ในห้องปีกทางทิศตะวันออกของเรือนหลัก ถึงแม้ว่าจะมีบ่าวรับใช้ยืนอยู่ แต่บรรยากาศกลับเงียบสงัดจนได้ยินเสียงเข็มตก
สืออีเหนียงนั่งข้างเตียงจิ่นเกอ
“เจ็บตรงไหน” นางพูดด้วยสีหน้าเป็นห่วง แต่น้ำเสียงกลับอ่อนโยนและหนักแน่น
ใบหน้าที่ขาวราวกับหยกของจิ่นเกอรื้นไปด้วยน้ำตา เขาชี้ไปที่ขาแล้วพูด “เจ็บตรงนี้ขอรับ!”
สืออีเหนียงแตะกางเกงของเขา
จิ่นเกอตะโกน “ท่านแม่ เจ็บขอรับ!”
สืออีเหนียงเป็นกังวล นางพับกางเกงของเขาขึ้นไปบนต้นขาอย่างเบามือ
ผิวที่เนียนและขาวสะอาด ไม่มีรอยอะไรเลยแม้แต่น้อย
ไม่ใช่แผลข้างนอก…
สืออีเหนียงคิดว่าช่วงนี้จิ่นเกอฝึกย่อเข่ากับอาจารย์ผัง
หรือว่าปวดกล้ามเนื้อเพราะออกกำลังกายอย่างกะทันหัน?
นางแตะขาจิ่นเกอเบาๆ “เจ็บหรือว่าปวด?”
จิ่นเกอตอบไม่ได้
สวีลิ่งอี๋บุกเข้ามาพร้อมกับลมหนาว
“เจ็บตรงไหน เชิญท่านหมอมาแล้วหรือยัง ตอนนี้ยังเจ็บอยู่หรือไม่” เขาพูดอย่างรวดเร็ว แต่น้ำเสียงกลับชัดเจน เขาพูดเบาๆ แต่กลับมีกลิ่นอายของความน่าเกรงขาม พูดพลางนั่งลงบนเก้าอี้แล้วมองดูขาของจิ่นเกอ จากนั้นก็บอกหงเหวินที่มีสีหน้าหวาดกลัวอยู่ข้างๆ ว่า “ไปเรียกหวงเสี่ยวเหมากับหลิวเอ้อร์อู่เข้ามา!”
หงเหวินขานรับแล้วเดินออกไป
“ส่งคนไปเชิญท่านหมอมาแล้วเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงรีบพูด “ไม่แตะก็ไม่เจ็บ แต่แตะมันก็เจ็บ ท่านโหวคิดว่า หรือเป็นเพราะว่าฝึกย่อเข่า?”
สวีลิ่งอี๋เป็นคนฝึกศิลปะการต่อสู้มาก่อน เขาน่าจะรู้เรื่องพวกนี้ดี!
“ไม่น่าจะใช่!” สวีลิ่งอี๋พูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม แต่กลับมองดูบุตรชายด้วยสายตาที่เป็นห่วง เผยให้เห็นความรู้สึกของเขาตอนนี้ “อาจารย์ผังเคยสอนเด็กที่อายุน้อยกว่าจิ่นเกอ เขามีประสบการณ์” ในขณะที่เขากำลังพูด หงเหวินก็พาหวงเสี่ยวเหมาและหลิวเอ้อร์อู่เข้ามา
พวกเขาทั้งสองคนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ต่างก็มีท่าทีเป็นกังวล สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงล้วนอยู่ที่นี่ พวกเขาทั้งสองคนโค้งคำนับเสร็จแล้วก็เขย่งเท้ามองจิ่นเกออย่างไม่เก็บอาการ
“คุณชายน้อยหกบอกว่าเจ็บขา” สวีลิ่งอี๋มองพวกเขาสองคนอย่างนิ่งเฉย แต่ความน่าเกรงขามของเขายังคงทำให้พวกเขาทั้งสองคนตัวสั่น “คุณชายน้อยหกไปหกล้มที่ไหนหรือไม่”
หวงเสี่ยวเหมากับหลิวเอ้อร์อู่ครุ่นคิด หลิวเอ้อร์อู่พูดขึ้นว่า “บ่าวอยู่กับคุณชายน้อยหกทุกวัน สองสามวันนี้คุณชายน้อยหกไม่อยู่ที่เรือนซิ่วมู่ก็อยู่ที่เรือนของฮูหยิน ไม่ได้ไปไหนขอรับ…” พูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา
มีหัวเล็กๆ ยื่นออกมาจากผ้าม่าน จากนั้นก็หดกลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“เป็นเช่นไรบ้าง” ฉังอานที่อยู่นอกม่านกระซิบถามน้องชายตัวเองเบาๆ
ฉังซุ่นเอ่ยตอบ “คุณชายน้อยหกไม่ได้ร้องไห้ ท่านโหวและฮูหยินอยู่กับคุณชายน้อยหกขอรับ!”
