“ท่านพ่อ!” ดวงตาของจิ่นเกอลุกวาวขึ้นมาทันที
“เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ตรงนี้” สวีลิ่งอี๋แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง “ฝนตกหนักขนาดนี้ หากตากฝนจนป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไร รีบเข้าเรือนเร็วเข้า”
จิ่นเกอที่กำลังกระโดดโลดเต้นไปจูงมือของบิดา จู่ๆ ก็สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที “ข้า…ข้าไม่เข้าไป! ท่านแม่บอกว่าหากข้าไม่ไปกล่าวขอโทษอาจารย์ผัง ก็จะไม่เจอหน้าข้า!” พูดจบเขาก็สะบัดมือของสวีลิ่งอี๋ออก พลางพูดขึ้นเสียงดังว่า “ข้าไม่ไปขอรับ ข้าโดนกักบริเวณไปแล้ว เหตุใดข้าถึงยังต้องไปกล่าวขอโทษท่านอาจารย์ผังอีก ข้าไม่ไป!”
เขาเองได้ฟังความเป็นมาของเรื่องนี้แล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยกับวิธีการของสืออีเหนียง แต่สืออีเหนียงได้ลั่นวาจาออกไปแล้ว หากว่าเขามีความคิดคนละอย่างกับสืออีเหนียง เด็กก็จะสับสนไม่รู้ว่าควรฟังใครดี
แต่เขารู้สึกแปลกใจกับท่าทีที่เด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ของจิ่นเกอเป็นอย่างมาก
ลมโชยพัดผ่าน เม็ดฝนโปรยปราย พลอยทำให้เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปหมด
“เจ้าเล่าให้พ่อฟังหน่อย ว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร” สวีลิ่งอี๋ถามขึ้นพลางเดินไปยังทิศทางใต้ชายคา
“ท่านแม่ให้ข้าไปกล่าวขอโทษอาจารย์ผัง” จิ่นเกอพูดเรื่องนี้กับสวีลิ่งอี๋ เขาเดินตามหลังสวีลิ่งอี๋อย่างช้าๆ “…ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่ไปเด็ดขาด!” เขาเม้มริมฝีปากแน่นด้วยสีหน้าท่าทีที่แน่วแน่ จากนั้นก็ไปยืนอยู่ที่ใต้ชายคา
“แต่สิ่งที่แม่เจ้าพูดมานั้นมีเหตุผล!” สวีลิ่งอี๋ใช้แขนเสื้อช่วยบุตรชายเช็ดใบหน้าที่เต็มไปด้วยเม็ดฝน จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “เจ้าทำผิด ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องไปกล่าวขอโทษอยู่ดี เชื่อพ่อ ไปกล่าวขอโทษแม่ของเจ้าเสีย ป่านนี้แม่ของเจ้าไม่รู้ว่าเสียใจไปถึงไหนต่อไหนแล้ว!”
เมื่อได้ยินว่าให้ไปกล่าวขอโทษมารดา แต่กลับไม่ได้พูดถึงเรื่องไปกล่าวขอโทษอาจารย์ผังกับมารดา จิ่นเกอก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที
แม้แต่ท่านพ่อก็ไม่ได้สั่งให้ไปกล่าวขอโทษอาจารย์ผัง
เขาจึงรู้สึกได้ใจขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็รีบขานรับด้วยความดีใจ “ขอรับ”
สวีลิ่งอี๋ลูบศีรษะของบุตรชายด้วยความเอ็นดู
ฝ่ามือของเขาอบอุ่นและหนักแน่น พลอยทำให้จิ่นเกอรู้สึกปลอดภัยเป็นอย่างมาก เขาอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้กับบิดา
เมื่อเห็นใบหน้าน้อยๆ ของบุตรชายมีรอยยิ้ม สวีลิ่งอี๋ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม รอยยิ้มของเขาดูอ่อนโยนกว่าปกติเป็นอย่างมาก
เวลานั้นเองก็มีเสียงเปิดประตูดังขึ้น บรรยากาศความอบอุ่นเมื่อครู่นี้ถูกทำลายไปอย่างสิ้นเชิง
สองพ่อลูกพากันหันไปมองพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ก็เห็นสืออีเหนียงกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
“ท่านโหวกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ!” สืออีเหนียงไม่ได้ชายตามองจิ่นเกอแม้แต่นิดเดียว นางหันไปสั่งกับสาวใช้ว่า “คราวหลังหากว่าฝนตกหนักขนาดนี้…ไปตักน้ำมาให้ท่านโหวล้างหน้าล้างตาก่อนเถิด!”
