หนึ่งคนหนึ่งทิวทัศน์ ท่ามกลางความชุลมุน กลับงดงามเสียจนชวนให้ตกตะลึง
“ซู…ซูชี?”
ซูซูไม่กล้าเชื่อสายตาตนเอง จึงเอ่ยเรียกนามที่ทำให้ตนเองลุ่มหลงจนตามไปถึงในความฝันเบาๆ
เสียงนั้นเบามาก…นุ่มนวลมาก…
ราวกับตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน
เป็นเสียงที่แหลมและแหบพร่าที่นางไม่เคยมีมาก่อน นางกลัวมากว่าการปรากฏตัวนี้จะเป็นภาพลวงตา กลัวว่าซูชีจะหายไปได้ตลอดเวลา
นางกลัวมาก! กลัวว่าเสียงที่สูงเกินไปจะก่อให้เกิดลมแรงเกินจนพัดเขาปลิวไป
ซูชีแววตาหดหู่
คนตรงหน้าคือกูเสี่ยวซูจริงๆ หรือ
นั่นเป็นเด็กสาวผู้ไม่กลัวฟ้า ไม่กลัวดิน และไล่ไม่ไปที่ตามติดอยู่ข้างหลังตนเองทุกวันคนนั้น?!
ท่านหญิงที่แม้ว่าจะถูกรังแก แต่กลับสามารถเชิดหน้าขึ้นอย่างดื้อดึง แล้วหันกลับมางอนเขาผู้นั้น?
กูเสี่ยวซูเป็นใคร?
ทั่วทั้งเมืองหลวงรวมไปถึงราชสำนักเทียนฉี นอกจากองค์หญิงผู้เป็นราชนิกูล นางก็สูงศักดิ์ที่สุดแล้ว!
หรือจะกล่าวได้ว่ากระทั่งองค์หญิงผู้เป็นราชนิกูลก็ยังยโสโอหังจนรู้กันไปทั่วไม่ถึงหนึ่งส่วนของนาง
แต่ไหนแต่ไรล้วนปรากฏตัวต่อหน้าฝูงชนในสภาพงดงาม กระทั่งตอนที่นำทัพไปทำสงครามกับตนเอง นางก็ยังไม่เคยมีสภาพย่ำแย่ขนาดนี้!
เรือนผมยุ่งเหยิงนั้นไร้เครื่องประดับสักชิ้น ใบหน้าดำมอมแมม…นี่ไม่ได้ล้างหน้ามากี่วันแล้ว!
อีกอย่างอาภรณ์ที่นางสวมอยู่บนร่างตอนนี้!
นี่ไปเก็บมันมาจากที่ใดกัน? ยังมีคราบโลหิตที่เปรอะไปทั่วร่าง! นิ้วมือเรียวที่ถูกความหนาวเย็นกัดจนบวมแดงนั่นอีก…
ด้วยนิสัยเรื่อยเฉื่อยของซูซู เขาจินตนาการได้เลยว่านางไม่มีเงิน สามารถจินตนาการได้ถึงท่าทางกระอักกระอ่วน ลำบากใจของนาง สามารถจินตนาการได้ถึงความรู้สึกโดดเดี่ยวท่ามกลางสายลม และคุดคู้ตัวท่ามกลางหิมะ
สามารถจินตนาการได้ว่า นางมีชีวิตต่อไปไม่ได้ ก็สามารถขโมย แย่งชิง หรือต้มตุ๋น…
แต่เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า นางจะถูกมองเป็นขอทานคนหนึ่ง
ขอทานที่น้ำตาอาบหน้า ทั้งสกปรก ทั้งสภาพยุ่งเหยิงคนหนึ่ง
น่าตะลึงมากจริงๆ!
ความฉุนเฉียวพลันปะทุขึ้นในใจ
ทำไมนางถึงไม่อยู่ในเมืองหลวงดีๆ ทำไมต้องเหยียบย่ำตนเองเช่นนี้ ทำไมต้องทำให้ตนเองลำบากใจ ทำไม!
บางครั้งความสุขที่มาอย่างกะทันหัน ก็เป็นความเจ็บปวดประเภทหนึ่ง! ซูซูกะพริบตาปริบๆ “เจ้า…” ซูชีมาแล้วจริงๆ หรือ สวรรค์มีตา จึงเกิดเรื่องดีๆ ขึ้นแล้ว?!
