สวีซื่อจุนที่เอียงหูแอบฟังอยู่ตรงหน้าต่างห้องหนังสือ พลันรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองเปียกชื้น
เขายืนตัวตรง กำลังจะยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตา ก็มีคนยื่นผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกกล้วยไม้สีขาวให้เขา “คุณชายน้อยสี่เจ้าคะ ประเดี๋ยวทรายจะเข้าตาเอา ใช้ผ้าเช็ดหน้าดีกว่าเจ้าค่ะ!”
เสียงที่สดใสเช่นนี้ คือเสียงของหู่พั่ว
ไม่แปลกใจที่ท่านแม่ให้นางเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ดูแลหญิงในเรือน
สวีซื่อจุนยืนอกผายไหล่ผึ่ง เขาตอบ “อืม” เบาๆ แล้วรับผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา จากนั้นก็ยื่นผ้าเช็ดหน้ากลับไปให้นาง “ออกไปกันเถิด!”
พากันเดินออกจากห้องหนังสือ
ผลลัพธ์เช่นนี้ดีที่สุด!
ทุกคนจะได้มีความสุข!
หู่พั่วมองดูแผ่นหลังของสวีซื่อจุนแล้วยิ้มอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็ยกกระถางดอกไม้กระเบื้องลายครามเดินตามเขาไป
สืออีเหนียงยืนจับไหล่สวีซื่อเจี้ยอยู่ใต้ชายคา
ดวงอาทิตย์ทอแสงสาดกระทบลงมาบนตัวของเขา ราวกับกำลังสวมเสื้อคลุมสีทองก็ไม่ปาน พลอยทำให้บรรยากาศยิ่งดูอบอุ่น
สวีซื่อจุนค่อยๆ ลดความเร็วฝีเท้าลง
จู่ๆ ก็มีรูปร่างสีแดงพุ่งเข้ามารวดเร็วราวกับสายลมก็ไม่ปาน “ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้วขอรับ!” จิ่นเกอตะโกนเสียงดัง เขารีบพุ่งตัวเข้ามาในอ้อมแขนของสืออีเหนียง
หวงเสี่ยวเหมา หวังเอ้อร์อู่ ฉังอานและสุยเฟิง...รีบวิ่งตามเข้ามาเป็นพรวน ทำลายความเงียบสงบไปจนหมด
สืออีเหนียงปล่อยมือออกจากสวีซื่อเจี้ย ก้มหน้าลงมองจิ่นเกอที่หัวชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “อารามเมฆขาวสนุกหรือไม่”
“สนุกขอรับ!” จิ่นเกอรีบพูด เขายื่นมือออกไปข้างหลัง หวงเสี่ยวเหมายื่นห่อผ้าให้จิ่นเกอ จิ่นเกอนั่งลงบนพื้นแล้วเปิดห่อผ้า “นี่คือหวีไม้หวงหยาง มอบให้ท่านแม่ นี่คือที่วางพู่กันเครื่องเคลือบขาว มอบให้พี่สี่ นี่คือที่ห้อยพิณสีเหลือง มอบให้พี่ห้า นี่คือหนังสือ ‘คัมภีร์ลัทธิเต๋า’ มอบให้พี่สอง นี่คือกำไลเงิน มอบให้พี่สะใภ้สอง ดอกโบตั๋นสีแดง มอบให้ท่านย่า ส่วนดอกกล้วยไม้หยก มอบให้ท่านป้าสอง…” ในห่อผ้าของเขาเต็มไปด้วยสิ่งของมากมาย “ใบชามอบให้ท่านพ่อ ที่ทับกระดาษมอบให้ท่านอาห้า เตาเผาเครื่องหอมมอบให้ท่านอาสะใภ้ห้า ดาบไม้มอบให้น้องเจ็ด กลองป๋องแป๋งมอบให้น้องแปด กล่องชาดแดงให้พี่หญิงสอง…” นำของขวัญมาให้ทุกคน
สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยรับของขวัญของตัวเองมา พวกเขาพูดขอบคุณจิ่นเกอ โดยเฉพาะสวีซื่อเจี้ย เขายิ้มแล้วลูบหัวจิ่นเกออย่างเบามือ
“ไม่เป็นไรขอรับ!” จิ่นเกอยิ้มแล้วหยิบกล่องกล่องหนึ่งออกมาเปิด ก่อนจะหยิบดอกทับทิมกำมะหยี่ออกมาให้หู่พั่ว “ให้ท่าน!”
