ในตอนนี้เองที่เสียงเจือไปด้วยความตื่นเต้นและกระวนกระวายเล็กน้อยของสาวใช้ปี้เอ๋อร์ดังขึ้นที่นอกประตู
ท่านหญิงซูซูที่ฟังออก ก็รู้สึกว่าท่าไม่ดีทันที พี่ใหญ่คงไม่ได้เรียกนางไปคุยด้วยเฉยๆ
ทุกการกระทำ ทุกความเคลื่อนไหวของซูชี ท่านหญิงซูซูที่ให้ความสนใจมาโดยตลอดได้ขอร้องพี่ใหญ่ให้เขาจ้างวานยอดฝีมือในยุทธภพที่ชำนาญการสะกดรอยตามผู้หนึ่งให้จับตามองซูชีด้วยเงินก้อนโตนานแล้ว
ได้ยินมาว่าคนผู้นั้นไม่เพียงวิชาตัวเบาเป็นเลิศ เชี่ยวชาญการสะกดรอยตาม แต่ยังค่อนข้างชำนาญการตามหาด้วย เลื่องลือว่าบนโลกมีแต่คนที่หาเขาไม่พบ ไม่มีใครที่เขาหาไม่พบ
ความจริงแล้วไม่มีผู้ใดรู้ชื่อแซ่เขา คนในยุทธภพได้ยินมาว่าเขาแซ่จ้าวทั้งยังชอบกินเนื้อกวาง จึงมอบฉายานามให้เขาว่าจ้าวเฟยลู่
ซูซูไม่ได้ขอร้องจิ่่งซื่อจื่อให้เขาทำอย่างอื่น เพียงแค่ตามซูชีอยู่ห่างๆ ช่วยนางดูซูชีก็พอแล้ว อย่าได้เหมือนเจ็ดแปดปีก่อนที่จู่ๆ ก็หายไปจากเมืองหลวงอย่างไร้ร่องรอยก็พอ
แน่นอนว่า อย่างไรเสียนางก็เป็นสตรี ไม่ติดต่อเจรจาต่อรองกับบุรุษในโลกภายนอก ดังนั้นหากเกิดเรื่องใดขึ้นกับซูชีจริงๆ
ยอดฝีมือในด้านสะกดรอยตามที่นามจ้าวเฟยลู่ผู้นั้น จะไปรายงานกับพี่ใหญ่!
หรือว่า…
“ปี้เอ๋อร์รู้ไหมว่าพี่ใหญ่มีเรื่องอันใดถึงได้เรียกหาข้า” ท่านหญิงซูซูรีบเค้นรอยยิ้มออกมา พยายามทำให้น้ำเสียงฟื้นคืนสู่ความสุขก่อนหน้านี้
“บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ ซื่อจื่อเพียงแค่ให้บ่าวมาบอกกับท่านหญิงว่า ให้ท่านหญิงรีบไป ไม่เช่นนั้นจะสูญเสียสิ่งที่อยู่ในมือไปโดยไม่คาดฝันเจ้าค่ะ!”
ปี้เอ๋อร์ย่อมเห็นความรู้สึกที่ท่านหญิงของพวกนางมีต่อซูจิ่นหัน คุณชายเจ็ดตระกูลซูอยู่ในสายตา
แม้ว่าคุณชายเจ็ดตระกูลซูมักจะทำสีหน้ารังเกียจใส่ท่านหญิงของพวกนาง แต่นางกลับรู้เช่นกันว่า แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ท่านหญิงของพวกนางกลับสมัครใจยอมรับความเจ็บปวดนี้!
นางที่เป็นข้ารับใช้คนหนึ่ง วาจาของนางไม่มีน้ำหนัก ดังนั้นจึงทำได้เพียงแค่ให้กำลังใจท่านหญิงในใจเงียบๆ!
ในขณะเดียวกันก็รู้สึกรังเกียจคุณชายเจ็ดตระกูลซูมากยิ่งขึ้น
ท่านหญิงของพวกนางงดงามราวเทพเซียน ไม่รู้ว่าตาของซูจิ่นหันผู้นี้ถูกสิ่งใดบดบังเอาไว้
ไม่เห็นความดีของท่านหญิงนั้นไม่เอ่ยถึง ไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ต่อท่านหญิงพวกนางนั้นไม่ต้องกล่าวถึง ครั้งที่แล้วยังจงใจโยนท่านหญิงลงสระบัวด้วย…สมควรตายจริงๆ!
สมควรตายเป็นหมื่นครั้ง!