ท่านโหวเป็นคนออกหน้าช่วยคุณชายน้อยหก ไม่ว่าอย่างไรฮูหยินก็จะต้องไว้หน้าท่านโหวอยู่แล้ว ฮูหยินจึงไม่ได้ซักถามอะไรต่อ เรื่องนี้จึงเงียบไปในที่สุด
สาวใช้น้อยขานรับเสียงใส “เจ้าค่ะ” น้ำเสียงเจือปนไปด้วยความดีใจ
สวีลิ่งอี๋เองก็คิดเช่นนี้
เขายิ้มพลางจูงมือของจิ่นเกอเดินเข้าไปในห้องโถง
“ท่านโหวช้าก่อนเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงเรียกเขาด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย แต่แฝงไปด้วยความเย็นเยียบ “เมื่อครู่นี้ข้าให้จิ่นเกอไปกล่าวขอโทษอาจารย์ผังกับข้า…” นางยืนอยู่หน้าประตู ตัดสินใจพูดเรื่องนี้กับสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋หันมามองนางด้วยสีหน้าท่าทีที่ตั้งใจฟัง จากนั้นก็บีบมือน้อยๆ ของจิ่นเกอเบาๆ ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย
จิ่นเกอเข้าใจได้ในทันที
“ท่านแม่!” เขาเงยหน้าขึ้นมามองสืออีเหนียง ตาหงส์กลมโตใสแจ๋วราวกับน้ำที่ใสสะอาดก็ไม่ปาน จนสืออีเหนียงแทบจะเห็นเงาของตัวเองสะท้อนในดวงตาของเขา “ข้าจะเชื่อฟังท่านแม่ ข้าจะไม่ทำให้ท่านแม่โมโหอีกแล้วขอรับ”
เมื่อครู่นี้ยังอารมณ์เสียใส่จู๋เซียงอยู่เลย สวีลิ่งอี๋พูดกับเขาเพียงไม่กี่คำ ก็สามารถทำให้เขายอมรับผิดได้…หรือเพราะคนที่พูดไม่ใช่คนคนเดียวกัน ผลลัพธ์จึงแตกต่างกัน
สืออีเหนียงค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจ แต่เมื่อเห็นบุตรชายยอมรับผิดเช่นนี้ หว่างคิ้วของนางก็ปรากฏรอยยิ้มบางๆ ขึ้นมา “ดีแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ตามแม่ไปกล่าวขอโทษกับอาจารย์ผัง!”
รอยยิ้มของจิ่นเกอพลันแข็งทื่อไปทันที
เขาเอียงศีรษะหันไปมองสวีลิ่งอี๋ สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
สวีลิ่งอี๋เห็นแล้วก็กระแอมขึ้นมาเบาๆ จากนั้นก็พูดขึ้นเสียงเบาว่า “ฝนตกหนักขนาดนี้…”
หมายความว่าอย่างไร ไม่ต้องพูดก็เข้าใจได้อย่างชัดเจน!
ความโกรธของสืออีเหนียงปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
มิน่าเล่าจิ่นเกอถึงได้เปลี่ยนไปเร็วขนาดนี้ ที่แท้แล้วก็เป็นเพราะสวีลิ่งอี๋ให้ท้ายนี่เอง
“ท่านโหวหมายความว่าฝนกำลังตกหนัก รอฝนหยุดก่อนแล้วค่อยไป หรือว่าไม่จำเป็นต้องกล่าวขอโทษ ก็เลยไม่จำเป็นต้องไป” สืออีเหนียงจ้องมองสวีลิ่งอี๋ตาเขม็ง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกดดัน
สวีลิ่งอี๋เริ่มทำตัวไม่ถูกขึ้นมา เขาหันไปพูดกับจิ่นเกอว่า “เจ้ากลับเรือนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เนื้อตัวเปียกปอนไปหมดแล้ว”
จิ่นเกอเข้าใจความหมายของบิดาเสียที่ไหนกัน
เขายิ้มกว้างพลางคารวะบิดาและมารดาด้วยความเร่งรีบ จากนั้นก็หมุนตัวเตรียมจะวิ่งออกไปจากเรือนด้วยความลิงโลด
“หยุดประเดี๋ยวนี้!” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “เจ้าคิดได้แล้วหรือว่าเหตุใดแม่ถึงให้เจ้าไปกล่าวขอโทษกับอาจารย์ผัง ในเมื่อยังไม่เข้าใจ เจ้าก็ยืนพิจารณาตนต่อไปก็แล้วกัน คิดได้เมื่อไรก็ค่อยกลับเรือนเมื่อนั้น!”
จิ่นเกอตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ หน้าที่เชิดสูงเมื่อครู่นี้ก็คอตกทันที
เขาค่อยๆ หมุนตัวกลับมาอย่างช้าๆ จ้องมองสวีลิ่งอี๋ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง
สวีลิ่งอี๋รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
แต่งงานอยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นสืออีเหนียงโต้แย้งต่อคำพูดของเขาแบบนี้
เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น จากนั้นก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้อง จึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าหู่พั่ว จู๋เซียงและคนอื่นๆ ไม่ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้ในห้อง ในเรือนเงียบสนิท ไม่ได้ยินเสียงคนคุยกันเลย
คงเพราะเห็นพวกเขาขัดแย้งกัน ก็เลยพากันถอยออกไปจนหมดกระมัง!
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นเสียงเบาว่า “มีเรื่องอันใด ประเดี๋ยวค่อยมาคุยก็แล้วกัน! เจ้าให้จิ่นเกอกลับเรือนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน…”
สืออีเหนียงเลิกคิ้วขึ้นสูง
สวีลิ่งอี๋คงจะยังไม่เข้าใจถึงเจตนาที่แท้จริงของตนกระมัง!
เรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรพูดต่อหน้าเด็ก เมื่อนึกถึงสีหน้าที่ดีอกดีใจของจิ่นเกอเมื่อครู่นี้ เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นสวีลิ่งอี๋เป็นที่พึ่งพิง หากปล่อยจิ่นเกอไปทั้งอย่างนี้ วันข้างหน้าจิ่นเกอก็จะยิ่งไม่รู้จักกลัวอะไรเลย
เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้ว นางก็ตัดสินใจเลือกที่จะบอกความคิดของตนให้กับสวีลิ่งอี๋ฟัง
“ท่านโหว ท่านรู้สึกว่าจิ่นเกอเป็นคุณชายน้อยที่สง่าผ่าเผยของจวนหย่งผิงโหวใช่หรือไม่ เขาทำผิดเพราะไม่รู้ความ ในเมื่อได้ว่ากล่าวตักเตือนและลงโทษไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องไปกล่าวขอโทษกับอาจารย์ที่สอนวิชาหมัดมวยอย่างนั้นหรือ” ดูจากท่าทีของฮูหยินห้าและการกระทำของสวีลิ่งอี๋ที่ปฏิบัติต่อเรื่องนี้ สืออีเหนียงรู้สึกว่านางได้ทำความเข้าใจกับความคิดของสวีลิ่งอี๋มากพอแล้ว “แต่ท่านโหวเคยคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนหรือไม่ ว่าเหตุใดข้าถึงยืนกรานที่จะให้จิ่นเกอไปกล่าวขอโทษอาจารย์ผังให้ได้”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็อึ้งไป