หู่พั่วตกใจ “บ่าว? ของบ่าวก็มีหรือเจ้าคะ!”
“ใช่แล้ว!” จิ่นเกอพูด จากนั้นก็ยัดกล่องกระดาษให้หู่พั่ว “ที่เหลือ นำไปให้ป้าซ่ง ชิวอวี่และคนอื่นๆ แบ่งกันเถิด!” เขาเหลือบมองปี้หลัวที่ยืนอยู่ข้างๆ จากนั้นก็พูดว่า “พี่ปี้หลัว ของพวกท่านก็มี”
เขาซื้อของมาเยอะมาก
“ไอ๊หยา!” ปี้หลัวย่อเข่าคำนับ
บรรยากาศพลันครื้นเครงขึ้นมาทันที
จิ่นเกอจับมือสืออีเหนียงแล้วเล่าเรื่องที่ไปอารามเมฆขาวให้นางฟัง “…ท่านอาจารย์บอกว่า เวลาคำนับต้องใช้มือซ้ายจับนิ้วโป้งขวา…จุดธูปบูชาต้องคารวะจากข้างหลังไปข้างหน้า…เข้าประตูห้ามเข้าประตูตรงกลาง ต้องเข้าประตูข้างขอรับ…”
สืออีเหนียงตั้งใจฟังจิ่นเกอที่พูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น แล้วยังถามเขาว่า “จริงหรือ” เป็นครั้งคราว จิ่นเกอยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น แม้แต่เรื่องที่ดูละครงิ้วแล้วเงินหล่นหายสิบอีแปะก็ยังเล่าให้สืออีเหนียงฟัง
สวีซื่อจุนเห็นจิ่นเกอพูดไม่หยุด ทุกคนก็ล้อมกันอยู่ที่หน้าประตู พลอยทำให้คนที่เดินผ่านมาเห็นคิดว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น เขาจึงหาโอกาสขัดจังหวะจิ่นเกอ “เจ้าหิวหรือไม่ ข้าบอกให้โรงครัวทำปลาจาน น้องหกไปล้างหน้าล้างตาเถิด ประเดี๋ยวจะได้ทานอาหารเย็นกัน จากนั้นเราก็ไปคารวะท่านย่าด้วยกัน เจ้าจะได้นำของที่เจ้าซื้อมาไปแบ่งให้ทุกคน เจ้าคิดอย่างไรบ้าง”
“ได้ขอรับ!” จิ่นเกอยิ้มแล้วจับมือสืออีเหนียงเดินออกไป “ท่านแม่ขอรับ ท่านไปอาบน้ำให้ข้าดีกว่า!” เขาพูดด้วยท่าทีที่อยากจะกลับเรือน
จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร!
ใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว จะให้ท่านแม่และน้องหกออกไปโดยที่ยังไม่ได้ทานอะไรได้ที่ไหนกัน!
สวีซื่อจุนรีบห้ามจิ่นเกอ แล้วหันไปพูดกับสืออีเหนียง “ท่านแม่ ให้น้องหกอาบน้ำที่เรือนของข้าเถิด ข้าจะให้ปี้หลัวไปตักน้ำให้น้องหก แล้วให้ลี่ว์เสวี่ยไปนำเสื้อผ้ามาให้น้องหก”
สวีซื่อจุนบอกให้โรงครัวเตรียมอาหารแล้ว แล้วยังทำปลาจาน สืออีเหนียงเองก็ไม่ได้คิดจะออกไป
“ได้เลย!” สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นเรายืมห้องชำระของเจ้าใช้ก็ได้”
สวีซื่อจุนถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขายิ้มแล้วบอกปี้หลัวกับลี่ว์เสวี่ย
แต่จิ่นเกอกลับดึงแขนเสื้อมารดาเบาๆ กระซิบกระซาบที่หูของนาง “ท่านแม่ขอรับ เรากลับไปกันดีกว่า!”
