เป็นเช่นนี้จริงๆ น่ะหรือ!
สืออีเหนียงสงสัย
นางบอกให้ว่านต้าเสี่ยนคอยสังเกตสวีซื่อจุน
“ช่วงนี้คุณชายน้อยสี่มักจะออกไปเดินเล่นบนท้องถนนเจ้าค่ะ!” หู่พั่วกลับมารายงาน “แล้วยังซื้อของกลับมาตั้งมากมาย”
ราวกับกำลังจะพิสูจน์ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ยามบ่าย สวีซื่อจุนมาหาสืออีเหนียง เขานำปิ่นปักผมไม้เถามาให้สืออีเหนียง อีกทั้งยังมอบชุดปาลูกดอกให้จิ่นเกอ
“เห็นหรือไม่ กระบอกแปดเหลี่ยม คอยาว ไม่มีหูจับ ฐานกระบอกสูงและเว้า” เขาชี้ให้จิ่นเกอดู “มันคือวัตถุโบราณจากยุคสมัยก่อน”
จิ่นเกอไม่สนใจของพวกนี้ พูดเพียง “ขอรับ” แล้วลากสวีซื่อจุนไปปาลูกดอกที่ห้องโถง
ในห้องเต็มไปด้วยเสียงปาลูกดอกและเสียงร้องของสาวใช้
หู่พั่วยิ้มแล้วเดินเข้ามา “คุณชายน้อยหกเก่งมากเลยเจ้าค่ะ ลูกดอกสิบดอก โยนลงกระบอกตั้งเจ็ดแปดดอกเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงตกตะลึง
จากนั้นสาวใช้น้อยก็มารายงาน “คุณนายน้อยสองกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงให้นางเป็นตัวแทนของตรอกเหอฮวาหลี่ ไปเชิญครอบครัวของคุณชายสามที่ตรอกซานจิ่งกลับมาฉลองเทศกาลด้วยกัน
“เชิญนางเข้ามาเถิด!”
เซียงซื่อสวมเสื้อกั๊กยาวสีแดงดอกกุหลาบเดินเข้ามา
“พวกเขาว่าอย่างไรบ้าง”
สืออีเหนียงถามนาง หู่พั่วยกเก้าอี้เข้ามาให้นางนั่งข้างเตียงเตา
“อาการป่วยของท่านป้าสะใภ้สามยังไม่ดีขึ้นเจ้าค่ะ” เซียงซื่อนั่งลงแล้วรับถ้วยชามาจากชิวอวี่ “ตอนที่ข้าเข้าไป ท่านป้าสะใภ้สามเพิ่งจะทานยาจากนั้นก็พักผ่อนไป ข้ารออยู่เกือบครึ่งชั่วยามกว่าท่านป้าสะใภ้สามจะตื่นขึ้น พอได้รับรู้เจตนาที่ข้าไปหา นางก็บอกว่าหากถึงตอนนั้นตัวเองดีขึ้นแล้วจะมา แต่หากยังไม่ดีขึ้น ก็จะให้คุณชายสามพาคุณชายน้อยใหญ่ คุณชายน้อยสามและน้องสะใภ้สามมาเจ้าค่ะ”
เช่นนั้นก็หมายความว่า จะให้ฟังซื่อ คุณนายน้อยใหญ่คอยอยู่รับใช้ตัวเองที่เรือน
สืออีเหนียงถอนหายใจ
ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว หลานชายคนโตก็มีแล้ว แต่ฮูหยินสามก็ยังไม่ยอมปล่อยฟังซื่อไป
