นเกอหมายมั่นปั้นมือว่า ถึงแม้ต้องสังหารนังเด็กนี่ทิ้ง ก็ไม่มีทางปล่อยให้นางหนีออกไปได้!
“พวกเจ้ามันขยะไร้ค่า! เร่งฝีเท้ากันให้เร็วกว่านี้หน่อย! หากนังเด็กนั่นหนีไป พวกเจ้าก็ต้องแบกรับผลที่ตามมาเช่นกัน!”
ทุกคนย่อมรู้ว่าวาจาของซุนเกอหมายความว่าอะไร จึงพากันกลัว ฝีเท้าก็เร็วขึ้นราวกับติดจรวด!
ซูซูเห็นว่าคนกลุ่มนี้จะตามตนเองทันแล้ว ก็กัดฟันออกแรงห้อตะบึงครั้งสุดท้าย
ในที่สุดก็เข้าใกล้ม้าได้
“แฮ่ก…” ซูซูไม่กล้าหยุดแม้แต่น้อย นางพลิกตัวขึ้นม้า แล้วควบม้ากุบกับๆ จากไป
“พวกเจ้าจำเอาไว้เลยว่าข้าจะต้องชำระแค้นนี้แน่นอน! พวกเจ้าต้องถูกฝังไปพร้อมกับท่านผู้เฒ่า!” ซูซูน้ำตารินไหลในตอนท้ายก่อนจากไป
แม้ว่าข้าจะไม่ได้เป็นผู้ลงมือสังหารเขา แต่การที่เขาต้องตายนั้นมีข้าเป็นสาเหตุ ที่กล่าวถึงในข้างต้น ก็คือสถานการณ์ของขอทานชราผู้นี้สินะ!
พละกำลังที่ซูซูยืนหยัดในการต่อยตีกันชุลมุนเมื่อครู่นี้ ถูกใช้ไปจนหมดหลังจากขึ้นไปขี่บนหลังจุยเฟิง
สองขาจะวิ่งชนะสี่ขาได้อย่างไร ครู่หนึ่ง ด้านหลังก็ไร้เงาร่างคนพวกนั้น
ซูซูพาดตัวอยู่บนหลังม้า นางรู้ว่ากลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังพวกนั้นตามตนเองไม่ทันแล้ว จึงผ่อนม้าให้วิ่งช้าลง
นึกถึงสภาพอันน่าเวทนาก่อนตายของขอทานชรา ใจก็รู้สึกแย่
“จุยเฟิง…วันนี้ข้าทำร้ายคนตายไปคนหนึ่ง คนผู้นี้ยังเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้าด้วย เจ้าว่าข้าควรจะทำเช่นไรไรดี”
“จุยเฟิง เจ้ารู้มั้ยว่า ข้ารู้สึกแย่มาก ยากจนไม่สามารถหายใจได้แล้ว นั่นเป็นชีวิตคนคนหนึ่งเลยนะ! แต่ทำไมคนกลุ่มนั้นถึงใจดำลงมือได้ลงคอ?”
“จุยเฟิง…”
“ท่านหญิง!”
ทันใดนั้นนางพลันได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นเหนือศีรษะ
ซูซูหัวใจเต้นระรัว ถูกเหตุการณ์ในหลายวันมานี้ทรมานจนสติฟั่นเฟือนเล็กน้อย
“ใคร! ออกมานะ!”
พรึ่บ!
คนออกมาแล้ว
คนผู้นั้นสวมชุดสีดำ ชายแขนเสื้อรวบมัดไว้กับข้อมือ เพื่อเน้นความคล่องตัว เครื่องหน้าทั้งห้าหล่อเหลา เรือนผมพริ้วไหวยามสายลมพัดมา ให้กลิ่นอายจอมยุทธ์ผู้มากความสามารถ เปี่ยมไปด้วยอิสรเสรี
เพียงแต่ ใบหน้าเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกลนั้นกลับปิดบังคลื่นความรู้สึกหยอกล้อในแววตาไม่มิด
“เจ้าเป็นใคร” ซูซูหรี่ตา กระชับบังเหียนม้าเตรียมป้องกัน และฝืนทำตัวกระปรี้กระเปร่า มองคนที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้ากะทันหัน
“ท่านหญิงซูซู ข้ามีนามว่าจ้าวเฟยลู่ เป็นคนที่จิ่งซื่อจื่อส่งมาคุ้มครองท่าน”
เมื่อประชาชนพบกับเชื้อพระวงศ์ ก็จำเป็นต้องแสดงความเคารพ
เดิมจ้าวเฟยลู่เป็นคนในยุทธภพ แม้ว่าจะมีนิสัยไม่อยู่ในกฎเกณฑ์ แต่ก็ยังกำหมัดแสดงความเคารพซูซูด้วยความเกรงใจเล็กน้อย
“จิ่งซื่อจื่อ? เสด็จพี่ของข้า?” เดิมก็มีจิตใจระแวดระวังในตัวคนผู้นี้ ตอนนี้เมื่อได้ยินว่า เขาเป็นคนที่จิ่งซื่อจื่อส่งมา ซูซูก็ไม่ได้คลายความระแวดระวังลง แต่กลับเคร่งเครียดขึ้นกว่าเดิม!
