ทางนี้เกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่โตขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่ไท่ฮูหยินจะไม่รู้เรื่อง แต่การที่ไท่ฮูหยินยื่นมือเข้ามาจัดการเรื่องในเรือนของนางเช่นนี้ ทำให้สืออีเหนียงรู้สึกแปลกใจไม่น้อย
ทุกคนล้วนมีเส้นขอบเขตของตัวเอง ในฐานะที่เป็นแม่คน จิ่นเกอก็คือเส้นของนาง
หากเป็นเรื่องอื่น ต่อหน้าผู้อาวุโส แม้ว่าสืออีเหนียงจะไม่ยินยอม ท้ายที่สุดนางก็จะถอยอยู่ดี แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจิ่นเกอ นางจึงไม่สามารถที่จะยอมได้
เด็กคนนี้…ฉลาดเกินไป เขาไม่ยอมเอ่ยคำขอโทษออกจากปาก แต่รู้วิธีใช้ทักษะการพูด สามารถโน้มน้าวผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย หากนางยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว จิ่นเกอก็จะจับสังเกตได้ในทันที คิดว่าแค่ได้รับการปกป้องและการเข้าข้างของท่านย่า ไม่ว่าจะทำผิดเรื่องอันใดมา ก็จะสมดั่งใจหวังทุกอย่าง สำหรับเขาแล้ว นี่ถือเป็นความคิดที่อาจจะนำพาเขาไปสู่หายนะได้
เมื่อนึกถึงตรงนี้ นางก็เหลือบไปมองจิ่นเกอ
ใบหน้าเล็กๆ ของจิ่นเกอที่หวาดกลัวเมื่อครู่นี้ เปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อขึ้นมาทันที เขาจ้องมองไท่ฮูหยินด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นดีใจ ราวกับว่าคว้าท่อนไม้ขณะลอยคออยู่กลางทะเลได้อย่างไรอย่างนั้น
สืออีเหนียงจึงไม่ลังเลอีกต่อไป
“ป้าตู้” สีหน้าของนางสงบนิ่ง จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้ากำลังคุยธุระกับจิ่นเกออยู่ ขอป้าตู้ช่วยรอสักประเดี๋ยว” พูดจบก็หันไปส่งสายตาให้กับสวีลิ่งอี๋ จากนั้นก็ฝ่าฝนไปประคองแขนของไท่ฮูหยินที่กำลังยืนอยู่ใต้คันร่ม “ท่านแม่ ฝนตกหนักลมพัดแรงเช่นนี้ มีเรื่องอันใดก็สั่งบ่าวรับใช้มาแจ้งก็พอ เหตุใดถึงต้องลำบากมาถึงนี่ด้วยเล่าเจ้าคะ” รอยยิ้มพริ้มพราย น้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนเช่นเคย แต่สีหน้าและแววตาที่แน่วแน่ของนางไม่อาจปิดบังไท่ฮูหยินที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก
เมื่อได้ยินสาวใช้น้อยมาเรียนว่าสืออีเหนียงและจิ่นเกอทะเลาะกัน ไท่ฮูหยินก็ตกใจเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงเป็นคนที่นิสัยนุ่มนวลและอ่อนโยน แม้ว่าจิ่นเกอจะเกเรไปบ้าง แต่ก็เป็นเด็กที่พูดรู้เรื่อง มีความกตัญญู รู้จักเดินหน้าและถอยหลังเป็น ทั้งสองคนจะทะเลาะกันได้อย่างไรกัน
ไท่ฮูหยินจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็ให้ป้าตู้พามาที่เรือนหลัก
แต่พึ่งจะก้าวพ้นประตูเรือน ก็เริ่มมีลมแรงและฝนตกหนัก
ไท่ฮูหยินจึงต้องย้อนกลับไปเอาร่ม
พอเดินมาได้ครึ่งทาง ก็เจอกับสาวใช้น้อยที่นางสั่งให้มาสืบข่าว เล่าว่าจิ่นเกอดื้อรั้นหัวแข็ง ตอนนี้กำลังยืนตากฝนอยู่ในลานสวน สืออีเหนียงเองก็ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว ปล่อยให้จิ่นเกอยืนตากฝนทั้งอย่างนั้น