ไม่ร้องไห้ เช่นนั้นก็หมายความว่าไม่เจ็บ!
ฉังอานถอนหายใจ
เขาไม่ไว้หน้าคุณชายน้อยหก ถึงแม้ว่าฮูหยินจะบอกว่าเขาทำถูก แล้วยังให้ตัวเองและน้องชายเข้ามาทำงานในจวน แต่ปู่ของเขากลัวว่าคุณชายน้อยหกจะไม่ชอบหน้าเขา แต่คิดไม่ถึงว่าคุณชายน้อยหกไม่เพียงแต่เป็นมิตรกับเขาเหมือนหวงเสี่ยวเหมาและหลิวเอ้อร์อู่ อีกทั้งยังไม่เคยกลั่นแกล้งเขา
ฉังอานครุ่นคิด จับมือน้องชายกำลังจะเดินออกไป แต่กลับเห็นว่าในมือของน้องชายมีลูกกวาดอยู่
ฉังซุ่นพูดกับพี่ชายตัวเอง “กินลูกกวาดก็ไม่เจ็บแล้ว!”
ฉังอานยิ้ม
คุณชายน้อยหกใจดีกับฉังซุ่นเป็นอย่างมาก
จะว่าไปแล้ว คุณชายน้อยหกเองก็เป็นคนดีคนหนึ่ง!
เขาเอ่ยปากชมน้องชายตัวเอง “ฉังซุ่นรู้ความที่สุด!”
มีบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามา “รีบไปรายงานท่านโหวและฮูหยิน บอกว่าหมอหลิวของสำนักหมอหลวงมาแล้ว!”
สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ เปิดม่านเข้าไป
บ่าวรับใช้ต่างหลบไปอยู่หลังม่านกันลม สืออีเหนียงลุกขึ้นยืนอยู่ข้างเตียง เหลือที่ให้จิ่นเกอตรวจชีพจร
หมอหลิวเหลือบมองสวีลิ่งอี๋ เห็นสีหน้าของเขาปกติก็รีบจับชีพจรจิ่นเกอ
“ชีพจรของคุณชายน้อยหกมั่นคงและมีแรงดีขอรับ…” จากนั้น หมอหลิวก็พูดเบาๆ “ไม่มีอะไรผิดปกติ หรือว่าจะเชิญหมอหลวงเซี่ยมาดู เขาเชี่ยวชาญเรื่องการดูเด็กน้อย”
สวีลิ่งอี๋รีบบอกให้คนไปเชิญหมอหลวงเซี่ย หมอหลวงเซี่ยดูอยู่ตั้งนาน เขาก็รู้สึกว่าชีพจรปกติ มองไปที่สวีลิ่งอี๋ที่มีสีหน้ามืดมน เขาก็แนะนำหมอหลวงอู๋ หมอหลวงอู๋แนะนำหมอหลวงข่ง...ท่านหมอของสำนักหมอหลวงเข้าๆ ออกๆ จวนราวกับสายน้ำไหล
สืออีเหนียงนั่งอยู่ข้างเตียงจิ่นเกอ นางคุยกับจิ่นเกอ แต่ในใจกลับไม่สบาย นางนึกถึงโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคกระดูกข้อเสื่อมที่นางรู้จักเมื่อชาติก่อน นางเกลียดที่ยุคนี้ไม่มีอัลตร้าซาวน์คลื่นความถี่สูง นางเกลียดที่ตอนนั้นตัวเองไม่เรียนด้านการแพทย์…
ไท่ฮูหยินและฮูหยินสองที่ได้ยินข่าวก็มาหาจิ่นเกอพร้อมกัน
เห็นจิ่นเกอที่ชอบกระโดดโลดเต้นนอนซมอยู่บนเตียง ไท่ฮูหยินเดินเข้าไปนั่งข้างเตียงด้วยน้ำตาคลอเบ้า
ฮูหยินสองเห็นสืออีเหนียงใจลอย จึงถามเซี่ยงซื่อที่ไปรายงานนาง
เมื่อรู้ว่าหมอหลวงตรวจไม่เจออะไร ฮูหยินสองจึงจับชีพจรให้จิ่นเกอ