สูญเสียสิ่งที่อยู่ในกำมือไปโดยไม่คาดฝัน?! ซูซูได้ยินปี้เอ๋อร์เอ่ยเช่นนี้ ในใจก็สับสนวุ่นวายทันที
ซูชีต้องหนีไปแล้วแน่นอน! จะต้องใช่แน่ๆ!
ในวันแต่งงานของมั่วเชียนเสวี่ย นางเห็นคำอวยพรและความเศร้าโศกจากการตัดขาดเยื่อใยในสายตาของซูชี! ตอนนั้นในใจนางก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีแล้ว!
ซูชีคนผู้นี้เหมือนกับตนเอง ล้วนเป็นคนดื้อรั้นหัวแข็ง!
วันแต่งงานของมั่วเชียนเสวี่ย ส่งผลกระทบรุนแรงต่อซูชีไม่น้อย หากว่าเขารับไม่ไหว ก็จำเป็นต้องเลือกที่จะจากไป!
แต่กลับคิดไม่ถึงว่า…จะมาถึงเร็วขนาดนี้ ยังไม่ได้ฉลองปีใหม่ ก็หนีไปแล้ว?!
นางนั่งไม่ติดอีกแล้ว รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ เร่งฝีเท้าเดินออกจากห้อง แล้ววิ่งออกไปอย่างเร่งรีบ!
ปี้เอ๋อร์เห็นสภาพเช่นนี้ของท่านหญิงพวกนาง สุดท้ายก็ถอนหายใจจนปัญญาไปครั้งหนึ่ง
แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าความรู้สึกคืออะไร ความรักคืออะไร แต่เห็นท่านหญิงของพวกนางได้รับความไม่เป็นธรรมเพราะสองคำนี้แล้ว ในใจปี้เอ๋อร์ก็เริ่มรู้สึกหวาดกลัว!
ซูซูซอยเท้าวิ่งไปยังเรือนจิ่่งซื่อจื่ออย่างรวดเร็ว คาดว่าตอนนี้เขาต้องอยู่ที่ห้องหนังสือแน่นอน นางผลักประตูเข้าไปทันที โดยไม่แม้แต่จะส่งเสียงทักทาย!
“พี่ใหญ่ ซูชีเป็นอะไรหรือ เขาหนีไปแล้วใช่หรือไม่!”
ตอนนี้จิ่่งซื่อจื่อกำลังหารือเรื่องทหารที่ชายแดนกับน้องรอง เมื่อได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้นมอง จึงเห็นสีหน้าท่าทางวิตกกังวลของน้องสาวสุดที่รักของพวกเขา
จิ่่งซื่อจื่อถอนหายใจระคนปวดใจ
น้องสาวของเขา ทั้งบนและล่างในจวนอ๋อง มีผู้ใดไม่รักทะนุถนอมนางราวกับของล้ำค่า และเอาใจนางบ้าง
ทว่าซูชีที่ตาไร้แววผู้นั้นมักจะทำร้ายหัวใจน้องสาวเขา!
เพียงแค่คิดถึงเรื่องนี้ เขาก็เดือดดาลยิ่งนัก!
“ซูซูเด็กดี มานั่งข้างพี่ตรงนี้” เขาค่อยๆ ลดโทสะในใจลง แล้วกวักมือ เอ่ยวาจาด้วยเสียงอ่อนโยนกับซูซู
“พี่ใหญ่!” ซูซูโมโหจนขยี้เท้า!
เมื่อครู่ไม่ใช่ให้ปี้เอ๋อร์รีบมาแจ้งนางหรือ เหตุใดตอนนี้กลับไม่รีบร้อนเสียแล้ว พี่ชายไม่รู้หรือว่า ตอนนี้ในใจนางร้อนรนเพียงใด
“ซูซู! เด็กดี มานี่” เสียงของจิ่่งซื่อจื่อเข้มขึ้นเล็กน้อย ไม่ค่อยพอใจต่อท่าทีที่ร้อนรนของน้องสาวอยู่บ้าง!
เจ้าเด็กนั่นมีอะไรดีกัน ทั้งชั่วร้าย ทั้งหัวแข็ง พวกเขาจวนจิ่งชินอ๋องได้หยิบยื่นไมตรีให้แล้ว เจ้าเด็กนี่ถึงกับไม่รับ!
ไม่รับเอาไว้ก็ช่างเถอะ น้องสาวเพิ่งจะกลับมา เขาก็หนีไปเงียบๆ อีกแล้ว!
