เซินเกอลูบศีรษะตัวเองด้วยความแปลกใจ
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน
ถึงแม้ว่าจะถูกลงโทษกักบริเวณ แต่แค่ไม่ออกจากเขตบริเวณของเรือนปีกก็พอแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวด้วยเล่า!
ขณะที่กำลังรู้สึกแปลกใจอยู่นั้น จู่ๆ ก็เห็นจิ่นเกอหันมากะพริบตาให้เขา จากนั้นก็รีบก้มหน้าลงทันที ราวกับว่ากำลังบอกเป็นนัยให้เขาทำตาม
เซินเกอจึงขานรับเสียงเบา “ขอรับ” จากนั้นก็เดินตามอาจินไปที่ห้องโถง
อาจินยกถาดไม้เก้าหลุมที่เคลือบด้วยสีแดงเงาและแต่งแต้มด้วยลวดลายดอกเหมยสีทองพร้อมด้วยน้ำชามาต้อนรับเขา
เขาค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือ จากนั้นก็ใช้มือที่ถูกพันด้วยผ้าขาวหยิบขนมวัวซือถังขึ้นมาทาน ดูแล้วน่ารักและน่าขำในเวลาเดียวกัน
สาวใช้ต่างก็พากันยิ้มพร้อมกับจ้องมองเขา จากนั้นสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยก็ได้มาถึงพอดี
“พี่สี่! พี่ห้า!” เซินเกอรีบกระโดดลงจากเก้าอี้ไท่ซือ
“มือของเจ้า?” สวีซื่อจุนค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ
เซินเกอรู้สึกรำคาญใจเป็นอย่างมาก
เหตุใดทุกคนถึงเอาแต่ถามเรื่องมือของเขา!
“ข้าไม่เป็นไร” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยหน่ายใจ “ข้าถูกท่านแม่ตีขอรับ!” จากนั้นเขาก็เล่าเหตุการณ์อีกรอบ
เมื่อสวีซื่อจุนได้ฟังแล้วก็หัวเราะดังลั่น จากนั้นก็ถามไถ่เขาด้วยความเป็นห่วงว่า “ให้หมอมาดูแล้วหรือยัง หมอว่าอย่างไรบ้าง”
“ให้หมอดูแล้ว” เซินเกอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เบื่อหน่าย “แค่ต้องหมั่นทายาและทานยาก็เท่านั้น” จากนั้นเขาก็ถามสวีซื่อจุนว่า “พี่สี่ไม่ได้ไปเรียนหนังสือหรือขอรับ เหตุใดถึงมาที่นี่ในเวลานี้ได้”
“ข้ามาเยี่ยมน้องหก!” สวีซื่อจุนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่คลุมเครือ
สวีซื่อเจี้ยเองก็หันไปยิ้มให้กับเซินเกอ ถือเป็นการทักทายเขาไปในตัว
เซินเกอเอียงศีรษะถามสวีซื่อเจี้ยว่า “พี่ห้ากลัวฟ้าผ่าหรือไม่ขอรับ”
สวีซื่อเจี้ยตอบกลับด้วยความประหลาดใจ “ข้าไม่กลัวฟ้าผ่า!”
“แล้วเหตุใดท่านถึงนอนไม่หลับ”
เมื่อคืนนี้ทั้งฝนตกทั้งฟ้าร้อง
“ข้าไม่ได้นอนไม่หลับเสียหน่อย!” สีหน้าของสวีซื่อเจี้ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย รอยยิ้มเมื่อครู่นี้ดูแข็งทื่อขึ้นมาทันที แววตาดูเตรียมพร้อมที่จะเถียงกลับอย่างเต็มที่
เซินเกอไม่ทันได้สังเกตเห็น
“ข้าทายถูกใช่หรือไม่!” เขาชี้ไปที่ดวงตาของสวีซื่อเจี้ยด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจ “ใต้ตาของท่านคล้ำไปหมดแล้ว ป้าสือบอกว่าหากนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ ใต้ตาก็จะดำคล้ำ”
“เช่นนั้นหรือ!” สีหน้าท่าทีของสวีซื่อเจี้ยดูผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มกลับมาอ่อนโยนอีกครั้ง “ช่วงนี้ข้าอ่านหนังสือจนดึกดื่นแทบทุกคืน!”