เมื่อเห็นสภาพเช่นนี้ของนาง โมโหเพียงใดก็บันดาลโทสะออกมาไม่ได้
ซูชีสูดลมหายใจแรง ถึงได้ทำให้อารมณ์ฉุนเฉียวในใจตนเองจางหายไป
“กูเสี่ยวซู เจ้าดูฝีมือเจ้าสิ เพิ่งจะจากจวนจิ่งอ๋องมาได้กี่วัน ก็ทำตนเองจนมีสภาพเหมือนกับขอทาน หน้าตาของจวนจิ่งชินอ๋องถูกเจ้าทำให้อับอายขายหน้าจนสิ้นแล้ว!”
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าใจอ่อนแล้ว แต่วาจาที่เอ่ยออกมากลับสามารถแทงคนตายได้ ทิ้งความรู้สึกที่ท่านหญิงซูซูมีต่อเขาไป ไม่ต้องเอ่ยถึง พวกเขาก็เคยเป็นสหายที่ดีต่อกันเช่นกัน ความเป็นห่วงของเขาก็ไม่ถึงกับมีอันใดย่ำแย่
แต่เขาเคยชินกับการหาเรื่องกูเสี่ยวซูไปแล้ว!
ที่สำคัญก็คือ แม้ว่าจะเป็นห่วง แต่เขาก็ไม่กล้าเปิดใจให้กว้าง ไม่กล้าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตนเอง
“ซูชี…เป็นซูชีจริงๆ…” หยาดน้ำตาเอ่อคลอหน่วยตาของซูซู น้ำเสียงที่หายไปนานเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นการตวาดถามหรือเย้ยหยัน ก็เป็นเสียงที่ไพเราะที่สุดบนโลกใบนี้ในใจนาง
นางพลันฝืนบังคับน้ำตาให้ไหลกับเข้าไปในเสี้ยวพริบตา!
ซูชีไม่ชอบสตรีขี้แย ดังนั้นไม่ว่าจะสะเทือนใจ ดีใจ หรือเสียใจ นางล้วนไม่อาจร้องไห้ต่อหน้าซูชีได้!
มือคู่ที่ประคองขอทานชราสั่นระริก!
นางหลับตาลง และเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นัยน์ตาก็เต็มได้ด้วยการตัดสินใจขั้นเด็ดขาดที่ทุ่มเทวางเดิมพันเป็นครั้งสุดท้าย!
นางวางขอทานชราลงกับพื้นอย่างเบามือ แล้วพลันกระเด้งตัวลุกขึ้นมายืนอยู่ตรงหน้าซูชี
“ซูชี! ซูชี เจ้าคนสารเลว! ทำไมเจ้าถึงหนีไปแล้วทิ้งข้าเอาไว้คนเดียว เจ้ารู้ไหมว่าข้าต้องพบกับความลำบากเพื่อเจ้ามากขนาดไหน! ข้าไม่ได้พกเงินมา ข้าต้องขายม้ากับอาภรณ์จนหมด…”
การฟ้องร้องดุเดือดเช่นนี้ ไม่เหมือนกับคนที่จมอยู่ในความรู้สึกโศกเศร้าเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย
นี่ถึงจะเป็นกูเสี่ยวซู! ซูชีโล่งใจเล็กน้อย
ท่านหญิงซูซูยิ่งเอ่ยก็ยิ่งสะเทือนใจ นางจับจ้องเปรียบเทียบคนตรงหน้า
บุรุษตรงหน้าขาวสะอาดราวกับหิมะบนผืนดิน เมื่อหันกลับมามองตนเองที่สกปรกเหมือนกับดินโคลนบนผืนดิน จิตใจก็วุ่นวายยิ่ง!
ความแตกต่างระหว่างฟ้ากับดิน! ผู้หนึ่งอยู่บนฟ้า…ผู้หนึ่งอยู่บนดิน…ไม่รู้ทำไมวาจาเหล่านี้ถึงได้ผุดขึ้นมาในสมองของซูซู
หัวใจพลันเต็มไปด้วยความเคียดแค้น!
ทำไมข้าถึงได้ทำให้ตนเองมีสภาพแบบนี้ ส่วนเจ้ากลับยังคงสวยสดงดงาม?
ไม่อนุญาต!
ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าสวมอาภรณ์สะอาดเช่นนี้! ไม่อนุญาตให้เจ้ากับข้ามีระยะห่างมากมายขนาดนี้!
“ซูชี เจ้าคนสารเลว!”