ฮี้…
เป็นเพราะนางตึงเครียด ดังนั้นจึงออกแรงดึงบังเหียนม้าแน่น บีบให้จุยเฟิงหายใจไม่คล่องไปชั่วขณะ มันจึงส่งเสียงร้องออกมาอย่างไม่พอใจ
“ขอโทษ! ข้าขอโทษจุยเฟิง!”
ซูซูรีบคลายบังเหียนม้า แล้วปลอบประโลมจุยเฟิง มือเล็กๆ ลูบปลอบไปตามแผงคอของจุยเฟิงเบาๆ พลางกล่าววาจาอ่อนโยน
“ขอโทษนะ! จุยเฟิง ข้ารู้ว่าครั้งนี้ให้เจ้าออกมาได้รับความไม่เป็นธรรมกับข้า แต่เจ้าวางใจได้ รอข้าหาซูชีพบ ข้าจะต้องดูแลเจ้าเหมือนกับบรรพบุรุษแน่นอน! เพราะว่าเจ้าเป็นผู้สร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่ให้กับข้า!”
จ้าวเฟยลู่ได้ยินวาจาของซูซูแล้ว ก็เงียบกริบ…
แม่นางผู้นี้โง่ใช่หรือไม่
เห็นม้าตัวหนึ่งเป็นบรรพบุรุษ? นางเคยคิดไหมว่า บิดามารดาของนาง กับโอรสสวรรค์ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรผู้นั้นจะคิดเช่นไร?
เชื่อเลยว่านางจะคิดมันออกมาได้!
“ท่านหญิงซูซู จิ่งซื่อจื่อส่งจดหมายหาข้า บอกว่า…”
“ข้าไม่มีทางกลับเมืองหลวงกับเจ้า! ถึงตายก็ไม่กลับไป!” ถึงอย่างไร ก่อนที่จะหาซูซูพบ นางไม่มีทางกลับไปเด็ดขาด!
เอ่อะ…
จ้าวเฟยลู่รับงานลูกค้ามามากมายขนาดนี้ แต่ก็ไม่เคยพบเจอคนแบบท่านหญิงซูซูผู้นี้เลยจริงๆ
นี่เป็นการไม่ฟังวาจาของตนเองเลยสักนิดเดียว
ชั่วขณะหนึ่ง เขาพลันเกิดความคิดที่จะหยอกเล่นขึ้นมา
“ท่านหญิงซูซู จิ่งซื่อจื่อบอกว่า ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการก็ตาม ให้ข้าน้อยพาท่านกลับไปเมืองหลวงให้ได้!”
จ้าวเฟยลู่ยอมรับว่า ระยะนี้ตนเองใช้ชีวิตสบายเกินไป จึงเบื่อหน่ายเล็กน้อย ดังนั้นถึงได้หยอกสตรีตรงหน้าเล่น เขาอยากจะเห็นว่า หลังจากท่านหญิงซูซูได้ยินวาจานี้แล้ว จะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร!
ซูซูที่ได้ยิน ก็เพียงแค่เงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง แววตาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง
“กูไหน่ไน[1]บอกแล้วว่า! ไม่มีทางกลับไปเมืองหลวงกับเจ้า เจ้าล้มเลิกความตั้งใจนี้เสียเถอะ!” เสียงของนางดังมาก ราวกับว่าขอแค่เสียงดังเล็กน้อย นางก็สามารถจัดการความไม่มั่นใจในตนเองของนางได้!