“เป็นเช่นไรบ้าง” ไท่ฮูหยินมองฮูหยินสองด้วยสายตาที่มีความหวัง
“ชีพจรมั่นคงและมีแรงดีเจ้าค่ะ…” ฮูหยินสองลังเล “ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร…”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ นางก็ลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนเรียกป้าตู้ทันที “เร็วเข้า ช่วยเตรียมชุดราชสำนักให้ข้า ข้าจะเข้าไปพระราชวัง ไปถามฮองเฮาว่ามีวิธีหรือไม่!”
“หมอหลวสองสามท่านล้วนบอกว่าไม่เป็นอะไรขอรับ!” สวีลิ่งอี๋รีบพูด “ให้เขานอนพักสักวันหนึ่งแล้วค่อยดูอาการ ท่านอย่าทำให้ฮองเฮาเป็นห่วงเลย!”
“แต่ข้ากลัวโรคที่จะมากะทันหัน” ไท่ฮูหยินนึกถึงการเสียชีวิตของคุณชายสอง “เราจะปล่อยไว้เช่นนี้ไม่ได้” นางยืนกรานที่จะเข้าไปในพระราชวัง
เซินเกอไปที่เรือนซิ่วมู่ เขาถึงรู้ว่าจิ่นเกอไม่สบาย
เขาจะไปหาจิ่นเกอ ทันทีที่กลับเข้ามาในลาน ฮูหยินห้าก็อุ้มเฉิงเกอมาเยี่ยมจิ่นเกอ เขาเดินตามมารดาเข้ามาในห้อง
ไท่ฮูหยินและคนอื่นๆ พูดเรื่องอาการป่วยของจิ่นเกอเบาๆ เซินเกอไปคุยกับจิ่นเกอที่ข้างเตียง
“เช่นนั้นวันนี้ท่านก็ไปฝึกย่อเข่าไม่ได้แล้วหรือ”
จิ่นเกอพยักหน้า “ขาของข้าเจ็บ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะตามท่านทันแล้ว!” เซินเกอพูดอย่างพึงพอใจ “เมื่อวานท่านย่อเข่าไปห้าก้านธูป เมื่อวานข้าย่อเข่าไปสองก้านธูป วันนี้ย่อเข่าอีกสองก้านธูป พรุ่งนี้ย่อเข่าอีกสองก้านธูป… “ เขานับด้วยนิ้ว “ข้าก็จะมากกว่าท่านหนึ่งก้านธูป!” เขาพูดเสียงดัง
จิ่นเกอเบิกตากลมโตใส่เขา พูดด้วยท่าทีที่ไม่พอใจ “ฝากเอาไว้ก่อนเถิด หากข้าหายดีแล้ว ข้าจะย่อเข่าวันละหกก้านธูป วันเดียวก็ตามเจ้าทันแล้ว!”
การทะเลาะกันของเด็กทั้งสองคนดึงดูดความสนใจของบรรดาผู้ใหญ่
“เซินเกอ” สืออีเหนียงนั่งยองๆ ลงด้านหน้าเซินเกอ “เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ” สายตาของนางมีความคาดหวัง สีหน้าของนางดูเป็นมิตรขึ้นมา “เจ้าย่อเข่าไปสองก้านธูป จิ่นเกอย่อเข่าไปห้าก้านธูปเช่นนั้นหรือ…”
เซินเกอหน้าแดง เขาเหลือบมองฮูหยินห้าด้วยสายตาที่มีความหวาดกลัว เห็นฮูหยินห้าทำท่าทีตั้งใจฟังตัวเอง เขาจึงพูดว่า “ข้าย่อเข่าได้น้อยที่สุด…พี่หกย่อเข่าได้มากที่สุด…มากกว่าที่อาจารย์กำหนดเอาไว้เสียอีกขอรับ!”