เจ้าต้องเป็นคนจำพวกเดียวกับข้า
ข้า ซูซูเป็นขอทาน เจ้า ซูชี ก็ไม่อาจสูงส่งเหนือผู้คนได้เช่นกัน!
นางก้าวเข้าไปคว้าหมับเข้าที่แขนของซูชี แล้วพุ่งตัวเข้าไปในอ้อมแขนของซูชีด้วยความเร็วสูง มือที่หนาวจนแข็งตัวกอดเอวเขาแน่นชนิดที่ต่อให้ตายก็ไม่ยอมปล่อยมือ!
ไม่อาจให้เขาปรายตามองตนเองอย่างอยู่เหนือผู้คน และยิ่งไม่อาจให้เขาจากไปได้
“กูเสี่ยวซู เจ้าปล่อยมือเดี๋ยวนี้!”
“ไม่ปล่อย! ข้าไม่มีวันปล่อยมือชั่วชีวิต! นอกจากเจ้าจะฆ่าข้าทิ้งเสีย!”
ซูชีสีหน้าทะมึนทันที!
หลังจากบีบพัดในมือตนเองแน่นไปหลายครั้ง ในที่สุดก็ตัดสินใจสลัดซูซูที่กอดเอวเขาเอาไว้แน่นออก แล้วบีบแขนนางแน่น
“กูเสี่ยวซู เจ้าอย่าเอาแต่ใจตนเองแบบนี้ได้หรือไม่ เจ้าดูสภาพเจ้าในตอนนี้สิ! เจ้าคิดถึงสภาพจวนจิ่งอ๋องที่เละเทะวุ่นวายเพราะการหนีออกมาของเจ้าสิ! ตอนนี้เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาตะโกนเสียงดังใส่ข้าตรงนี้?”
“หึ!” เอ่ยจบด็สะบัดท่านหญิงซูซูออก เบนหน้าไปอีกด้าน ไม่มองนาง
“เจ้าเป็นท่านหญิงที่ถูกโอ๋มาตั้งแต่เยาว์วัย เจ้าเข้าใจไหมว่าความลำบากบนโลกมนุษย์คืออันใด เจ้ารู้ไหมว่าอันใดคือน้ำใจเพื่อนมนุษย์ในยามที่เจ้ามีอำนาจ และไร้อำนาจ? ตอนนี้เจ้าก้มหน้า! ดูท่านผู้เฒ่าที่อยู่ข้างเท้าเจ้า แม้ว่าเขาจะเป็นขอทาน แต่หากไม่ได้พบกับเจ้า คืนวันในภายภาคหน้าอาจจะหนาวตาย หิวตาย แต่จะต้องไม่ได้ตายด้วยวิธีนี้เด็ดขาด! และในวันนี้ที่เขาต้องตายอยู่ข้างถนน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะการหลงตนเอง บุ่มบ่าม และโง่เขลาเบาปัญญาของเจ้า!”
“เจ้าคิดว่าตนเองยังมีหน้าเร่ร่อนอยู่ข้างนอกอีกหรือ เจ้าจะทำให้ผู้คนเป็นห่วงมากอีกเท่าใด? อาจ้าว!”
ซูชีตวาดเสียงเย็น!
อาจ้าว หนุ่มน้อยผู้เป็นองครักษ์ที่สวมอาภรณ์สีดำกอดกระบี่…ปรากฏตัวขึ้นข้างกายซูชีทันที พลางก้มหน้ากำหมัดรอคำสั่งจากซูชี
นี่คือองครักษ์ลับของซูชี องครักษ์ลับคนสนิท ยามที่ไร้เรื่องราว ก็ไม่มีทางปรากฏตัวต่อหน้าซูชี แต่มักจะตามติดซูชีเป็นเงาตามตัว
ซูชีหันกลับมา สาดสายตาเย็นเยียบโมโหในครั้งนี้ไปที่ซูซู ทำให้ซูซูที่เดิมก็ร่างกายสั่นเทาอยู่แล้ว สั่นมากขึ้นไปอีก
“ซูชี…อย่า…” บางทีนางคงเดาได้แล้วว่า ซูชีจะทำสิ่งใด แต่นางไม่อาจยอมรับมันได้!
“พาท่านหญิงซูซูกลับเมืองหลวง ส่งกลับไปยังจวนจิ่งอ๋องให้ปลอดภัย!” ซูชีตัดใจทำเป็นมองไม่เห็นแววตาน่าสงสารและอ่อนแอของซูซูอย่างใจร้าย แล้วบัญชาอาจ้าวเสียงเย็น