หลังจากทานปู เชยชมดอกเบญจมาศเสร็จแล้ว อากาศก็เริ่มเย็นลง
พระสนมหวังเหม่ยเหรินที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งได้ให้กำเนิดองค์ชายน้อยให้กับฮ่องเต้ เจินเจี่ยเอ๋อร์ไท่จื่อเฟยให้กำเนิดหลานชายให้กับฮ่องเต้ องค์ชายสามได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น ยงอ๋อง ออกไปสร้างจวนอยู่ที่ตรอกฉงเหวินตามลำพัง ฤดูใบไม้ร่วงปีหย่งเหอที่ยี่สิบ ทุกคนต่างก็มีชีวิตที่สุขสบาย แต่โจวฮูหยินกลับไม่ลืมวันเกิดของจิ่นเกอ นางมาที่จวนสกุลสวีในวันที่สิบเดือนสิบ นำพู่กันหูปี่ หมึกฮุยม่อ จานฝนหมึกตวนเอี้ยน ชุดคลุมเผาจื่อสองชุดและรองเท้าผ้าฝ้ายมามอบให้จิ่นเกอเป็นของขวัญวันเกิด
สืออีเหนียงรู้สึกเกรงใจอย่างมาก รีบเชิญโจวฮูหยินไปนั่งข้างใน เชื้อเชิญนางทานอาหารกลางวันที่เรือน “…ก็แค่วันเกิดธรรมดา รบกวนพี่หญิงแล้วเจ้าค่ะ”
“อย่าพูดเช่นนี้เลย” โจวฮูหยินยิ้มพร้อมกับอุ้มจิ่นเกอที่มาขอบคุณนาง “จิ่นเกอของเราคือดาวนำโชคของไท่จื่อเฟย!”
สืออีเหนียงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
โจวฮูหยินมองว่าการที่ฟังเจี่ยเอ๋อร์คลอดบุตรชายครั้งนี้เป็นเพราะจิ่นเกออีกแล้ว
“เพราะว่าไท่จื่อเฟยมีวาสนาต่างหากเจ้าค่ะ!”
ฟังเจี่ยเอ๋อร์มีบุตรชายสองคน ถือว่านางมีที่ยืนชั่วคราวอย่างมั่นคงแล้ว
โจวฮูหยินยิ้มแต่ไม่ได้ปริปากพูดอะไร หยิบป้ายหยกเหอเถียนออกจากแขนเสื้อ แล้วนำมาห้อยคอจิ่นเกอ “ข้ารู้ว่าเจ้าชอบสิ่งของพวกนี้ นี่คือป้ายหยกที่องค์หญิงนำออกมาจากพระราชวังเมื่อสองสามปีก่อน รู้ว่าข้าจะมาหาจิ่นเกอ จึงบอกให้ข้านำมาให้จิ่นเกอโดยเฉพาะ” พูดจบ ก็หยิบกำไลทองออกมาสวมให้จิ่นเกอ “ท่านลุงโจวนำมาให้เจ้า” หยิบหยกกลมสีเขียวออกมาห้อยที่เอวของจิ่นเกอ “นี่คือหยกที่ข้าขอให้ไต้ซือจี้หนิงบูชาให้ ตอนไปแก้บนให้ไท่จื่อเฟยที่วัดฉือหยวน ก็ได้ขอพรให้จิ่นเกอของเรามีชีวิตที่สงบสุขและปลอดภัย!” จากนั้นก็หยิบถุงผ้าสีแดงที่ปักประโยคว่า ‘มีเงินมีทองเหลือกินเหลือใช้ทุกปี’ ด้วยด้ายสีทองออกมา “ข้างในมีไข่มุกตงจูสองสามเม็ด ให้เจ้านำไปเล่น!”