สืออีเหนียงเป็นคนที่ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความใจกว้างเสมอมา แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ เขาเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน เป็นเพราะทั้งสองมีความเข้าใจผิดในเรื่องนี้หรืออย่างไรกัน
สีหน้าของเขาพลันเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
“ในตอนแรก ข้าก็แค่อยากจะสอนจิ่นเกอว่าควรจะจัดการกับความผิดของตัวเองอย่างไร แต่แล้ว ข้าก็สังเกตเห็นว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องขอโทษหรือไม่ขอโทษแล้ว” เฉกเช่นการกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ความเข้มงวดของลำดับชั้นทางสังคมนี้ ไม่มีผู้ใดสามารถตระหนักได้ลึกซึ้งไปกว่าสืออีเหนียงอีกแล้ว นางไม่เคยเลยสักครั้งที่คิดจะไปท้าทายหรือก้าวก่ายระบบกฎเกณฑ์ของสังคมในอดีตที่ผ่านมา และไม่เคยคิดที่จะให้บุตรของตนทำตัวแปลกแยกไปจากผู้อื่น โดดเดี่ยวเดียวดายอยู่ในสังคมนี้คนเดียว สืออีเหนียงเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่จิ่นเกอกระทำให้สวีลิ่งอี๋ฟัง “…ตอนที่จิ่นเกอเกิด พี่ชายและพี่สาวต่างก็เติบโตกันหมดแล้ว ช่วงนั้นท่านเองก็ว่างงานอยู่จวนพอดี ส่วนท่านแม่ก็ถึงช่วงอายุที่ต้องวางมือจากงาน อยู่บ้านหยอกล้อเล่นกับหลานๆ เขาจึงเติบโตขึ้นท่ามกลางความรักและความเอ็นดูของคนในครอบครัว ทุกสิ่งที่เขาได้ยินล้วนแล้วแต่เป็นคำพูดที่น่าฟัง ทุกสิ่งที่ได้เห็นเป็นไปตามที่ใจเขาต้องการทั้งสิ้น และเพราะเหตุนี้ ยิ่งอยู่เขาก็ยิ่งไม่รู้จักกลัว ท่านดูเอาเถิด ปีนี้เขาพึ่งจะอายุหกขวบ แม้แต่ข้าที่เป็นมารดา หากพูดในสิ่งที่เขาไม่ชอบก็จะไม่รับฟังเลย เห็นแค่นี้ก็รู้ถึงผลที่จะตามมาแล้ว อย่าว่าแต่เป็นผู้อื่นเลย! วันข้างหน้าหากเขาเติบโตขึ้น จะขนาดไหนกัน ข้าลงโทษไม่ให้เขาเข้าเรือน เขากลับเลือกที่จะยืนหยัดท่ามกลางลมฝนโดยที่ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่นิดเดียว!”
สืออีเหนียงพูดระบายออกมาชุดใหญ่ อารมณ์จิตใจของนางจึงสงบลงไม่น้อย
“ท่านโหว เวลาอยู่ในจวน จิ่นเกอเป็นคุณชายน้อยของจวนสกุลสวี แต่เวลาอยู่ข้างนอก เขาเป็นถึงบุตรชายของหย่งผิงโหว อยู่ในจวน เวลาที่เขากระทำความผิด เราที่เป็นบิดามารดาก็จะรู้สึกว่าเขาเป็นบุตรชายคนสุดท้อง ไม่จำเป็นต้องดูแลตระกูล ไม่ได้ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ ล้วนแล้วแต่สามารถให้อภัยได้ทั้งสิ้น พี่ชายและน้องชายเห็นเขาเป็นพี่น้อง จึงไม่ถือสาคิดเล็กคิดน้อย แม้กระทั่งตอนเขาทำความผิดแล้วถูกลงโทษก็ยังรู้สึกสงสารและเห็นใจ แต่ข้างนอกนั่นเล่า เหตุใดคนอื่นถึงต้องยอมให้อภัยเขา อดทนต่อเขาและเห็นอกเห็นใจเขาด้วยเล่า” เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางก็เรียกเขาเสียงเบา “ท่านโหว” น้ำเสียงที่ดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง “จิ่นเกอยโสโอหังเกินไปแล้ว ต้องรู้ว่าใต้หล้านี้ ไม่มีดินแดนไหนที่ไม่ใช่ขององค์ฮ่องเต้ และไม่มีขุนนางหรือแม่ทัพคนไหนที่ไม่ใช่ราษฎรของพระองค์”