เมื่อถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ ฮูหยินสามและฟังซื่อก็ไม่ได้มาจริงๆ
ทุกคนล้วนแต่พูดถึงจินซื่อที่ใกล้จะคลอดลูก จินซื่อตั้งครรภ์ครั้งแรก นางนั่งก้มหน้าไม่พูดไม่จาด้วยความเขินอายอยู่ข้างๆ สวีซื่อเจี่ยน ได้ยินว่าสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยจองห้องชมโคมไฟไว้ เขาก็อยากไปด้วย สองปีที่ผ่านมาคุณชายสามปวดหัวกับเรื่องของฮูหยินสามและลูกสะใภ้ใหญ่มาตลอด นึกถึงเรื่องที่วันนี้ภรรยาหาข้ออ้างไม่ให้ลูกสะใภ้ใหญ่มาด้วย แล้วท่านแม่ยังถามถึงภรรยาตัวเองด้วยความเป็นห่วง บอกให้ป้าตู้ส่งยาบำรุงร่างกายไปให้พรุ่งนี้เช้า…เขายิ่งไม่สบายใจเข้าไปใหญ่
“เราไปร่วมสนุกด้วยดีกว่า!” เขาพูดกับสวีลิ่งอี๋ “ดูเหมือนว่าเราเคยไปเทศกาลโคมไฟเมื่อสมัยฮ่องเต้เจี้ยนอู่ ผ่านไปสิบกว่าปีแล้วใช่หรือไม่”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “ปีนั้นฮ่องเต้ยังพาบรรดาขุนนางไปชมโคมไฟที่ประตูพระราชวัง…แต่พึ่งจะเข้าปีที่สองก็สิ้นพระชนม์!” มันคือปีที่มีการช่วงชิงดุเดือดที่สุด เขาถอนหายใจ “ได้สิ พวกเราก็ออกไปเดินเล่นดีกว่าขอรับ”
ไท่ฮูหยินและคนอื่นๆ ย้ายไปดื่มสุราที่เรือนฉยงหลิง
ไท่ฮูหยินอายุมากแล้ว ดื่มสองสามถ้วยก็เริ่มเมาแล้ว ฟังสืออีเหนียงและคนอื่นพูดคุยกัน จากนั้นก็ผล็อยหลับไปบนเตียงหลัวฮั่น
“พวกเจ้ากลับไปก่อนเถิด!” ฮูหยินสองนั่งข้างเตียงหลัวฮั่น “ภรรยาของเจี่ยนเกอกำลังตั้งครรภ์ พรุ่งนี้เช้าน้องสะใภ้สี่ยังต้องตื่นมาดูแลเรื่องในจวน น้องสะใภ้ห้าก็ต้องดูแลลูก…ข้าเฝ้าท่านแม่อยู่ที่นี่เอง!”
ดึกแล้ว สืออีเหนียงก็เริ่มเหนื่อยแล้ว จึงบอกกับฮูหยินสอง “เช่นนั้นก็รบกวนพี่สะใภ้สองแล้วเจ้าค่ะ” จากนั้นก็เดินออกจากเรือนพร้อมกับฮูหยินห้า
ระหว่างทาง ซินเจี่ยเอ๋อร์อยากให้จินซื่อไปพักผ่อนที่เรือนของตัวเอง
“ไม่ได้!” ฮูหยินห้าอุ้มเฉิงเกอที่หลับไปแล้วอยู่ในอ้อมแขน “นิสัยบุ่มบ่ามอย่างเจ้า หากเตะโดนท้องพี่สะใภ้สามของเจ้าเข้าจะทำเช่นไร ให้พี่สะใภ้สามของเจ้าไปพักผ่อนที่เรือนของพี่สะใภ้สองของเจ้าดีกว่า!”