สืออีเหนียงเหงื่อตกขึ้นมาทันที
“พี่หญิงโจว…” นางพึ่งจะเปิดปากเรียก โจวฮูหยินก็ยัดถุงผ้าให้จิ่นเกอแล้วพูดว่า “นี่คือสิ่งที่ผู้ใหญ่อย่างข้ามอบให้เด็ก ไม่ได้มอบให้เจ้าเสียหน่อย เจ้าไม่ต้องพูดมาก” จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดกับจิ่นเกอ “เด็กดี ท่านป้ารู้ว่าท่านย่าของเจ้ามีของดีๆ มากมาย รสนิยมของเจ้าก็สูง อีกทั้งสิ่งของพวกนี้เจ้าไม่ได้ขาดแคลน วันนี้ท่านป้ารีบร้อน ประเดี๋ยวรอให้ถึงปีใหม่ ท่านป้าค่อยหาสิ่งของน่าสนใจมาให้เจ้าเล่น”
จิ่นเกอเห็นว่าหยกเหอเถียนผิวเรียบเนียน แวววาวเป็นประกาย ไม่ใช่หยกทั่วๆ ไป ก็ชื่นชอบเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเห็นท่านแม่ทำท่าทีปฏิเสธ เขาจึงยื่นสิ่งของเหล่านั้นกลับไปให้โจวฮูหยิน “ท่านป้า ข้ารับเอาไว้ไม่ได้ขอรับ!”
โจวฮูหยินไม่สนใจเขา นางยัดสิ่งของพวกนั้นเข้าไปในอ้อมแขนของจิ่นเกอ แล้วหันไปพูดกับสืออีเหนียง “ข้าได้ยินมาว่า จิ่นเกอเริ่มฝึกศิลปะการต่อสู้กับอาจารย์แล้วเช่นนั้นหรือ” ไม่รอให้สืออีเหนียงตอบกลับ นางก็พูดขึ้นว่า “เจ้าทำอะไรกัน อากาศหนาวก็ต้องฝึก อากาศร้อนก็ต้องฝึก ฝึกศิลปะการต่อสู้ลำบากขนาดนี้! เจ้ายอมให้เขาฝึกได้เช่นไร หรือว่าจิ่นเกอยังต้องพึ่งพาสิ่งเหล่านี้เพื่อเลื่อนตำแหน่งอย่างนั้นหรือ”
โจวฮูหยินทวงความยุติธรรมให้จิ่นเกออยู่ที่นี่ ในขณะเดียวกันนั้น ฮูหยินห้าก็กำลังทวงความยุติธรรมให้บุตรชายของตัวเองเหมือนกัน
“…สรุปก็คือหากไม่ใช่อาจารย์ที่ตัวเองเชิญมาเอง สอนเด็กๆ ก็ต้องลำเอียงแน่นอน” นางหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่หน้าเตียงของซุนโหวผู้เฒ่า เป่ายาอย่างระมัดระวังก่อนจะป้อนซุนโหวผู้เฒ่า “ฝึกย่อเข่าเหมือนกัน แต่อาจารย์ผังกลับแอบสอนกำลังภายในให้จิ่นเกอ ตอนนี้เขาย่อเข่าได้ตั้งสี่ห้าก้านธูป เซินเกอของเรากำลังเสียเปรียบเจ้าค่ะ ย่อเข่าสามก้านธูปขาก็เป็นตะคริว แล้วเซินเกอของเราก็ยังเป็นคนไม่ยอมคน กัดฟันไม่ยอมแพ้ ข้าเกลี้ยกล่อมเขา บอกว่า ‘สิบนิ้วยื่นมามีสั้นยาว จิ่นเกอย่อเข่าได้ดี แต่ธนูของเขาสู้เจ้าไม่ได้’ เขาไม่เพียงแต่ไม่ยอมฟัง ยามเช้าไปฝึกย่อเข่า ยามเย็นก็กลับมาฝึกย่อเข่าต่อ ท่านพ่อ จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
หมายความว่า อยากให้ซุนโหวผู้เฒ่าช่วยหาอาจารย์ให้เซินเกอ