“เห็นอาจารย์จ้าวบอกว่าการเรียนของเจ้าดีขึ้นไม่น้อย” สวีซื่อจุนที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้น “การทุ่มเทนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ก็ไม่ควรให้เรื่องนี้ส่งผลเสียต่อสุขภาพเราได้ หากร่างกายล้มป่วยขึ้นมา พลอยแต่จะทำให้การเรียนถดถอย…”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น จู่ๆ ม่านประตูก็ถูกเปิดออก สืออีเหนียงเดินเข้ามา
“ข้าได้ยินเสียงพวกเจ้า!” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “พวกเจ้ามาได้อย่างไร ตอนนี้จิ่นเกอกำลังฝึกคัดตัวอักษรอยู่ในเรือน!”
ความหมายก็คือมีธุระอะไรก็ให้คุยกันตรงนี้!
ทั้งสองเติบโตขึ้นภายใต้การเลี้ยงดูของสืออีเหนียง จึงรู้ดีว่านางให้ความสำคัญและเข้มงวดกับการเรียนเป็นที่สุด หลังเลิกเรียนก็จะต้องรีบทำการบ้านให้เสร็จก่อนเป็นอันดับแรก มีธุระอะไรหากเลื่อนได้ก็จะเลื่อนไปก่อน แต่ห้ามละทิ้งไปกลางคันเป็นอันขาด บางครั้ง หากว่าทำการบ้านไม่เสร็จ ก็อาจถึงขั้นเลื่อนมื้อค่ำออกไปเสียด้วยซ้ำ
สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยต่างก็รู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง จึงอยู่คุยเล่นกับสืออีเหนียงต่อ
เซินเกอกลับแลบลิ้นออกมาด้วยความเบื่อหน่อย
สวีซื่อจุนถามถึงจิ่นเกอขึ้นมา “ได้ยินมาว่าเมื่อคืนนี้เขาถูกอบรมสั่งสอนหรือขอรับ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
เมื่อคืนนี้ไท่ฮูหยินและสวีลิ่งอี๋ได้พากันปรึกษาหารือถึงสาเหตุที่จิ่นเกอถูกลงโทษไปครึ่งค่อนคืน จึงได้บทสรุปว่าที่จิ่นเกอถูกลงโทษนั้นเพราะเขาไม่ยอมไปกล่าวขอโทษอาจารย์ผัง เพราะหากเรื่องถูกผู้คนเล่าออกไป ก็มีแต่จะกลายเป็นคำติฉินนินทา
“ไม่เป็นอะไรแล้ว!” สืออีเหนียงตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “เพียงแต่ว่าเขาถูกกักบริเวณอยู่แต่ในเรือน จึงรู้สึกไม่ค่อยชินก็เท่านั้น” จากนั้นนางก็เหลือบไปมองสวีซื่อเจี้ยที่เอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ดูผ่ายผอมไปไม่น้อย ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่เขากลับนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าที่เหม่อลอย ราวกับว่าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“หลายวันมานี้เจ้ายังไปอ่านหนังสือที่ร้านหนังสืออยู่หรือไม่” สืออีเหนียงถามเขา
