปขับร้องที่เรือนนอก คนของห้องซือฝังจัดเตรียมเงินรางวัลไว้หลายสิบก้อน ใครร้องได้ดีก็มอบให้เป็นรางวัลหน้างานเลย ให้ทั้งสามคณะแข่งขันกันบนเวที ให้ทุกคนได้สนุกสนาน!”
“ความคิดของท่านแม่ดีมากจริงๆ เจ้าค่ะ!” ฮูหยินห้าพยักหน้าพลางพูดอย่างเห็นด้วย “เช่นนี้ คนเหล่านั้นก็จะพยายามร้องให้ดีที่สุดเพื่อชื่อเสียงของคณะ” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฮูหยินห้าก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “ครั้งนี้ต้องครึกครื้นมากอย่างแน่นอน”
“ก็จัดเพื่อให้ครึกครื้นอยู่แล้ว!” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “แม้ว่าอวี้เกอจะสอบไม่ผ่าน แต่งานแต่งครั้งนี้ก็ต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่! จะทำให้คนนอกดูถูกเขาเพราะพวกเราไม่ได้!”
เดิมทีโลกใบนี้ก็มีการแบ่งระดับชั้นกันอยู่แล้ว
หากเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงเวลานั้นก็แค่หาข้ออ้างให้สวีซื่อเจี้ยอยู่ที่เรือนในก็พอแล้ว
สืออีเหนียงพยักหน้า
“เป็นท่านแม่ที่คิดได้อย่างรอบคอบ” นางยิ้มพลางถามฮูหยินห้า “เช่นนั้นก็เชิญป้าสือมาช่วยจัดการการแสดงเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ เจ้าคิดเห็นอย่างไรบ้าง”
พวกเขาสองสามีภรรยาล้วนชอบละครงิ้ว ป้าสือก็เคยได้ฟังได้เห็นมาเยอะ เข้าใจเรื่องละครงิ้วมากกว่าคนทั่วไป
ฮูหยินห้าตอบตกลงทันที
พวกนางปรึกษากันเกี่ยวกับรายละเอียดบางอย่าง เมื่อเห็นว่าเป็นเวลากลางวันแล้ว ไท่ฮูหยินก็ให้ทั้งสองคนอยู่ทานอาหารกลางวัน
พอเดินออกมาก็พบกับชิวอวี่
“ฮูหยิน” นางย่อเข่าคำนับ “ท่านเขยกับคุณหนูเจ็ดพาบุตรชายมาแสดงความยินดีกับคุณชายน้อยสองเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงประหลาดใจอย่างมาก
เมื่อไม่กี่วันก่อนที่ตนส่งเทียบเชิญงานแต่งของสวีซื่ออวี้ให้ จูอานผิงก็ไม่ได้ตอบกลับอะไร ตนยังคิดว่าเป่าเกอยังเล็ก พวกเขาคงไม่ได้มาแล้ว
“ชีเหนียงมาหรือ!” ฮูหยินห้าเองก็ประหลาดใจมากเช่นกัน “เมื่อสองวันก่อนที่เขียนจดหมายมาถึงข้าก็บอกแค่ว่าเป่าเกอเริ่มจำหน้าคนได้แล้ว ไม่เห็นบอกว่าจะมาเยี่ยนจิงสักคำ” พูดไปพลางยิ้มไป “มักจะเห็นนางบอกในจดหมายว่าเป่าเกอเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ข้ายังไม่เคยเจอเลย ครั้งนี้ต้องมองให้ละเอียดสักหน่อยแล้ว”
ทั้งสองคนรีบสาวเท้าไปที่เรือนหลัก
ชีเหนียงที่เป็นแม่คนแล้ว ร่างกายยังคงบอบบาง แต่สีหน้าไม่ได้มีความกังวลเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ท่าทางของนางเต็มไปด้วยความเบิกบานใจราวกับเด็กสาวก็มิปาน ให้ความรู้สึกราวกับว่ายังไม่ได้ออกเรือนอย่างไรอย่างนั้น
ในอ้อมแขนของนางอุ้มทารกน้อยอายุสามถึงสี่เดือน ข้างๆ ยังมีเด็กผู้ชายอายุราวห้าหกขวบ
สืออีเหนียงแปลกใจอย่างมาก แม้ว่านางจะคาดเดาสถานะของเด็กชายตัวน้อยออก แต่นางก็ยังอยากจะยืนยันสักหน่อย ชี้ไปที่เด็กชายตัวน้อยคนนั้น “นี่คือ?”
ชีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “นี่คือบุตรชายคนโตของข้า นามว่าจี้เกอ” จากนั้นก็กำชับเด็กคนนั้นว่า “นี่คือท่านน้าหญิงสิบเอ็ดของเจ้า ส่วนนี่คือฮูหยินห้า!”