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็ร้อนใจเป็นอย่างมาก แอบตำหนิสืออีเหนียงในใจว่านางสั่งสอนบุตรชายไม่แยกแยะสถานการณ์
เมื่อเดินไปถึงลานสวน พอรู้ว่าสวีลิ่งอี๋มาถึงก่อนหน้านี้แล้ว ไท่ฮูหยินก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่เพิ่งจะก้าวเข้าไปในเรือนหลัก ก็เห็นว่าสถานการณ์ของจิ่นเกอไม่ได้เป็นเหมือนที่นางคิดไว้ ไม่ได้สวมเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้านหรือกำลังดื่มชาร้อนเพื่อให้ความอบอุ่นกับร่างกาย บ่าวรับใช้ต่างก็กำลังปรนนิบัติด้วยความระมัดระวัง เมื่อเห็นว่านางมา จิ่นเกอก็รีบเรียกนางด้วยความตื่นเต้นดีใจพร้อมกับวิ่งเข้ามากอดแขนนางไว้ “ท่านย่า” เขาเหมือนลูกเจี๊ยบที่ตกน้ำ ยืนอยู่ข้างเสาท่ามกลางความมืดสลัวด้วยความน้อยใจ ไท่ฮูหยินหันไปมองสวีลิ่งอี๋อยู่ครู่หนึ่ง เขายืนอยู่ข้างๆ สืออีเหนียงพร้อมกับกำลังจ้องมองจิ่นเกอด้วยสายตาที่เคร่งขรึม
ไท่ฮูหยินเห็นแล้วก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ผู้ใหญ่สองคนร่วมมือกันจัดการเด็กตัวเล็กๆ คนเดียว นี่มันเรื่องอันใดกัน กลัวว่าจะไม่ชนะเด็กตัวเล็กๆ หรืออย่างไรกัน
คำพูดฉุนเฉียวก็ถูกเอ่ยออกมาจากปาก
ท่าทีที่เคารพและนอบน้อมของสืออีเหนียงที่กำลังแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินในสิ่งที่ไท่ฮูหยินพูดนั้นพลอยทำให้ไท่ฮูหยินรู้สึกไม่พอใจเข้าไปใหญ่
“ทำไมหรือ กลัวว่าข้าจะมาขัดจังหวะการสั่งสอนบุตรของพวกเจ้าหรืออย่างไรกัน” ไท่ฮูหยินยิ้มพลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เกรงใจแม้แต่นิดเดียว
ในจวนนี้ คนที่จิ่นเกอเห็นว่าเป็นที่พึ่งพิงได้ก็มีแค่ไท่ฮูหยินและสวีลิ่งอี๋ ตอนนี้สวีลิ่งอี๋ยืนอยู่ข้างนาง ก็เหลือแค่ไท่ฮูหยินด่านสุดท้ายแล้ว หากนางสามารถโน้มน้าวทั้งสองคนนี้ได้ จิ่นเกอก็จะพึงตระหนักถึงสถานการณ์ของตนเอง แล้วจึงจะค่อยตั้งใจพิจารณาคำพูดของนาง
ความคิดพลันผุดขึ้นมาในหัวของนาง
“ฮองเฮาและท่านโหวล้วนแล้วแต่เป็นท่านที่เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ การอบรมบ่มสอนบุตร ไม่มีผู้ใดสามารถทำได้อย่างท่านแล้ว ตรงไหนที่ทำไม่ถูกไม่ควร ล้วนแล้วแต่ต้องขอคำชี้แนะจากท่านทั้งสิ้น จะเรียกว่ารบกวนได้อย่างไรกันเล่าเจ้าคะ” นางยังคงยิ้มกว้าง จากนั้นก็ประคองไท่ฮูหยินไปที่ระเบียงทางเดินที่อยู่ข้างๆ “เพียงแต่ว่าจิ่นเกอของเราคนนี้มีอารมณ์ที่ฉุนเฉียวและโมโหร้ายจนเกินไป แม้แต่คำพูดของข้าเขาก็ยังไม่ยอมรับฟัง ท่านไม่รู้ว่าข้าทุกข์ใจกับนิสัยอารมณ์ร้อนของเขาแค่ไหน” สืออีเหนียงถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็ได้พูดถึงเรื่องที่จิ่นเกอดึงต่างหูขององค์หญิงใหญ่ขึ้นมา ตอนที่ไท่จื่อทรงรับสั่งให้พาจิ่นเกอเข้าวังเมื่อไม่กี่วันก่อน “…วันนั้นหลังจากที่เขาออกจากจวนไปแล้ว ในใจของข้าก็รู้สึกห่วงเขาเป็นอย่างมาก