สืออีเหนียงพูดจบ สวีลิ่งอี๋ก็สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
สำหรับเขาแล้ว บุตรชายเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม ร่าเริงสดใส จิตใจกล้าหาญ บางครั้งบางคราอาจจะซุกซนหรือดื้อรั้นไปบ้าง แต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง มีความคิดเป็นของตัวเอง กล้าทำกล้าแสดงออก
แต่ตอนนี้…
สายตาของเขาจับจ้องไปยังบุตรชาย
หยาดน้ำฝนที่เกาะอยู่บนเส้นผมของเขา เสื้อผ้าที่เปียกโชก ล้วนแล้วแต่กำลังตอกย้ำความดื้อรั้นและหัวแข็งของบุตรชาย
สืออีเหนียงพูดถูก เรื่องบางเรื่อง เขาก็ควรที่จะคิดพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วน
นิสัยใจคอของจิ่นเกอแข็งกร้าวเกินไปแล้ว
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าการที่บุตรชายถูกลงโทษไปแล้ว แต่ยังต้องไปกล่าวขอโทษกับอาจารย์ผังนั้นไม่ถูกต้อง แต่นี่เป็นคำสั่งมารดาของเขา เขากลับไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว อีกทั้งยังยืนหยัดที่จะต่อต้านมารดา…แม้ว่าจะเป็นถึงราชบุตรของฮ่องเต้ ก็ไม่สามารถทำทุกอย่างได้ตามอำเภอใจกระมัง! นับประสาอะไรกับแค่บุตรชายของหย่งผิงโหวเล่า
บางครั้ง แข็งทื่อเกินไปก็จะแตกหักได้ง่าย การมีทิฐิสูงจนเกินไปก็อาจจะนำพาเราไปสู่หนทางแห่งความอัปยศ
ถึงแม้ว่าจิ่นเกอจะไม่เข้าใจคำพูดที่มารดาพูดมาทั้งหมด แต่เขาดูออกว่าครั้งนี้มารดาของเขาโกรธเป็นอย่างมาก และการเงียบของบิดาพลอยทำให้เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มีแนวโน้มที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
เขาอดไม่ได้ที่จะขานเรียกบิดาด้วยน้ำเสียงที่เว้าวอน “ท่านพ่อ” จ้องมองสวีลิ่งอี๋ด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ
สวีลิ่งอี๋ไม่ใช่คนที่จิตใจโลเลไม่เด็ดขาด
เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็ตัดสินใจพูดขึ้นว่า “จิ่นเกอ เชื่อฟังคำพูดแม่ของเจ้าเสีย ไปกล่าวขอโทษอาจารย์ผัง!”
เมื่อเหตุการณ์เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน จิ่นเกอจึงจ้องมองบิดาด้วยความตกใจ แววตาเต็มไปด้วยความงุนงง
เวลานั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากนอกประตู ทำลายบรรยากาศที่เงียบงันนี้ไป
ทั้งสามหันไปมองพร้อมๆ กัน
อวี้ป่านช่วยกางร่ม ส่วนป้าตู้กำลังช่วยประคองไท่ฮูหยินเดินเข้ามาในเรือน
“เกิดอะไรขึ้น” หว่างคิ้วของไท่ฮูหยินเต็มไปด้วยความดุดัน จ้องมองสืออีเหนียงด้วยแววตาที่คมกริบ “จิ่นเกอถูกกักบริเวณมิใช่หรือ ฝนตกหนักขนาดนี้ เหตุใดพวกเจ้าถึงได้พากันมายืนอยู่นอกเรือน จิ่นเกอเนื้อตัวเปียกปอนเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่มีใครพาไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า หากไม่สบายขึ้นมาจะทำอย่างไร” พูดจบก็หันไปสั่งกับป้าตู้ว่า “ยังไม่รีบพาคุณชายน้อยหกกลับเรือนอีก ไม่รู้จักดูสถานการณ์ มีตาหามีแววไม่!”
“ท่านย่า!”
จิ่นเกอกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
ป้าตู้รีบขานรับ นางไม่กล้าอ้อมไปใช้ทางเดินระเบียงที่มีหลังคาบังฝนเสียด้วยซ้ำ แต่เลือกที่จะวิ่งฝ่าฝนแทน