“จริงหรือ!” ราวกับแสงสว่างในความมืด สืออีเหนียงแอบมีความหวังในใจ นางถามจิ่นเกอ “เมื่อวานเจ้าย่อเข่านานมากอย่างนั้นหรือ”
จิ่นเกอพยักหน้าแล้วพูดเสียงดัง “ข้าย่อเข่านานกว่าหวงเสี่ยวเหมาและหลิวเอ้อร์อู่ตั้งหนึ่งก้านธูป ขอรับ”
สวีลิ่งอี๋เองก็ได้สติกลับมา เขาไม่ระวังเหมือนเมื่อครู่ แต่กลับนวดขาจิ่นเกอโดยไม่สนใจว่าจิ่นเกอจะร้องโอดครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วปล่อยมือ จากนั้นก็พูดอย่างนิ่งสงบ “เจ้าลองดูว่าขยับขาได้หรือไม่”
จิ่นเกอเหยียดขาออกมาด้วยความสงสัย
“ไม่เจ็บเหมือนเมื่อครู่แล้ว” เขาตกใจ “ท่านแม่ ข้าไม่เจ็บเหมือนเมื่อครู่แล้ว” จากนั้นก็มองไปที่ไท่ฮูหยิน “ท่านย่าขอรับ!”
ทุกคนต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี!” ไท่ฮูหยินจับมือจิ่นเกอด้วยความดีใจ
เขายังเด็กเกินไป แล้วยังเป็นมือใหม่ ย่อเข่านานเกินไป ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้ร่างกายแข็งแรง แล้วยังเป็นการทำร้ายร่างกาย
“เหลวไหลสิ้นดี!” สวีลิ่งอี๋สีหน้าเคร่งขรึม เขาเรียกหวงเสี่ยวเหมากับหลิวเอ้อร์อู่เข้ามาสอบถาม “เกิดอะไรขึ้น”
พวกเขาสองคนก้มหน้าลง “อาจารย์ผังไม่ให้คุณชายน้อยหกย่อเข่าต่อ แต่คุณชายน้อยหกจะย่อเข่าต่อให้ได้ขอรับ…”
ไท่ฮูหยินนึกขึ้นมาได้ว่าอาจารย์ผังคนนี้คือคนที่หลานเขยใหญ่แนะนำมา ถึงแม้ว่านางลังเลที่จะพูด แต่สีหน้าของนางกลับมีความไม่พอใจ
สืออีเหนียงยังคงตกอยู่ในความยินดีที่บุตรชายของตัวเองไม่เป็นอะไร นางไม่ได้สังเกตเรื่องพวกนี้ นางอุ้มจิ่นเกอแล้วหอมเขา “เจ้าเด็กดื้อ ใครจะทานข้าวแค่หนึ่งคำก็กลายเป็นคนอ้วน เจ้าต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ต่อไปเจ้าต้องเชื่อฟังอาจารย์ผัง จะทำอะไรตามใจตัวเองไม่ได้ ตอนนี้รู้แล้วใช่หรือไม่!”