ประเดี๋ยวก็กังวลใจว่าที่ผ่านมาเขาอยู่แต่ในจวน สามารถทำทุกอย่างได้ตามอำเภอใจจนกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว ตอนที่เข้าเฝ้าไท่จื่อ เขาจะรักษากฎระเบียบและมารยาทได้หรือไม่ หลายวันมานี้ได้ยินว่าองค์หญิงใหญ่ทรงชอบไปเล่นหมากล้อมกับไท่จื่อเฟย ตอนจิ่นเกอเข้าวัง ทั้งสองจะเจอกันโดยบังเอิญหรือไม่ หากว่าทั้งสองทะเลาะกันเหมือนตอนยังเด็กขึ้นมา องค์หญิงใหญ่เป็นถึงธิดาแห่งสวรรค์ที่มิมีผู้ใดกล้าล่วงเกิน จิ่นเกอของเราก็เป็นคนที่ไม่ยอมใคร หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาจริงๆ จิ่นเกอของเราจะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ ยังดีที่วันนั้นองค์หญิงใหญ่ทรงไปที่พระตำหนักของไท่จื่อกับฮองเฮา ข้าจึงพอคลายกังวลใจได้บ้าง!”
ไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อยพร้อมกับหยุดฝีเท้าลง จากนั้นก็หันไปมองสืออีเหนียง
สืออีเหนียงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ ปล่อยให้ไท่ฮูหยินสังเกตนางได้อย่างเต็มที่ สีหน้าของนางใจเย็นและสุขุม ดูจริงใจไร้ซึ่งความหวาดหวั่นแต่อย่างใด
หลายปีมานี้ สวีลิ่งอี๋เอาแต่หลบเลี่ยงการพาจิ่นเกอเข้าวัง ไท่ฮูหยินเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี เขาไม่ต้องการให้บุตรชายไปสู้หัวชนฝาโดยที่ไม่คิดและไตร่ตรองในขณะที่เขาไม่รู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ในอันตรายเสียด้วยซ้ำ…การที่สืออีเหนียงพูดมาเช่นนี้…ตนกับสะใภ้คนนี้ใช้ชีวิตร่วมกันมาหลายปี จึงรู้ดีว่าสืออีเหนียงไม่ใช่คนที่พูดจาเรื่อยเปื่อย แต่หากจะให้นางเชื่อว่าจิ่นเกอมีนิสัยดื้อรั้นและหัวแข็งถึงเพียงนี้…
ไท่ฮูหยินส่ายหน้าเบาๆ
ไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกไม่เชื่ออยู่ดี
ท่ามกลางความเงียบ ทุกคนพากันเดินไปจนถึงชายคา
ในใจของป้าตู้เต้นระรัว ราวกับว่ากำลังรัวกลองก็ไม่ปาน
ที่ฮูหยินสี่ทำเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้ไท่ฮูหยินเข้ามาแทรกแซง แต่ไท่ฮูหยินก็ได้พูดออกไปแล้ว สืออีเหนียงก็ไม่ควรที่จะฝ่าฝืน เมื่อนึกถึงตรงนี้ นางก็รีบหันไปมองสวีลิ่งอี๋ทันที
สวีลิ่งอี๋กำลังยืนมือไพล่หลังอยู่ตรงนั้น แววตาของเขาลุ่มลึกแต่สงบ สีหน้าอ่อนโยนแต่หนักแน่น ไม่ได้แตกต่างจากปกติแต่อย่างใด พลอยทำให้นางดูไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ควรจะทำเช่นไรดี
ป้าตู้หันไปมองจิ่นเกอที่เสื้อผ้าเปียกปอนไปหมด จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“คุณชายน้อยหก!” นางยิ้มแล้วย่อตัวทำความเคารพเขา จากนั้นก็เดินเข้าไปจูงมือของจิ่นเกอด้วยความสนิทสนม “เสื้อผ้าของท่านเปียกหมดแล้ว” พูดจบนางก็หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาคลุมตัวของจิ่นเกอ “ป้าตู้ช่วยท่านกันลมไว้หน่อย ประเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอาได้!”