“ท่านแม่เจ้าคะ!” ซินเจี่ยเอ๋อร์ไม่ยอม แต่นางทำได้แค่เบะปาก
ฮูหยินห้าเชิญแม่นมในพระราชวังมาสอนมารยาทซินเจี่ยเอ๋อร์ ซินเจี่ยเอ๋อร์เลยมีท่าทีเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
“ไม่เหมาะสม!” ถึงอย่างไรฮูหยินห้าก็ไม่เห็นด้วย
จินซื่อเห็นซินเจี่ยเอ๋อร์ไม่พอใจ เลยรีบเข้าไปพูดกอบกู้สถานการณ์ให้ซินเจี่ยเอ๋อร์ “หรือว่า เราไปพักผ่อนที่เรือนพี่สะใภ้สองด้วยกันดีหรือไม่”
“ดีเจ้าค่ะ!” ซินเจี่ยเอ๋อร์รีบพูดขึ้นก่อนที่ฮูหยินห้าจะพูดขัด “แบบนี้เราก็จะได้พูดคุยกันใต้แสงเทียน”
“ให้พี่สะใภ้สามของเจ้ากลับไปพักผ่อน ก็เพราะกลัวว่านางจะเหนื่อย” ฮูหยินห้ายิ้มแล้วพูดว่า “แต่เจ้ากลับจะพูดคุยกันใต้แสงเทียน? รีบกลับไปนอนประเดี๋ยวนี้”
ซินเจี่ยเอ๋อร์ไม่ยอม สุดท้ายนางก็ไปนอนที่เรือนของเซี่ยงซื่อกับจินซื่อ
สืออีเหนียงกลับมาที่เรือน แสงจันทร์ส่องสว่าง ไร้เสียงผู้คน รอบข้างเงียบสงัด พลอยทำให้บรรยากาศดูอ้างว้าง
อาจเป็นเพราะว่าคิดถึงคนที่ไปชมโคมไฟ นางจึงนอนไม่หลับ งีบไปประเดี๋ยวเดียวก็ตื่น นางสวมเสื้อคลุมแล้วถามชิวอวี่ที่เฝ้ายามตอนกลางคืน “ตอนนี้ยามอะไรแล้ว คุณชายน้อยสี่กับคนอื่นๆ ยังไม่กลับมาอีกหรือ”
ชิวอวี่หาวพลางวิ่งไปดูนาฬิกาที่ห้องปีกทิศตะวันออก “ยามโฉ่วแล้วเจ้าค่ะ” นางพูด “บ่าวออกไปดูข้างนอกดีกว่าเจ้าค่ะ!”
ในขณะที่นางกำลังพูด ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากข้างนอกพอดี
“คุณชายน้อยหกน่าจะกลับมาแล้ว!” ชิวอวี่มีชีวิตชีวาขึ้นมา ไม่มีความง่วงนอนเลยแม้แต่น้อย “บ่าวออกไปดูดีกว่าเจ้าค่ะ!” พูดจบ นางก็เดินออกไปแล้วกลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว “คุณชายน้อยสี่และคุณชายน้อยห้าเจ้าค่ะ พวกเขามาส่งคุณชายน้อยหกที่หลับไปแล้ว!”
สืออีเหนียงสวมเสื้อคลุมแล้วเดินออกไป ก็เห็นสวีซื่อเจี้ยคอยดูสวีซื่อจุนที่กำลังแบกจิ่นเกอเดินเข้าไปในเรือนปีกทิศตะวันตก
นางรีบเดินตามไป “พ่อของเจ้ายังไม่กลับมาอีกหรือ”
จิ่นเกอหลับสนิท
“ท่านพ่ออยู่กับท่านลุงสามขอรับ” สวีซื่อจุนปาดเหงื่อบนหน้าผาก “พี่สามไปหาพวกเขา เราจึงกลับมาก่อน!”
“เซินเกอเล่า” สืออีเหนียงช่วยหงเหวินเปลี่ยนเสื้อผ้าให้จิ่นเกอ “หลับไปแล้วหรือ ใครเป็นคนไปส่งเขา”
“เขาหลับไปเร็วกว่าน้องหกเสียอีก” สวีซื่อจุนพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเราไปส่งเซินเกอก่อนแล้วถึงมาที่นี่!”
สืออีเหนียงเห็นสวีซื่อเจี้ยยืนเงียบอยู่ข้างๆ นางก็ยิ้มแล้วพูดอย่างอ่อนโยน “ดึกมากแล้ว พวกเจ้ารีบกลับไปนอนพักผ่อนเถิด”
พวกเขาสองคนขานรับ “ขอรับ” จากนั้นก็ขอตัวลาสืออีเหนียง
ออกมาจากประตู พวกเขาสองคนเดินไปยังเรือนต้านปั๋วไจด้วยกัน เมื่อเข้าไปในห้อง สวีซื่อเจี้ยก็จับมือสวีซื่อจุน “เป็นเช่นไรบ้าง” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกและสีหน้าที่หม่นหมอง “ได้ข่าวอะไรหรือไม่ขอรับ”
“อย่ารีบร้อน” สวีซื่อจุนปลอบใจเขา “เรื่องมันผ่านมาตั้งสิบกว่าปีแล้ว ครอบครัวหลิ่วไม่มีญาติที่ไหน ข้าไม่กล้าให้คนอื่นช่วย แล้วยังต้องแอบถาม…จะได้ข่าวเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร!”