ครั้งที่แล้วสีหน้าท่าทีของสวีซื่อเจี้ยแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก สืออีเหนียงก็เลยเรียกสี่เอ๋อร์มาถาม จึงได้ความว่าตอนที่สวีซื่อเจี้ย สวีซื่อฉินและคนอื่นๆ ไปส่งสวีซื่ออวี้ที่เฉิงหนาน ระหว่างนั้นก็ได้เจอกับเหล่าสหายร่วมคณะของสวีซื่ออวี้ หลังจากที่ได้ร่วมทานอาหารและไปหาซื้อหนังสือที่ร้านหนังสือด้วยกันแล้ว เขาก็รู้สึกชอบเป็นอย่างมาก บางครั้งเขายังชวนสวีซื่อจุนไปเดินเที่ยวที่โน่นอีกด้วย หลังจากที่สวีลิ่งอี๋รู้เรื่องแล้ว ก็ไม่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก “หนังสือที่นั่นดีกว่าหนังสือที่จวนของเราเก็บสะสมไว้หรืออย่างไรกัน”
ความชอบของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน
บางคนชอบไปนั่งแช่อยู่ในห้องสมุด เพราะรู้สึกว่าห้องสมุดนั้นให้ความรู้สึกบางอย่าง
“เด็กๆ ล้วนเติบโตกันแล้ว ต่างก็มีความคิดเป็นของตนเอง เราไม่ต้องไปยุ่มย่ามจะเป็นการดีกว่า มิเช่นนั้น ท่านจะยกเลิกคำสั่งกักบริเวณพวกเขาทำไมกัน”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไรต่อ เรื่องนี้จึงถือเป็นการรับปากไปโดยปริยาย
เมื่อได้ยินมารดาเอ่ยถึงเรื่องนี้ สวีซื่อเจี้ยก็รู้สึกเก้อเขินเป็นอย่างมาก “หลายวันมานี้พี่สี่มักจะไปที่จวนเวยเป่ยโหวกับท่านพ่ออยู่เป็นประจำ ก็เลยไม่ค่อยมีเวลาออกไปเป็นเพื่อนข้า ข้าก็เลยไปเดินเที่ยวที่นั่นคนเดียวขอรับ”
“แล้วได้เจอผู้คนหรือเรื่องอันใดที่แปลกใหม่บ้างหรือไม่” สืออีเหนียงชวนเขาคุย
หลายวันมานี้ นางไม่ค่อยมีเวลาสนใจสวีซื่อเจี้ยเท่าที่ควร อีกทั้งยังมาเกิดเรื่องจิ่นเกอขึ้น นางจึงรู้สึกว่าตัวเองนั้นบกพร่องในหน้าที่การเลี้ยงดูบุตรชาย ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะค่อนข้างเข้มงวด แต่ได้มอบหมายหน้าที่เหล่านี้ให้กับบ่าวรับใช้ไป ไม่ว่าบรรดาบ่าวรับใช้จะเคารพและนอบน้อมต่อนางเพียงใด แต่ฐานะนายบ่าวแตกต่างกัน เรื่องบางเรื่องก็จะปล่อยผ่านทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น จิ่นเกอเห็นแล้วก็ยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่ แม้แต่คำพูดคำสอนของนางเขาก็ยังไม่สนใจ นับประสาอะไรกับคำพูดของคนอื่นเล่า เด็กๆ ก็เหมือนกับเมล็ดพันธุ์พืช หลังจากผ่านฤดูกาลนี้ไป ก็จะถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว ไม่มีฤดูกาลถัดไปจากนี้อีก เรื่องอื่นนางสามารถปล่อยวางได้หมด แต่ปัญหาเรื่องการอบรมสั่งสอนจิ่นเกอนางไม่สามารถที่จะปล่อยผ่านไปได้ นางตัดสินใจว่าต่อไปนี้จะทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดให้กับจิ่นเกอ
“ไม่ขอรับ!” สวีซื่อเจี้ยตอบกลับด้วยสีหน้าท่าทีที่ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไรนัก “ข้าก็แค่เดินเล่นไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น!”