แก้ขัดไปก่อน แล้วค่อยว่ากัน
เวลานี้สมาธิของจิ่นเกอจดจ่อไปที่ไท่ฮูหยินคนเดียวเท่านั้น เขาจึงตอบกลับอย่างขอไปที ปล่อยให้ป้าตู้ช่วยเขาคลุมผ้า รอไท่ฮูหยินเดินมาจนถึงชายคา เขาก็ทิ้งป้าตู้จากนั้นก็วิ่งไปหาไท่ฮูหยินทันที “ท่านย่า! ท่านย่า!”
สวีลิ่งอี๋เดินเข้าไปคารวะไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินโอบกอดหลานชายแน่นพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
ฝ่ามือที่สัมผัสได้ถึงความเปียกโชกไปทั้งตัว
ความลังเลไม่มั่นใจในตอนแรกก็เอนเอียงไปตามธรรมชาติโดยปริยาย
“ตีก็ส่วนตี ดุก็ส่วนดุ” ไท่ฮูหยินจ้องมองไปยังสวีลิ่งอี๋ด้วยแววตาที่ไม่พอใจ จากนั้นก็หันไปมองสืออีเหนียง “แต่ก็ไม่เห็นว่าจะช่วยอะไรขึ้นมาได้ ตอนที่พวกเจ้ายังเด็ก ข้าเองไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อน! หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้าจะคอยดูว่าพวกเจ้าจะทำอย่างไร!”
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ได้ยินคำพูดของไท่ฮูหยินอย่างชัดเจน
จิ่นเกอยิ้มกว้าง คลอเคลียอยู่ข้างกายไท่ฮูหยิน นัยน์ตาสีดำทมิฬราวกับหยกดำของเขาคอยกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าที่ยินดีปรีดา
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อน
สวีลิ่งอี๋ถือเป็นหัวหน้าของครอบครัว ไท่ฮูหยินไม่ถามเขา แต่กลับมาถามนางแทน เห็นได้ชัดว่าไท่ฮูหยินรับรู้ได้ถึงเจตนาของสวีลิ่งอี๋ที่มีต่อเรื่องนี้ผ่านการกระทำของป้าตู้ ก็เลยช่วยนางกู้สถานการณ์ จะได้จบเรื่องนี้ได้ง่ายขึ้น
สืออีเหนียงรับรู้ได้ถึงความหวังดีของไท่ฮูหยิน แต่กลับไม่อาจที่จะทำตามได้ กระนั้นต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ จะให้นางขัดคำสั่งของไท่ฮูหยินเลยก็ไม่เหมาะสม
“ท่านแม่พูดถูก” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม “เพียงแต่ว่าฝนมาค่อนข้างกะทันหัน ข้าจึงดูแลไม่ทัน ยังดีที่ตอนนี้เป็นช่วงฤดูร้อน จิ่นเกอเองก็สุขภาพร่างกายแข็งแรงมาโดยตลอด มิเช่นนั้น เกรงว่าคงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เป็นแน่แท้” จากนั้นก็ได้พูดต่อไปว่า “ฝนตกหนักเช่นนี้ ท่านระวังจะโดนฝนจนเปียกเอาได้ สู้เข้าไปนั่งพักในเรือน จิบชาร้อนๆ สักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”
ไม่ได้พูดถึงเรื่องเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยแม้แต่คำเดียว
ทุกคนต่างก็เข้าใจในความหมายภายใต้คำพูดที่สุภาพของนาง
หัวคิ้วของไท่ฮูหยินขมวดแน่นขึ้นทันที
จะสั่งสอนบุตรก็สั่งสอนไป แต่ก็ไม่ควรลงโทษจนไปทำลายสุขภาพร่างกายเช่นนี้
สืออีเหนียงเป็นคนที่ฉลาด ก็คงจะเข้าใจถึงเจตนาของนางได้
บรรยากาศค่อยๆ อึมครึมขึ้นเรื่อยๆ