สวีซื่อเจี้ยสีหน้าผิดหวัง นึกถึงความเป็นไปได้ที่น่ากลัว สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ ซีดขาว
“หากข้า…ไม่ใช่…” มุมปากของเขากระตุก เนื้อตัวเริ่มสั่นเทา
“ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดแน่นอน!” สวีซื่อจุนพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “เจ้าหน้าตาเหมือนข้า เจ้าต้องเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของสกุลสวีอย่างแน่นอน!” ทันทีที่พูดจบ พวกเขาสองคนก็ทำสีหน้าแปลกๆ
หากเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของสกุลสวีจริงๆ…ด้วยนิสัยของสวีลิ่งอี๋ ถูกใจน้องสาวของนักแสดงงิ้วคนหนึ่ง เหตุใดถึงไม่รับนางเข้ามาเป็นอนุภรรยา ให้นางเข้ามาอยู่กับตัวเอง หรือว่าหยวนเนียงไม่ยอมเช่นนั้นหรือ ถึงแม้ว่าสวีลิ่งอี๋ไม่อยากรับนางเข้ามาอยู่ในจวน แต่เขาก็ควรจะหาที่ดีๆ ให้นางอยู่…สถานที่อย่างคูน้ำอู่หลิว ยังไม่ได้เดินเข้าไปก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าแล้ว และหากไม่ระมัดระวังก็อาจเหยียบโดนอุจจาระของใครก็ไม่รู้ที่อยู่ข้างทาง…
สวีลิ่งอี๋ที่สีหน้าเคร่งขรึมเดินอยู่บนถนนทางไปคูน้ำอู่หลิว สวีซื่อจุนแค่คิดก็รู้สึกว่าเหลวไหล!
“ข้าจำได้ว่าตอนนั้นท่านพ่อสู้รบอยู่ที่ซีเป่ย…” เขาพึมพำ จากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป “แล้วท่านแม่ก็ยังไปไหว้พระที่วัดฉือหยวน…”
หรือว่าสวีซื่อเจี้ยไม่ใช่ลูกของท่านพ่อจริงๆ?
ความคิดนี้ผุดขึ้นมา สวีซื่อจุนพูดด้วยความเป็นห่วง “หากเพื่อนบ้านของหลิ่วขุยไม่ย้ายออกไปก็คงดี…เราจะได้ถามเพื่อนบ้านของเขา จะได้รู้ว่าตอนนั้นมีใครไปมาหาสู่กับครอบครัวหลิ่วอยู่บ้าง”
“พวกเขาไม่มีทางย้ายออกไปหมดแน่นอน” สวีซื่อเจี้ยมองสวีซื่อจุนด้วยสายตาที่อ้อนวอน “เราต้องหาเจอสักหนึ่งหรือสองครอบครัวแน่นอน”
“ใช่แล้ว!” คำพูดของเขาทำให้สวีซื่อจุนสับสน “เหตุใดเพื่อนบ้านของครอบครัวหลิ่วถึงย้ายออกไปกันหมด แล้วก็ไม่รู้ว่าพวกเขาย้ายไปอยู่ที่ไหน ผ่านมาตั้งหลายปี ไม่มีใครกลับมาที่คูน้ำอู่หลิวเลยสักคน…” เหมือนหลิ่วฮุ่ยฟัง ที่จู่ๆ ก็หายตัวไป ราวกับมีคนพยายามลบเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อนให้สะอาดหมดจด…
ความคิดนี้ผุดขึ้นมา สวีซื่อจุนที่มีประสบการณ์มากกว่าสวีซื่อเจี้ย จู่ๆ สีก็หน้าซีดขาวราวกับกระดาษเหมือนสวีซื่อเจี้ย
เขาแค่อยากจะถามเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นจากครอบครัวใครสักคน เหตุใดถึงยากเย็นขนาดนี้ แม้แต่เพื่อนบ้านของครอบครัวหลิ่วก็…แค่คิดก็รู้ว่าคนที่ทำเช่นนี้ต้องเป็นคนมีอำนาจมากแค่ไหน!