“ทำไมหรือ” สืออีเหนียงถามเขาเบาๆ
เขาบิดตัวอยู่ครู่หนึ่งแล้วกระซิบเบาๆ “ท่านแม่ ข้าไม่อยากทานปลาจาน ข้าอยากทานซาลาเปาหิมะแดง…”
สืออีเหนียงแปลกใจ
จิ่นเกอพูด “ข้าเห็นนอกอารามเมฆขาวมีซาลาเปาขาย ลูกใหญ่มากเลย!” เขายกมือขึ้นมาทำท่าทางประกอบไปด้วย “มีจุดสีแดงเล็กๆ อยู่บนซาลาเปาด้วยขอรับ ว่ากันว่าทำมาจากหมูสามชั้นแดง แต่อาจารย์ไม่ให้ข้าทานของข้างนอก…” พูดจบ ก็จับจ้องสืออีเหนียง “ท่านแม่ ข้าอยากทานซาลาเปาหิมะแดงขอรับ!” เขาพูดด้วยท่าทีอยากทานจนน้ำลายไหล
เด็กน้อยมักมีความอยากรู้อยากเห็น และมักจะคิดว่าอาหารข้างนอกอร่อยกว่าอาหารในบ้าน
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้ นางถามสวีซื่อจุน “ทำซาลาเปาหิมะแดงตอนนี้ทันหรือไม่”
“ไม่ใช่เรื่องยากขอรับ!” ถึงแม้ว่าจิ่นเกอจะพูดเบาๆ แต่ทุกคนกำลังฟังพวกเขาสองแม่ลูกคุยกันอยู่ แน่นอนว่าพวกเขาต้องได้ยินอย่างชัดเจน สวีซื่อจุนยิ้มพร้อมกับพูดว่า “เจ้ารีบไปอาบน้ำเถิด เมื่อเจ้าอาบน้ำเสร็จ ซาลาเปาหิมะแดงก็ทำเสร็จพอดี”
จิ่นเกอเดินตามสืออีเหนียงเข้าไปในห้องน้ำอย่างดีอกดีใจ
สวีซื่อจุนพาสวีซื่อเจี้ยไปห้องหนังสือ
“พี่สี่!” เขาพูดอย่างตื่นเต้น “ท่านแม่บอกว่า กลัวข้าโตไปแล้วจะไม่ยอมรับท่านแม่…แล้วยังบอกอีกว่า ข้าคือบุตรชายของท่านแม่ ไม่ว่าอย่างไร ท่านแม่ก็ไม่มีทางให้ข้าไปเป็นบุตรชายของคนอื่น!”
สวีซื่อจุนแสร้งทำเป็นตบไหล่เขาเบาๆ ด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ “ข้าบอกแล้วว่าไม่ต้องเป็นห่วง ท่านแม่พูดขนาดนี้แล้ว ต่อไปเจ้าต้องห้ามก่อเรื่องอีก!”
สวีซื่อเจี้ยพยักหน้าซ้ำๆ “ต่อไปข้าจะกตัญญูต่อท่านแม่…ข้าจะตั้งใจเล่าเรียน สอบบัณฑิตซิ่วไฉ สอบบัณฑิตจู่เหรินเหมือนพี่สอง…ข้าจะไม่ไปร้องงิ้ว ไม่ทำให้ท่านแม่ลำบากใจอีกแล้ว…”
เขาพูดถึงแผนการในอนาคตของตัวเอง
หู่พั่วและปี้หลัวกำลังเก็บข้าวของของจิ่นเกอที่โยนทิ้งเอาไว้บนพื้น
ปี้หลัวจับดอกทับทิมกำมะหยี่ที่ปักอยู่บนหัวตัวเอง “คุณชายน้อยหกเหมือนฮูหยินมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกที… ฮูหยินใจกว้างกับทุกคน!”
ไม่บอกก็รู้!
หู่พั่วยิ้มพลางถามปี้หลัว “พวกเจ้ามีกี่คน เลือกไปสักสองสามดอกเถิด!”