เด็กคนนั้นกำมุมเสื้อของชีเหนียงไว้แน่น เรียกทั้งสองคนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
ชีเหนียงเอ่ยขอโทษขอโพยว่า “เขาเติบโตในชนบท ไม่เคยเห็นโลกภายนอก ก็เลยจะขี้อายบ้างเล็กน้อย หากเสียมารยาทก็ต้องขอให้น้องหญิงสิบเอ็ดกับฮูหยินห้าอย่าได้ถือสา!”
“เหตุใดเจ้าถึงได้เกรงใจพวกเราเช่นนี้” ฮูหยินห้ายิ้มพลางสำรวจมองบุตรบุญธรรมของชีเหนียงนามว่าจี้เกอผู้นั้น “เด็กเล็กก็กลัวคนแปลกหน้ากันทั้งนั้นแหละ โตอีกสักหน่อยประเดี๋ยวก็ดีขึ้น ที่นี่ก็ไม่ใช่ต่างบ้านต่างเมือง พวกเราก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ไม่ต้องคำนึงถึงมารยาทก็จะไม่มีการเสียมารยาท”
สืออีเหนียงเดินเข้าไปอุ้มเป่าเกอ
เด็กน้อยทั้งขาวทั้งอ้วนท้วม ตัวหนักอยู่พอสมควร
“หลานชายหน้าเหมือนท่านลุงของเขายิ่งนัก” นางยิ้มพลางพูดว่า “หน้าเหมือนพี่สามเจ็ดส่วน เหมือนพี่เขยเจ็ดสามส่วน”
เมื่อเป่าเกออยู่ในอ้อมแขนของนางก็บิดตัวไปมา หันไปมองชีเหนียงก่อนจะร้องไห้ขึ้นมา
ชีเหนียงรีบเข้าไปรับมา “ข้าอุ้มมาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ยอมให้ใครอุ้มทั้งนั้น แม้แต่พี่เขยเจ็ดของเจ้าก็ไม่ยอมให้อุ้ม”
ฮูหยินห้าเห็นว่าจี้เกอเองก็หน้าตาเหมือนจูอานผิงอยู่สามส่วน พูดขึ้นมาว่า “เช่นนั้นแม้แต่แม่สามีเจ้าก็ไม่ให้อุ้มใช่หรือไม่”
ชีเหนียงเหลือบมองฮูหยินห้าแล้วยิ้ม เหมือนจะบอกว่า ‘ยังต้องถามอีกหรือ’
ฮูหยินห้าหัวเราะคิกคัก
สิ่งที่นายหญิงผู้เฒ่าสกุลจูต้องการมากที่สุดคือหลานชาย ถ้าหากชีเหนียงเลี้ยงให้บุตรชายไม่ต้องการท่านย่า ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านายหญิงผู้เฒ่าสกุลจูผู้นั้นจะร้อนใจมากแค่ไหน
สืออีเหนียงเองก็เม้มปากกลั้นหัวเราะ เชิญทั้งสองคนไปนั่งที่เตียงเตาริมหน้าต่างห้องปีกทิตะวันตก นางกับฮูหยินห้าให้ของขวัญต้อนรับจี้เกอกับเป่าเกอ เมื่อรู้ว่าครอบครัวของชีเหนียงพึ่งมาถึงเมื่อวานตอนบ่าย จากนั้นก็พักผ่อนอยู่ที่เรือนรับรองในเยี่ยนจิงของตัวเอง วันนี้ตอนเช้าตรู่จึงได้มาที่นี่ ถามนางเกี่ยวกับการวางแผนในช่วงนี้ แล้วเรียกบรรดาเด็กๆ มาทักทายจี้เกอกับเป่าเกอ
เฉิงเกองอแงจะเล่นกับเป่าเกอและซินเจี่ยเอ๋อร์ให้ได้ ก่อนมาที่นี่จิ่นเกอกับเซินเกอกำลังเล่นเตะลูกหนังไม่มีความอดทนพอที่จะนั่งฟังผู้ใหญ่คุยกัน เลยดึงจี้เกอให้ไปเล่นข้างนอกด้วยกัน
จี้เกอตกใจจนหน้าขาวซีด ไปหลบอยู่หลังชีเหนียงไม่ยอมออกมา
ชีเหนียงยิ้มพลางช่วยแก้ต่างให้จี้เกอ “เขาเตะลูกหนังไม่เป็นหรอก!”
จิ่นเกอไม่คิดเช่นนั้น “ข้าจะสอนเขาเองขอรับ แม้แต่ท่านแม่ของข้าก็เล่นเป็นแล้ว!”
ราวกับจะสื่อว่าสืออีเหนียงเป็นคนงุ่มง่ามก็ไม่ปาน
สืออีเหนียงได้ยินดังนั้นก็กระแอมเบาๆ
ชีเหนียงกับฮูหยินห้าพากันหัวเราะอย่างครื้นเครง