หรือว่า เรื่องของสวีซื่อเจี้ยเป็นความลับที่ให้ใครล่วงรู้ไม่ได้?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็ยิ่งคิดหนัก
*****
ก่อนเทศกาลฉงหยาง สวีซื่อจุนลอบไปคูน้ำอู่หลิวอีกสองสามครั้ง แล้วก็เหมือนกับครั้งก่อนๆ เขาไม่ได้อะไรกลับมาเลย
สวีซื่อเจี้ยไม่สบายใจ
“หรือว่า ให้เถาเฉิงช่วยสืบ?” เขาพูดอย่างกระวนกระวายใจ
“ไม่ได้!” สวีซื่อจุนพูด “หาก… มีคนรู้น้อยเท่าไรยิ่งดี!”
สวีซื่อเจี้ยนิ่งเงียบ
กลัวว่าเถาเฉิงจะรู้…พี่สี่คิดแบบนี้ หรือว่าพี่สี่คิดว่าตนนั้นไม่ใช่ลูกของท่านพ่อ… ไม่เช่นนั้น เขาคงจะไม่พูดแบบนี้ออกมา…
แต่สวีซื่อจุนกลับไม่ได้คิดอะไรมาก ในหัวของเขาเอาแต่คิดว่าจะทำเช่นไรถึงจะหาคนที่เคยสนิทสนมกับครอบครัวหลิ่วเจอ จะได้ไขปริศนานี้ได้สักที
สายตาของสวีซื่อเจี้ยหม่นหมองลง “พี่สี่ ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อน ท่านพักผ่อนเถิด!”
เพราะเช่นไรตอนนี้ก็ยังคิดไม่ออก พรุ่งนี้ค่อยคิดต่อดีกว่า
สวีซื่อจุนพยักหน้า จากนั้นก็ออกไปส่งสวีซื่อเจี้ย
มีบ่าวรับใช้เข้ามาโค้งคำนับพวกเขา “คุณชายน้อยสี่ คุณชายน้อยห้าขอรับ!”
สวีซื่อจุนไม่คุ้นหน้าบ่าวรับใช้คนนี้ เลยสำรวจมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า บ่าวรับใช้คนนั้นรีบพูดขึ้นว่า “บ่าวเป็นบ่าวรับใช้ของตรอกซานจิ่ง คุณนายน้อยสามของเราคลอดบุตรสาว บ่าวจึงเข้ามารายงานข่าวดีขอรับ!”
“ไอ๊หยา!” สวีซื่อจุนตกตะลึง “พี่สะใภ้สามคลอดแล้วหรือ”
“ขอรับ!” บ่าวรับใช้คนนั้นรีบพูด “คุณชายสามบอกว่าจะจัดงานเลี้ยงฉลองขอรับ แล้วยังจะเชิญคณะเต๋ออินปานมาร้องงิ้วอีกด้วย”
ร้องงิ้ว…ท่านอาห้ามักจะเป็นคนจัดการเรื่องพวกนี้…เพราะท่านอาห้าสนิทสนมกับคณะงิ้ว…
สวีซื่อจุนสายตาเป็นประกาย
เขาลากสวีซื่อเจี้ยกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง “เราไปขอร้องให้ท่านอาห้าช่วยดีกว่า หลิ่วขุยและหลิ่วฮุ่ยฟังมีเชื่อเสียงขนาดนั้น ไม่มีทางที่ท่านอาห้าจะไม่รู้จักพวกเขา ถึงแม้ว่าท่านอาห้าจะไม่รู้จักพวกเขา แต่ก็ต้องรู้จักคนที่สนิทสนมกับพวกเขาแน่นอน แล้วท่านอาห้าก็ยังใจดี เป็นคนในครอบครัว…ไม่มีวิธีไหนดีไปกว่านี้อีกแล้ว!”