ทุกคนต่างก็มีความลับของตัวเอง เขาไม่อยากพูด สืออีเหนียงย่อมเคารพการตัดสินใจของเขาอยู่แล้ว นางจึงยิ้มแล้วชวนคุยเรื่องอื่นแทน “ช่วงนี้ที่ร้านหนังสือมีหนังสือมาใหม่หรือไม่”
“มีขอรับ!” เมื่อสวีซื่อเจี้ยเห็นว่าสืออีเหนียงไม่ได้ซักถามเรื่องนั้นต่อ สีหน้าท่าทีของเขาก็เปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นขึ้นมาทันที เขารีบตอบกลับอย่างละเอียดว่า “ที่สำนักศึกษาฮั่นหลินมีบัณฑิตเข้ามาใหม่หนึ่งท่าน เขาแซ่กวน ยามว่างมักจะชอบสะสมก้อนหิน จึงเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมา หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า ‘ขุมทรัพย์ในกระเป๋าแขนเสื้อ’ ยังมีบัณฑิตซิ่วไฉแซ่ชิ่งอีกหนึ่งท่าน ช่วงเวลาสี่สิบปีที่ผ่านมาเขาท่องเที่ยวไปทั่วหล้า จู่ๆ ปีที่แล้วก็ล้มป่วยลง เขามีบุตรชายหนึ่งคน เป็นราชบัณฑิตจิ้นซื่อในสมัยเจี้ยนอู่ปีห้าสิบห้า ปัจจุบันเป็นขุนนางข้าหลวงประจำการอยู่ที่เขตหนานชัง เขาได้นำบทกวีของบิดามาเขียนเป็นหนังสือเล่มใหม่ และได้ไหว้วานให้ทางร้านหนังสือช่วยขายหนังสือเล่มนั้น ตอนนั้นข้าเองก็ได้ลองอ่านดูคร่าวๆ เนื้อหาบทความสละสลวย ทำให้ผู้ที่อ่านรู้สึกได้เปิดหูเปิดตาไปด้วย ข้าก็เลยซื้อกลับมาหนึ่งเล่ม หากว่าท่านแม่สนใจ ประเดี๋ยวข้าจะไปเอามาให้ท่านลองอ่าน…”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น เซี่ยงซื่อก็ได้เข้ามาพอดี
“สองวันก่อนข้าจัดระเบียบข้าวของในหีบ เลยเจอเครื่องวัดแผ่นดินไหวที่เคยเล่นตอนเด็กๆ” นางพูดพลางหยิบกล่องไม้ใบเล็กสีแดงลายเส้นสีทองออกมา “ได้ยินมาว่าสองวันนี้น้องหกอยู่ที่นี่ ข้าก็เลยเอามาให้ ไม่รู้ว่าน้องหกจะชอบหรือไม่”
คงเพราะได้ยินว่าจิ่นเกอถูกลงโทษก็เลยอยากจะมาเยี่ยม แต่ก็ไม่สะดวกที่จะถามออกมาตรงๆ ก็เลยใช้วิธีอ้อมๆ แทนมากกว่ากระมัง
“จัดระเบียบข้าวของในหีบ?” สืออีเหนียงให้หู่พั่วไปรับกล่องไม้ใบเล็กจากนาง “จะทำเสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วงให้อวี้เกอหรือ”
“เจ้าค่ะ!” เซี่ยงซื่อตอบกลับด้วยความนอบน้อม “กะว่าจะส่งไปตอนเดือนแปดพร้อมกับของขวัญวันเกิดที่จะส่งไปให้คุณหนูเก้าสกุลเจียงทีเดียวเลย จะได้สวมใส่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงพอดีเจ้าค่ะ”
วันเกิดของคุณหนูเก้าสกุลเจียงคือวันที่สิบเจ็ดเดือนแปด สืออีเหนียงมักจะส่งของขวัญไปให้นางทุกปี
นางเพิ่งจะพูดจบ จู่ๆ ม่านของห้องชั้นในก็ถูกเปิดออก จิ่นเกอยืนอยู่หลังม่านพลางชะเง้อหน้าเข้ามาดู
สืออีเหนียงขานเรียกเขาเบาๆ “จิ่นเกอ”
สิ้นเสียงสืออีเหนียง จิ่นเกอก็รีบพูดขึ้นทันทีว่า “ท่านแม่ ข้าคัดตัวอักษรเสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ!”