เห็นน้องสาวเขาเป็นสตรีชั่วร้ายที่แต่งไม่ออก แล้วต้องตามตื๊อเขาคนเดียวหรือไง!
ทำให้เขาโมโหแทบตายจริงๆ!
พี่รองกูอี้เฉินไม่รู้มูลเหตุของเรื่องนี้ จู่ๆ เห็นเหตุการณ์ที่พี่ชายใกล้จะบันดาลโทสะใส่น้องสาวในเร็วๆ นี้ก็ตะลึงอยู่บ้าง
“พี่ใหญ่ เกิดเรื่องอันใดหรือ เหตุใดท่านจึงได้โมโหน้องเล็กมากขนาดนี้”
เขาขมวดคิ้วมองพี่ใหญ่ พลางถามด้วยความสงสัยหลังจากเอ่ยจบก็หันไปหาน้องสาวของตนเอง น้ำเสียงแฝงความเข้มงวด
“น้องเล็ก! ใครอนุญาตให้เจ้าเอ่ยวาจาเช่นนี้กับพี่ใหญ่ มารยาทที่ร่ำเรียนมาในหลายปีนี้หายไปไหน ยังไม่รีบขอโทษพี่ใหญ่อีก!”
แม้น้ำเสียงจะเข้มงวด แม้จะกล่าวด้วยท่าทีเอาจริงเอาจังมาก แต่คิ้วกลับเลิกขึ้น ส่งสายตาบอกใบ้เป็นนัยๆ ให้กับท่านหญิงซูซู
เจ้าไม่อาจขัดใจพี่ใหญ่ไปเสียทุกเรื่อง! เจ้าไม่รู้นิสัยของพี่ใหญ่หรือไง เขาชอบให้ใช้ไม้อ่อน!
ท่านหญิงซูซูย่อมรู้อยู่แล้ว
เมื่อครู่นางก็แค่ร้อนใจ จึงลืมไปว่าพี่ใหญ่เป็นคนที่จำเป็นต้องตอบสนองความต้องการผู้อื่น
แต่…แม้ว่าตอนนี้จะให้นางขอโทษจิ่่งซื่อจื่อ นางก็อ้าปากเอ่ยไม่ออก
นางเบ้ปาก ยืนนิ่งๆ ไม่ขยับอยู่ตรงนั้นอย่างไม่ยินยอมอยู่บ้าง โดยไม่สนใจคำเตือนและสายตาของพี่รอง
“น้องเล็ก!” กูอี้เฉินเห็นท่าทางดื้อรั้นของน้องสาวก็ร้อนใจขึ้นมาทันที น้ำเสียงจึงเข้มงวดขึ้นหลายส่วนอย่างอดไม่ได้
“พอแล้ว!” เมื่อจิ่่งซื่อจื่อได้ยินน้ำเสียงเข้มงวดของน้องรอง สุดท้ายก็รู้สึกสงสารน้องสาว ไม่อาจแข็งใจมองน้องสาวถูกผู้อื่นตำหนิ จึงส่งเสียงออกมาไกล่เกลี่ย
คนที่โมโหมากที่สุดคือเขา แต่สุดท้ายคนที่น้ำเสียงอ่อนลงกลับเป็นเขาเช่นกัน!
จิ่่งซื่อจื่อรู้สึกจนปัญญาอย่างลึกซึ้ง คนที่บ้าน้องสาวอะไรนี่ น่าเสียใจที่สุด
กูอี้เฉินที่อยู่อีกด้านแอบหัวเราะ…
เขารู้อยู่แล้วว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าน้องเล็ก พี่ใหญ่ก็เป็นแค่เสือกระดาษตัวหนึ่ง อย่ามองท่าทางที่เฉียบขาดราวกับภูเขาน้ำแข็งเมื่อครู่นี้ ขอเพียงแค่น้องเล็กมีท่าทีเสียใจเป็นทุกข์เพียงเล็กน้อย คนที่จะยกธงยอมแพ้ก่อนใคร จะต้องเป็นเขาแน่นอน!
เอ่อ…
แม้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าน้องเล็ก เขากับน้องสามล้วนเป็นเสือกระดาษเหมือนกัน แต่ใครให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นน้องเล็กกัน พวกเขายินยอม!
เขามองแล้วพลันยกนิ้วโป้งให้น้องเล็ก เป็นการชื่นชมน้องเล็กร้อยครั้ง!
ท่านหญิงซูซูที่ก้มหน้าเหลือบไปเห็นความเคลื่อนไหวของพี่รอง อารมณ์ที่หม่นหมองทุกข์ใจก็แจ่มใสขึ้นมากทันที