จิ่นเกอที่คอยสังเกตสีหน้าท่าทีของไท่ฮูหยินอยู่ตลอดเวลาก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา
“ท่านย่า!” จิ่นเกอรีบดึงแขนเสื้อของไท่ฮูหยินเบาๆ พลางขานเรียกด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ดูขลาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
ไท่ฮูหยินจึงก้มหน้าลงไปมอง ก็เห็นว่าจิ่นเกอกำลังจ้องมองนางพลางเม้มปากแน่น ตาหงส์กลมโตกำลังน้ำตาคลอเบ้า
ไท่ฮูหยินรู้สึกใจอ่อนขึ้นมาทันที
ช่างเถิด หากสืออีเหนียงไม่ยินยอม ก็ยังมีสวีลิ่งอี๋อีกทั้งคน
เมื่อคิดเช่นนี้ ก็หันไปมองสวีลิ่งอี๋ด้วยสีหน้าที่ครุ่นคิด
มารดาคงอยากจะให้เขาพูดอะไรบ้างกระมัง
แต่สวีลิ่งอี๋กลับไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
อย่าว่าแต่เขาเห็นด้วยกับความคิดของสืออีเหนียงเลย ถึงแม้เขาจะไม่เห็นด้วย แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากเขาหักล้างคำพูดของสืออีเหนียงต่อหน้าจิ่นเกอ สืออีเหนียงจะยังหลงเหลืออะไรให้น่าเชื่อถือและน่าเกรงขามอีกกัน!
บางครั้ง การไม่พูดก็ถือเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่ง
สีหน้าของไท่ฮูหยินเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
คนหนึ่งเอาแต่เชื้อเชิญให้ไปดื่มน้ำชาทานของว่าง ส่วนอีกคนก็ยืนเงียบไม่ยอมพูดอะไรแม้แต่คำเดียว สองสามีภรรยาช่วยกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ร่วมมือพร้อมใจกันให้นางรามือจากเรื่องนี้ให้ได้!
ไท่ฮูหยินทั้งร้อนใจทั้งฉุนเฉียวในเวลาเดียวกัน
ทั้งสองคนจะอบรมสอนสั่งบุตรอย่างไรนางไม่ยุ่ง แต่การเลือกวิธีลงโทษเช่นนี้ นางไม่อาจจะเพิกเฉยต่อไปได้!
“จิ่นเกอ!” ไท่ฮูหยินจูงมือของเขา “ตามย่าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า!” สีหน้าท่าทีแน่วแน่เป็นอย่างมาก
จิ่นเกอดีใจขึ้นมาทันที ใบหน้าเล็กๆ ยิ้มกว้างราวกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานก็ไม่ปาน
“ขอรับ!” เขารีบขานรับเสียงสูงพร้อมกับจับมือของไท่ฮูหยินไว้แน่น
“ท่านแม่!” ไท่ฮูหยินจะพาจิ่นเกอไป ผู้ใดเข้าไปห้ามก็ถือเป็นเรื่องที่ผิด แต่สืออีเหนียงกลับเข้าไปขวางไท่ฮูหยินเช่นนี้
ไท่ฮูหยินเลิกคิ้วขึ้นสูง “เจ้าจะขัดขวางข้าหรืออย่างไรกัน”
สิ้นประโยค บรรยากาศรอบๆ ก็เงียบสนิทขึ้นมาทันควัน
ป้าตู้และคนอื่นๆ ต่างก็หน้าซีดไปตามๆ กัน ทุกคนถอยออกมาอย่างเงียบๆ พยายามถอยออกมาจากไท่ฮูหยินและสืออีเหนียงให้ห่างที่สุด
สวีลิ่งอี๋เริ่มรู้สึกร้อนใจขึ้นมา
เขาเข้าใจเจตนาของสืออีเหนียงเป็นอย่างดี แต่การที่นางเข้าไปขวางมารดาเช่นนี้…
“สืออีเหนียง!” เมื่อความคิดผุดขึ้นมาในหัว เขารีบตะโกนเรียกนางทันที “เจ้าคิดจะทำอะไรกัน ยังไม่รีบกล่าวขอโทษท่านแม่อีก”