จิ่นเกอหลบอยู่ในอ้อมแขนของสืออีเหนียง
สวีลิ่งอี๋ช่วยนวดขาให้เขา
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว!” สืออีเหนียงมีบุตรเพียงคนเดียว หากเขาเป็นอะไรไป นางจะทำเช่นไร ฮูหยินห้าถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ข้าจะบอกให้คนไปรายงานคุณชายห้า เขาจะได้สบายใจเจ้าค่ะ” จากนั้นนางก็กำชับสาวใช้ให้ส่งบ่าวรับใช้ชายไปรายงานสวีลิ่งควน สวีลิ่งควนจะได้ไม่เป็นห่วง
เซี่ยงซื่อรีบยกชาร้อนให้สืออีเหนียง “ท่านแม่ดื่มชาร้อนสักถ้วยเถิด!” จากนั้นก็ประคองนางไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ
สวีซื่อจุนได้ยินข่าวก็รีบมาหาจิ่นเกอ
เห็นสวีลิ่งอี๋กำลังนวดขาให้จิ่นเกอ เขาก็ยืนอยู่ข้างๆ อย่างนอบน้อม
สืออีเหนียงดื่มชา รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย เห็นสวีซื่อจุนยืนอยู่คนเดียว นางรู้สึกไม่ค่อยชินตา จึงถามเขาว่า “เหตุใดถึงไม่เห็นเจี้ยเกอ”
สวีซื่อจุนตอบด้วยรอยยิ้ม “ยามเที่ยงยังกลับมาด้วยกัน ข้าบอกให้เขาอยู่ทานข้าวที่เรือนของข้า เขาบอกว่าจะกลับไปท่องหนังสือที่เรือน ยามบ่ายก็ไม่ได้ไปเรือนซวงฝู ข้าให้คนไปเรียกเขาแล้วขอรับ!”
“ในเมื่อเขากำลังท่องหนังสือ เช่นนั้นก็ไม่ต้องเรียกเขาก็ได้!” สืออีเหนียงพูด “การเรียนเป็นเรื่องสำคัญ! ประเดี๋ยวก็จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว”
หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ สวีซื่อเจี้ยก็จะมาคารวะสืออีเหนียง
ในเมื่อจิ่นเกอไม่ได้เป็นอะไรมาก…สวีซื่อจุนจึงบอกปี้หลัว
เมื่อถึงตอนเย็น สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยมาหาจิ่นเกอด้วยกัน สวีลิ่งอี๋ไม่อยู่ที่นี่ สวีซื่อจุนจึงมองดูจิ่นเกอแล้วหัวเราะจนจิ่นเกอเก้อเขิน เขามุดหัวเข้าไปในอ้อมแขนของสืออีเหนียง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วลูบหัวบุตรชายอย่างเบามือ “เอาล่ะ พรุ่งนี้อย่าลืมไปขอบคุณท่านย่า ท่านป้าสองและท่านอาสะใภ้ห้า”
จิ่นเกอขานรับ “ขอรับ” เบาๆ
สวีซื่อจุนยังอยากหยอกล้อเขาต่ออีก แต่สวีลิ่งอี๋กับสวีลิ่งควนเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “หากเปลี่ยนอาจารย์ คนที่มาก็คงจะถามเหตุผลที่อาจารย์ผังออกไปแน่นอน ถึงตอนนั้นเขาคงจะไม่กล้าสอนเด็กๆ ไม่สู้พูดกับอาจารย์ผังให้ชัดเจน เขารู้เจตนาของข้าแล้วก็จะได้รู้ว่าควรสอนเด็กๆ เช่นไร…”
ความสนใจของสวีลิ่งควนอยู่ที่จิ่นเกอ เขาพยักหน้าให้พี่ชายตัวเองส่งๆ จากนั้นก็ยิ้มแล้วเรียกจิ่นเกอ “ไอ๊หยา จิ่นเกอของเราอายอย่างนั้นหรือ!”
เมื่อเทียบกับสวีลิ่งอี๋ เขาใจดีและร่าเริงกว่ามาก ทำให้เด็กๆ ล้วนชื่นชอบเขา
จิ่นเกอหันหน้าไปเรียก “ท่านอาห้า” เบาๆ
“เป็นเช่นไรบ้าง ขายังเจ็บอยู่หรือไม่” สวีลิ่งควนนั่งยองๆ ข้างเตียงแล้วมองจิ่นเกอ “หากหายดีแล้ว อาห้าจะพาเจ้าไปพายเรือ!”
สายตาของจิ่นเกอเป็นประกาย แต่กลับหม่นลงทันที เขาส่ายหน้าเบาๆ “หายดีแล้วข้าต้องไปฝึกย่อเข่า ไม่เช่นนั้นข้าจะตามหวงเสี่ยวเหมากับหลิวเอ้อร์อู่ไม่ทัน!”