“อ้อ!” ซุนโหวผู้เฒ่าได้ยินดังนั้นก็ตกใจ “หมายความว่า หย่งผิงโหวยินยอมให้จิ่นเกอฝึกกำลังภายในอย่างนั้นหรือ”
เป็นเพราะอายุเยอะแล้ว ตั้งแต่ที่ซุนโหวผู้เฒ่าเป็นหวัดเมื่อเทศกาลไหว้พระจันทร์ เขาก็ล้มป่วย ตอนนี้ผ่านไปเกือบสองเดือนแล้ว หลังจากที่ไท่ฮูหยินรู้ นางก็บอกให้สวีลิ่งควนพาฮูหยินห้าและลูกๆ ไปอยู่ที่ตรอกหงเติงชั่วคราว ฮูหยินห้าคอยรับใช้บิดาของตัวเองทุกวัน
เมื่อเห็นบิดามีสีหน้าแปลกใจ ฮูหยินห้าก็รีบพูดว่า “ใช่เจ้าค่ะ ข้ายังได้ยินมาว่า จิ่นเกอฝึกย่อเข่า ฝึกศิลปะการต่อสู้ภายนอกทุกเช้า กลับไปตอนเย็นก็ค่อยฝึกศิลปะการต่อสู้ภายใน เพื่อเรื่องนี้ ท่านโหวบอกให้อาจารย์จ้าวลดการบ้านของจิ่นเกอเหลือครึ่งหนึ่ง”
ซุนโหวผู้เฒ่าเอนหลังพิงหมอนใบใหญ่ สีหน้าที่ผ่อนคลายเมื่อครู่ดูเคร่งขรึมขึ้นมาไม่น้อย
เขาทานน้ำแกงอย่างเงียบๆ จนกระทั่งฮูหยินห้าเก็บข้าวของกำลังจะออกไป เขาก็ชี้ไปยังเก้าอี้ บอกให้ฮูหยินห้าอยู่ต่อ “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า ถึงแม้ว่าการฝึกศิลปะการต่อสู้ภายในจะทำให้ฝึกศิลปะการต่อสู้ภายนอกง่ายขึ้น แต่เมื่อตั้งใจวางรากฐานแล้ว ทางที่ดีที่สุดคือไม่ควรรีบร้อนแต่งงาน ไม่เช่นนั้น ศิลปะการต่อสู้ภายในที่ร่ำเรียนไปก็เท่ากับไร้ประโยชน์!”
ฮูหยินห้าได้ฟังแล้วก็ตกใจ
“เจ้ายังอยากให้เซินเกอฝึกศิลปะการต่อสู้ภายในอยู่หรือไม่” ซุนโหวผู้เฒ่าเอ่ยถามบุตรสาว
“ไม่อยากแล้วเจ้าค่ะ!” ฮูหยินห้าตอบกลับโดยทันที “ข้ายังอยากให้เซินเกอแต่งงานมีลูกเร็วๆ!” พูดจบ นางก็ลังเล “แต่พี่สะใภ้สี่มีบุตรชายแค่คนเดียว เหตุใดนางถึงยอม…”
“ใช่!” ซุนโหวผู้เฒ่าจ้องมองบุตรสาว “นางยังยอมให้บุตรชายเพียงคนเดียวของตัวเองฝึกศิลปะการต่อสู้ภายใน เจ้ามีบุตรชายตั้งสองคน เหตุใดถึงยอมไม่ได้”
ฮูหยินห้าตะลึงงัน
ซุนโหวผู้เฒ่าพูดกับบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ เสียงดัง “ไปเรียกคุณชายน้อยเจ็ดเข้ามา!”
“ท่านพ่อเจ้าคะ!” ฮูหยินห้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
แต่ซุนโหวผู้เฒ่ากลับยกมือขึ้นห้าม เป็นสัญญาณให้นางไม่ต้องพูดอะไรอีก
เซินเกอกำลังฝึกยิงธนูอยู่ที่สนามฝึกกับองครักษ์สกุลซุนสองสามคน เมื่อได้ยินว่าท่านตาเรียกตัวเอง ก็รีบเช็ดหน้าเช็ดตาแล้ววิ่งไปหาท่านตาทันที
“ท่านตาขอรับ” เขาวิ่งเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าซุนโหวผู้เฒ่า