จ้าวเฟยลู่เลิกคิ้ว นัยน์ตาคู่งามจับจ้องซูซูเขม็ง โดยไม่กล่าวอันใดให้มากความ
สิ่งที่ซูซูกลัวมากที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากันอย่างเงียบงันเช่นนี้!
ในใจนางสับสนวุ่นวายยิ่ง! หรือว่าตนเองจะหนีเสือปะจรเข้จริงๆ?
นางไม่ต้องการ!
นางไม่ต้องการที่จะเชื่อฟังอย่างว่าง่าย! นางยังหาซูชีไม่เจอ ยังจับซูชีเอาไว้ไม่ได้เลย!
“เจ้าฝันไปเถอะ! ย่าห์!” ซูซูตะคอกเสียงดังใส่จ้าวเฟยลู่ แล้วเฆี่ยนบังเหียนม้า ขี่ม้ามุ่งหน้าหลบหนีไป!
จ้าวเฟยลู่มองเงาร่างที่จากไปของซูซู โดยไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเลยสักนิดเดียว!
เขารู้ว่าในใจของท่านหญิงผู้นี้ จะต้องไม่สนใจแนวคิดความเคยชินและประเพณีในสังคมแน่นอน! มิเช่นนั้นจะกระทำเรื่องเช่นการเดินทางพันลี้ตามจีบสามีแบบนี้ออกมาได้อย่างไร?
แต่เขาก็ไม่กังวลว่า ซูซูหนีไป แล้วตนเองจะหาไม่พบ!
อย่าลืมเสียล่ะว่า เขาสะกดรอยตามคน ตามหาร่องรอยคนคนหนึ่งเก่งที่สุด สำหรับเขาแล้ว นั่นมันเป็นเรื่องง่ายๆ เท่านั้นเอง!
จ้าวเฟยลู่มองทิศทางที่ซูซูขี่ม้าจากไปนิ่ง แล้วยิ้มออกมา
ท่านหญิงซูซู ท่านหนีไปเถอะ! หนีไป! อย่างไรก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือข้าหรอก!
ข้า จ้าวเฟยลู่ หากกระทั่งท่านที่เป็นไก่อ่อนยังเฝ้าเอาไว้ไม่ได้ ยังจะเรียกว่าเป็นอันดับหนึ่งอะไรอีก?!
ซูซูไหนเลยจะรู้เรื่องพวกนี้?
นางนึกว่าขอแค่ตนเองสลัดคนคนนั้นทิ้งได้ ทุกอย่างก็จะราบรื่น!
“ท่านหญิงซูซู ดูท่าทางม้าวิ่งพันลี้ของท่านตัวนี้จะกินไม่อิ่มนะ ถึงได้วิ่งช้ากว่าข้า”
ซูซูตกใจ หันกลับไปมอง ก็เห็นจ้าวเฟยลู่ที่ไม่รู้ว่ามาวิ่งขนานกับตนเองตั้งแต่เมื่อไร!
และที่น่าโมโหที่สุดก็คือ เขาใช้เพียงแค่วิชาตัวเบาในการเหาะเหินเท่านั้น!
ไม่เพียงเหาะเหิน แต่ยังกล่าววาจา ไม่เพียงกล่าววาจา แต่ยังดูท่าทางสบายๆ อีกด้วย
นี่มันปีศาจอะไรกันแน่?
“เจ้าจะทำอะไรกันแน่” ซูซูถูกทำให้โมโหแทบบ้า!
เดิมนึกว่าสลัดคนทิ้งไปได้แล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่า คนผู้นี้จะตามติดตนเองเป็นวิญญาณ ถึงขั้นที่นางอยู่ที่ไหน เขาก็แทบจะอยู่ที่นั่นด้วยเลย!
น่ากลัวเกินไปแล้ว?
เดิมจ้าวเฟยลู่ยังคิดจะแหย่อีกหน่อย แต่เป็นเพราะเขาค้นพบว่าท่านหญิงซูซูผู้นี้เล่นด้วยสนุกมาก! ทว่าเมื่อเห็นความตระหนก หวาดกลัว รวมไปถึงความไม่ยินยอมในสายตาของซูซู ก็พลันใจอ่อนขึ้นมา
[1] กูไหน่ไน เป็นคำเรียกสตรีในครอบครัวที่ออกเรือนไปแล้ว