ปี้หลัวนับกลับไปที่เรือนของตัวเองสองสามดอก
โรงครัวยกซาลาเปาเข้ามา
จิ่นเกอและสืออีเหนียงยังไม่ออกมาจากห้องชำระ
สวีซื่อจุนเห็นว่าซาลาเปานั้นใหญ่เหมือนที่จิ่นเกอพูด แต่ว่าไม่มีจุดสีแดง เขาจึงถามว่า “มีน้ำข้าวหมักแดงหรือไม่”
ป้ารับใช้ที่ยกซาลาเปาเข้ามายิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายน้อยสี่จะให้เติมจุดสีแดงหรือเจ้าคะ บ่าวจะไปนำมาประเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” พูดจบ นางก็กลับไปยกน้ำข้าวหมักแดงเข้ามา ใช้แปรงแต้มสีแดงลงบนซาลาเปา
ทำให้ซาลาเปาสีขาวธรรมดาดูสวยงามขึ้นมาไม่น้อย
สวีซื่อจุนเห็นเช่นนี้ก็สนใจ พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าแต้มบ้าง!”
ป้ารับใช้คนนั้นยื่นแปรงให้สวีซื่อจุน
สวีซื่อจุนแต้มไปสองสามลูด จากนั้นก็ยื่นแปรงให้สวีซื่อเจี้ย “เจ้าลองแต้มดูสิ!”
สวีซื่อเจี้ยแต้มไปสองสามลูก เขายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องพูดถึงน้องหก แม้แต่ข้าเห็นแล้วก็ยังอยากทานเลย… “ เขายังพูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาจากทางประตู จากนั้นก็มีน้ำเสียงอันเข้มงวดดังเข้ามาในหูของพวกเขา “พวกเจ้ากำลังทำอะไร”
พวกเขาทั้งสองคนพลันตกใจ มองออกไปก็เห็นสวีลิ่งอี๋ยืนคิ้วขมวดอยู่หน้าประตูด้วยท่าทีที่เคร่งขรึม
“ท่านพ่อขอรับ!” สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยรีบเดินเข้าไปคำนับสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋เหลือบมองแปรงที่สวีซื่อเจี้ยโยนลงบนพื้น เขาพูดอย่างเคร่งขรึม “โตขนาดนี้แล้ว เหตุใดยังทำตัวเป็นเด็ก ถือแปรงแต้มจุดสีแดงเช่นนี้…” พูดด้วยท่าทีที่ไม่พอใจ “คงมีแต่พวกเจ้าที่ทำเช่นนี้!”
น้องห้าพึ่งจะรู้ชาติกำเนิดของตัวเอง ท่านพ่อตำหนิเขาแบบนี้ เขาจะน้อยใจหรือไม่
สวีซื่อจุนรู้สึกเป็นห่วงสวีซื่อเจี้ย เลยรีบอธิบายขึ้นว่า “ข้าเห็นว่าซาลาเปาที่ขายข้างนอกมีจุดสีแดง…” เขายังพูดไม่ทันจบ ก็รู้สึกว่ามีคนดึงแขนเสื้อของตัวเอง
เขาเหลือบมองก็เห็นมือของสวีซื่อเจี้ย
“ท่านพ่อ เป็นความผิดของข้าเองขอรับ!” สวีซื่อเจี้ยพูดเสียงดัง “ต่อไปข้าจะไม่ทำอีกแล้วขอรับ!”
พูดด้วยเสียงที่ดังฟังชัด
สีหน้าของสวีลิ่งอี๋ผ่อนคลายลง “ท่านแม่ของเจ้าเล่า”
ไม่มีเรื่องอันใด แล้วเหตุใดถึงมาทานข้าวที่เรือนของสวีซื่อจุน
“กำลังอาบน้ำให้น้องหกขอรับ!” สวีซื่อจุนรีบพูด
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็เดินไปที่ห้องชำระ
“น้องห้า!” สวีซื่อจุนพูด “ท่านพ่อก็เป็นเช่นนี้…”
สวีซื่อเจี้ยส่ายหน้าให้เขาเบาๆ บอกให้เขาไม่ต้องพูดอะไร “ท่านพ่อเห็นข้าเป็นเหมือนบุตรชายของตัวเอง เขาถึงได้ตำหนิข้า สั่งสอนข้าแบบนี้!” เขายิ้มมุมปาก “พี่สี่ ท่านพูดถูกแล้ว ข้าคิดมากเกินไป!” เขาพูดเสียงดัง “ข้าจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้วขอรับ!”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดด้วยความมั่นใจขนาดนี้
และนี่ก็เป็นครั้งแรก ที่เขารู้สึกสบายใจถึงเพียงนี้
ถูกตำหนิแล้วยังดีใจ?