เสร็จเร็วกว่าปกติมาก!
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้พูดกับเขาว่า “เช่นนั้นเจ้าก็พักผ่อนสักประเดี๋ยวก็แล้วกัน!”
จิ่นเกอได้ยินแล้วก็ดีใจเป็นอย่างมาก รีบกระโดดโลดเต้นออกจากห้องโถงไป แต่หางตากลับเหลือบไปเห็นมารดาที่นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าท่าทีที่สุขุมและสง่างาม จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่ามารดาชอบคนที่เรียบร้อยและมีมารยาทเป็นที่สุด เขาจึงรีบเก็บสีหน้าและอาการ จากนั้นก็ยืดตัวตรงค่อยๆ เดินออกจากห้องโถงไปด้วยท่าทีที่สง่างาม ฝีเท้าที่เป็นระเบียบทุกย่างก้าว ดูแตกต่างจากท่าทีที่ร่าเริงและเบิกบานใจของเขาอย่างสิ้นเชิง
สวีซื่อเจี้ยไม่เคยรู้สึกว่าสืออีเหนียงตัดสินใจผิดแม้แต่ครั้งเดียว การที่สืออีเหนียงอบรมสั่งสอนจิ่นเกอ จิ่นเกอจะต้องกระทำความผิดมาอย่างแน่นอน คำพูดจำพวกปลอบโยนมารดา เขาพูดไม่ออกจริงๆ
เซี่ยงซื่อรู้จุดยืนของตนเอง หากไม่ได้ถามนาง นางก็ไม่ควรที่จะเอ่ยปาก
ส่วนสวีซื่อจุนก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ น้องหกยังเล็ก สิ่งไหนที่ทำไม่ถูกไม่ควร ขอท่านแม่อย่าคิดเล็กคิดน้อยกับเขาเลย”
เขามักจะใจกว้างกับน้องชายทุกคนเสมอ
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ให้หู่พั่วนำกล่องไม้ใบนั้นไปให้จิ่นเกอ “พี่สะใภ้สองของเจ้ามอบให้!”
ครั้งนี้ สืออีเหนียงไม่ได้สั่งอะไรทั้งสิ้น แต่เขากลับไปกล่าวขอบคุณเซี่ยงซื่ออย่างนอบน้อมด้วยตัวเอง
หยกไม่ได้รับการเจียระไน ก็จะไร้ซึ่งคุณค่าราคา หลังจากที่ได้อบรมสั่งสอนเขาไป ความประพฤติของเขาถือว่าดีขึ้นไม่น้อย
สืออีเหนียงแอบพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็เหลือบไปเห็นเซินเกอกำลังจ้องมองกล่องไม้ที่อยู่ในมือของจิ่นเกออย่างใจจดใจจ่อ นางจึงนึกถึงสีหน้าท่าทีที่ระวังเนื้อระวังตัวของจิ่นเกอขึ้นมา จึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “จิ่นเกอ พาเซินเกอไปเล่นในเรือนเจ้าด้วยสิ”
“ขอรับ” น้ำเสียงของเขายินดีปรีดาเป็นอย่างมาก รีบเข้าไปจูงมือของเซินเกอเข้าไปในห้องชั้นในทันที
เมื่อความห่วงใยของทุกคนได้ส่งถึงเจ้าตัวเป็นที่เรียบร้อย จิ่นเกอเองก็เข้าห้องชั้นในไปแล้ว สวีซื่อจุนและคนอื่นๆ จึงอยู่คุยเล่นกับสืออีเหนียงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พากันขอตัวลากลับ