ซุนโหวผู้เฒ่าโปรดปรานหลานชายคนนี้เป็นอย่างมาก เมื่อเห็นเซินเกอ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ซุนโหวผู้เฒ่าลูบหัวเซินเกออย่างอ่อนโยน ยิ่งมองหลานชายที่แข็งแรงและร่าเริงคนนี้มากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจมากขึ้นเท่านั้น
“เจ้าอยากฝึกศิลปะการต่อสู้ภายในกับอาจารย์ผังเหมือนจิ่นเกอหรือไม่”
“อยากขอรับ!” สายตาของเซินเกอเป็นประกาย เขารู้ว่าท่านตาต้องมีวิธีทำให้เขาเก่งเหมือนจิ่นเกออย่างแน่นอน จึงรีบตอบกลับท่านตาโดยไม่ใคร่ครวญอะไรเลยแม้แต่น้อย
“ท่านพ่อ!” ฮูหยินห้าขมวดคิ้ว “เขายังเด็ก ยังไม่รู้อะไร…”
“เอาล่ะ!” ซุนโหวผู้เฒ่าขัดจังหวะฮูหยินห้า “เรื่องนี้ข้ารู้ดี” พูดจบเขาก็มองไปที่เซินเกอด้วยสายตาที่อบอุ่น “แต่ว่าฝึกศิลปะการต่อสู้ภายในไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วอีกอย่าง หากเจ้าฝึกได้ไม่ดี เจ้าจะแต่งงานไม่ได้…”
เซินเกอได้ยินดังนั้นก็พูดทันทีว่า “แล้วพี่หกจะแต่งงานหรือไม่ขอรับ”
ซุนโหวผู้เฒ่าอดหัวเราะเสียงดังไม่ได้ “เขาก็เหมือนกัน หากฝึกได้ไม่ดี เขาก็แต่งงานไม่ได้!”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไม่แต่งงานขอรับ!” เซินเกอพูด
“ดี!” ซุนโหวผู้เฒ่าพูดเสียงดังด้วยความพอใจ “มีความมุ่งมั่น!” จากนั้นก็ยิ้มแล้วยกนิ้วขึ้นมาเกี่ยวก้อยกับเซินเกอ “เจ้าต้องห้ามผิดสัญญาเชียวล่ะ!”
เซินเกอพยักหน้าซ้ำๆ “ท่านตา ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่ผิดสัญญาแน่นอนขอรับ ข้าต้องฝึกได้ดีกว่าพี่หกแน่นอน!”
ซุนโหวผู้เฒ่าพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ บอกให้บ่าวรับใช้พาเขาออกไป จากนั้นก็พูดกับฮูหยินห้า “เจ้าไปเรียกลิ่งควนมา ข้ามีเรื่องจะคุยกับเขา!”
“ท่านพ่อเจ้าคะ!” ฮูหยินห้าไม่สบายใจ
อนาคตของบุตรชายตนต้องเป็นแบบนี้จริงๆ หรือ
“ตอนนี้แว่นแคว้นสงบสุข เจริญรุ่งเรือง ไร้ศึกสงคราม ฝึกศิลปะการต่อสู้พวกนี้ไปจะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ!” นางเอ่ยคัดค้าน “แล้วอีกอย่าง ถึงแม้แผ่นดินจะวุ่นวาย แต่เซินเกอของเราก็ไม่มีทางได้จับปืนจับดาบฆ่าศัตรูหรอกกระมัง!”
“หลักการพวกนี้เจ้ายังรู้ แต่พี่สะใภ้สี่ของเจ้าจะไม่รู้อย่างนั้นหรือ!” ซุนโหวผู้เฒ่ายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าต้องหัดใช้สมองเสียบ้าง! ไปเรียกลิ่งควนเข้ามาเถิด!”