สวีซื่อจุนไม่เข้าใจ
แต่ถ้าสวีซื่อเจี้ยปล่อยวางเรื่องนี้ได้ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี!
เขายิ้มแล้วตบไหล่สวีซื่อเจี้ยเบาๆ “เช่นนั้นก็ดี!”
สวีซื่อเจี้ยยิ้มพลางพยักหน้าให้สวีซื่อจุน
วันที่เก้าเดือนเก้า งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่เรือนหลิงฉยงซานบนเขา
สืออีเหนียงเป็นคนดูแลเรื่องในจวน นางพาเด็กๆ สองสามคนมาถึงตั้งแต่เช้าแล้ว
เซี่ยงซื่อต้อนรับไท่ฮูหยินและฮูหยินสองที่เชิงเขา
ทันทีที่นั่งลง ครอบครัวของคุณชายห้าก็เดินขึ้นเขามา
สวีลิ่งควนจับมือซินเจี่ยเอ๋อร์วัยแปดขวบเดินอยู่ข้างหน้าสุด เซินเกอวัยห้าขวบถือดาบไม้กวัดแกว่งไปมาพลางกระโดดโลดเต้นอยู่ตรงกลาง เฉิงเกอวัยสามขวบถูกแม่นมอุ้มอยู่ในอ้อมแขน เดินมาพร้อมกับฮูหยินห้า ไม่รู้ว่าซินเจี่ยเอ๋อร์มองเห็นอะไร นางหยุดเดินแล้วชี้ให้สวีลิ่งควนดู สวีลิ่งควนมองออกไปตามทิศทางที่นิ้วชี้ จากนั้นก็ก้มหน้าพูดอะไรบางอย่างกับนาง เซินเกอเห็นเช่นนี้ ก็รีบวิ่งไปดูด้วยความสนใจ เฉิงเกอเห็นดังนั้นก็ดิ้นอยู่ในอ้อมแขนของแม่นม ฮูหยินห้าจึงอุ้มเฉิงเกอเดินไปดู พวกเขาหยุดหัวเราะอยู่ที่นั่นครู่หนึ่ง ก่อนจะออกเดินขึ้นมาบนเขาอีกครั้ง
หัวใจของสวีซื่อเจี้ยที่พิงอยู่ข้างตั่งเหม่ยเหรินราวกับมีคลื่นซัดเข้ามา แต่ในไม่ช้า คลื่นลูกนั้นก็ถูกเสียงของสืออีเหนียงทำลายไป “เจี้ยเกอ เจ้าไปดูสิว่าเหตุใดท่านอาห้าถึงยังไม่ขึ้นมาอีก”
สวีซื่อเจี้ยหันหน้ามา ก็เห็นสายตาที่นิ่งสงบแต่กลับเต็มไปด้วยความเชื่อใจของสืออีเหนียง
“ขอรับ!” เขายิ้มแล้วเดินไปต้อนรับสวีลิ่งควน จ้องมองสวีลิ่งควนแล้วเรียกเขา “ท่านอาห้า ท่านแม่กำลังเป็นห่วงอยู่ว่าทำไมท่านถึงยังไม่มา”
สวีลิ่งควนเลิกคิ้ว
ปกติสวีซื่อเจี้ยเห็นตัวเองมักจะมีท่าทีหวาดกลัว เหตุใดตอนนี้ถึงเปลี่ยนไป…
ตอนที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวของสวีลิ่งควน สวีซื่อเจี้ยก็เดินผ่านเขาไปแล้ว
“เซินเกอ น้องหกรอเจ้านานแล้ว!”