จิ่นเกอและเซินเกอเล่นเครื่องวัดแผ่นดินไหวอยู่ในเรือนตลอดช่วงบ่าย
ใกล้เวลาอาหารค่ำ สวีลิ่งอี๋ก็กลับมาถึงพอดี “จิ่นเกอเป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็ดีเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ใช้เวลาเพียงไม่นานก็คัดอักษรสี่หน้ากระดาษแผ่นใหญ่เสร็จลงอย่างรวดเร็ว…”
สวีลิ่งอี๋ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก
สืออีเหนียงปรึกษากับเขาว่า “…หลังจากนี้ข้าจะจัดการงานบ้านงานเรือนถึงแค่ตอนเที่ยงตรงเท่านั้น เช่นนี้ ช่วงบ่ายข้าก็จะได้มีเวลาไปดูแลจิ่นเกอ”
“เรื่องเหล่านี้เจ้าตัดสินใจเองก็พอแล้ว” สวีลิ่งอี๋ยิ้มกว้าง “ขอเพียงแค่จัดการและวางแผนให้ดี มิเช่นนั้นถึงเวลาจะยุ่งเอาได้”
สืออีเหนียงขานรับเสียงเบา ตกบ่ายของวันนั้น นางก็ได้จัดระเบียบและขยับขยายเวลางานทั้งหมดที่อยู่ในมือ ย่นเวลางานของทั้งวันให้เหลือเพียงไม่กี่ชั่วยาม แต่ก็ยังกังวลว่าเหล่าบรรดาผู้ดูแลหญิงจะบ่นว่าเหนื่อยเกินไป นางเลยปรึกษาหารือกับหู่พั่วก่อน วันถัดมาก็ได้แจ้งเรื่องนี้กับบรรดาผู้ดูแลหญิง
ผู้ดูแลหญิงต่างก็คิดบัญชีเป็นกันทุกคน
ในเมื่อสืออีเหนียงต้องการจะพักช่วงบ่าย เช่นนั้นพวกนางก็ไม่จำเป็นต้องมารายงาน…และยังสามารถจัดเวลาเองได้อีกด้วย
“การบ้านของคุณชายน้อยหกย่อมสำคัญกว่าอยู่แล้วเจ้าค่ะ!”
“ฮูหยินเขียนอักษรงดงามมาโดยตลอด คุณชายน้อยหกมีฮูหยินคอยชี้แนะ ย่อมประสบผลสำเร็จเป็นเท่าตัวอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ!”
ทุกคนต่างก็พากันตกปากรับคำด้วยความยินดี เกินกว่าที่สืออีเหนียงและหู่พั่วจินตนาการไว้มาก อีกทั้งยังรับปากว่าจะมารายงานกับสืออีเหนียงก่อนเที่ยงของทุกวัน นางใช้เวลาในการจัดระเบียบให้งานเดินได้อย่างราบรื่นราวเจ็ดแปดวัน หลังจากนั้น ในช่วงบ่ายของทุกวันสืออีเหนียงก็จะปักผ้าพลางเฝ้าจิ่นเกอฝึกคัดตัวอักษรไปด้วย คอยชี้แนะการลงน้ำหนักของพู่กันเป็นบางครั้งบางคราว จิ่นเกอเชื่อฟังมากขึ้น เขาก้มหน้าก้มตาคัดตัวอักษรด้วยความตั้งใจ เห็นได้ชัดว่าเขาพัฒนาขึ้นไม่น้อย อาจารย์จ้าวเองก็ออกปากชมไม่ขาดสาย บวกกับอาจารย์จ้าวที่คอยเป็นแบบอย่างที่ดีไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ จิ่นเกอจึงเคารพและศรัทธาเป็นอย่างมาก ตอนนี้เขาจึงเริ่มชอบการเขียนอักษรมากขึ้น