ฮูหยินห้าเดินออกไปด้วยความสับสนมึนงง
ฉังสุยที่ยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ตรงหัวเตียงของซุนโหวผู้เฒ่าเงยหน้าขึ้นมา “ท่านโหวขอรับ…เรื่องนี้ ท่านคิดว่าควรรอดูก่อนหรือไม่…คุณชายน้อยเจ็ดยังเด็กยิ่งนัก…”
“ไม่จำเป็น!” ซุนโหวผู้เฒ่าส่ายหน้า “คนที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ย่อมมีฝีมือ นักปราชญ์เหล่านั้นแบ่งหนึ่ง สอง สาม สี่ ห้าไม่ออก ก็ต้องฟังผู้ที่อาวุโสกว่าตัวเอง แต่คนที่เคยฝึกศิลปะการต่อสู้อย่างพวกเรานั้นไม่เหมือนกัน ต่อยออกไปเพียงหมัดเดียวก็รู้แล้วว่าใครแพ้ใครชนะ หมัดของใครหนักกว่า ก็ต้องยอมจำนนให้คนนั้น นึกถึงตอนนั้น หากสวีลิ่งอี๋ไร้ซึ่งวิชาศิลปะการต่อสู้ติดตัว เขาจะทำให้ผู้อาวุโสในค่ายยอมจำนนต่อเขาอย่างรวดเร็วขนาดนั้นได้ที่ไหนกัน เจ้าคิดว่าพวกเขาเกรงกลัวตำแหน่งหย่งผิงโหวของเขาอย่างนั้นหรือ ในเมื่อไม่ช้าก็เร็วเซินเกอต้องเดินทางสายนี้อยู่แล้ว ไม่สู้วางแผนเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เตรียมตัวล่วงหน้าย่อมดีกว่าอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น สกุลสวียังมีอำนาจในกองทัพ สวีลิ่งอี๋ไม่มีทางไม่สนใจแน่นอน” เขามองไปยังม่านกันฝุ่นสีฟ้าที่อยู่บนหัว จากนั้นก็พูดเสียงเบาลง “ดินแดนทางฝั่งตะวันตกสงบสุขมาสิบกว่าปีแล้วใช่หรือไม่…ตอนนี้ฮ่องเต้ทรงมีอำนาจล้นมือ อีกทั้งยังมีพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางเกิดเรื่องอันใดขึ้น…แต่ถ้าผ่านไปอีกสักสิบปีเล่า ถึงตอนนั้น จิ่นเกอก็คงจะอายุสิบห้าสิบหกแล้วใช่หรือไม่”
ฉังสุยได้ฟังแล้วก็รู้สึกหวั่นวิตก “ท่านโหวขอรับ…”
“ไม่มองการณ์ไกล ย่อมมีความวิตกกังวล” ซุนโหวผู้เฒ่ายิ้มขึ้น “สวีลิ่งอี๋ไม่ใช่คนที่ใช้ชีวิตสุขสบายไปวันๆ หากเจ้าไม่เชื่อ ก็รอดูได้เลย!”
*****
สองสามวันต่อมา เซินเกอก็กลับมาตรอกเหอฮวาหลี่
เขาชี้ไปที่ชายร่างกายกำยำข้างๆ แล้วเหลือบมองอาจารย์ผัง ยิ้มแล้วพูดว่า “นี่คืออาจารย์หยาง ท่านตาส่งเขามาสอนข้า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะเริ่มฝึกศิลปะการต่อสู้ภายในกับเขา”
จิ่นเกอพลันหน้าซีดเซียว
เขากลับไปเล่าให้สืออีเหนียงฟัง “ข้าเป็นพี่ชาย หากข้าสู้เขาไม่ได้ เช่นนั้นคงอับอายขายขี้หน้าแล้ว…” เดิมทีตื่นนอนยามเช้าเขาต้องนอนบิดขี้เกียจในผ้าห่มอยู่ครู่หนึ่ง แต่ตอนนี้ไม่ต้องให้หงเหวินไปเรียกก็ตื่นนอนเอง อีกทั้งยังไปที่เรือนซวงฝูตั้งแต่เช้าตรู่
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เขาก็ยังคงเป็นกังวล แอบมาบอกกับสืออีเหนียง “เซินเกอมีอาจารย์ตั้งสองคน…”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วถามเขาว่า “เมื่อก่อนเจ้าย่อเข่าได้นานแค่ไหน”
จิ่นเกอครุ่นคิดก่อนจะพูดว่า “หนึ่งก้านธูปขอรับ!”
“แล้วตอนนี้เจ้าย่อเข่าได้นานแค่ไหน”
“ห้าก้านธูปขอรับ!”
“เท่านี้ก็พอแล้ว!” สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “ถึงแม้ว่าจะมีอาจารย์ผังแค่คนเดียว แต่เขาก็สามารถทำให้เจ้าย่อเข่าจากหนึ่งก้านธูปเป็นห้าก้านธูปได้ เจ้าจะอยากได้อาจารย์เยอะแยะไปทำไม แค่ก้าวหน้าก็พอแล้ว!”
“ขอรับ!” จิ่นเกอได้ยินดังนั้นก็ดีใจ “ข้ามีอาจารย์แค่คนเดียว แต่ก็ยังย่อเข่าได้ดีกว่าเซินเกอเสียอีก”
หลังจากนั้น เขาก็มีความมั่นใจมากขึ้นเป็นร้อยเท่า!