ใบหน้าที่อมชมพูนั้นมาจากการแต่งหน้า แต่สีหน้าที่สงบสุขนั้นไม่ได้มาจากการแต่งหน้า
ถึงแม้สืออีเหนียงจะเศร้าโศก แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างสำรวจมองสือเหนียง
อาจเป็นเพราะตอนมีชีวิตอยู่นางชอบขมวดคิ้ว สือเหนียงเลยมีรอยย่นสองรอยอยู่ระหว่างคิ้ว ตอนนี้มันคลายออก ทำให้สีหน้าของนางดูผ่อนคลาย แต่มุมปากของนางราวกับกำลังยกยิ้ม พลอยทำให้คนที่เห็นรู้สึกแปลกใจ
สืออีเหนียงรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว
จากนั้นก็มีคนเชิญนางไปนั่งบนโต๊ะเตียงเตาข้างหน้าต่าง “…นายหญิงเสียชีวิตยามดึก แม่นางอิ๋นผิงและแม่นางจินเหลียนช่วยนายหญิงอาบน้ำเจ้าค่ะ” น้ำเสียงหนักแน่น
สืออีเหนียงเงยหน้าขึ้นมอง
นางคือสตรีแปลกหน้าคนหนึ่ง อายุราวสามสิบปี สวมเสื้อกั๊กยาวสีฟ้า ผิวขาว หน้าตาสะสวย ปักปิ่นปักผมดอกเหลียนฮวาสองดอก ภายนอกดูสะอาดสะอ้านเรียบร้อย
สตรีคนนั้นเห็นสืออีเหนียงจ้องมองมาที่ตัวเอง จึงพูดขึ้นว่า “สามีของบ่าวเป็นพ่อบ้านใหญ่ในจวนเจ้าค่ะ นายหญิงเสียชีวิต แม่นางอิ๋นผิงกลัวว่าสาวใช้จะทำอะไรได้ไม่ดี จึงบอกให้บ่าวมารับใช้ฮูหยินที่นี่”
ดูเหมือนว่า พ่อบ้านใหญ่ของสือเหนียงจะเป็นคนมีไหวพริบดีและมีความสามารถ
คนที่ยืนข้างเตียงเตาต่างพากันหลีกทาง มีคนถือเบาะรองนั่งบนเตียงเตาขึ้นมาตบเบาๆ
สืออีเหนียงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น นางนั่งลงพลางถามป้ารับใช้คนนั้น “เหตุใดถึงไม่เห็นอิ๋นผิงกับจินเหลียนเล่า”
ป้ารับใช้ผู้นั้นรายงานด้วยดวงตาที่ค่อยๆ แดงขึ้นมา “แม่นางอิ๋นผิงและสามีของบ่าวไปขายทรัพย์สินส่วนตัวเจ้าค่ะ ส่วนแม่นางจินเหลียนกำลังจัดการค่าใช้จ่ายต่างๆ อยู่ที่ห้องบัญชี”
สืออีเหนียงตกใจ “ทรัพย์สินส่วนตัว?”
ผู้สูงอายุตระกูลร่ำรวยบางคน ไม่ยอมให้บุตรของตัวเองใช้เงินส่งตัวเองยามเสียชีวิต พวกเขาจะซื้อที่ดินหรือเรือนเพื่อทำเป็น ‘ทรัพย์สินส่วนตัว’ ในยามมีชีวิตอยู่ สามารถนำกำไรของทรัพย์สินพวกนั้นมาเป็นของตัวเอง แต่เมื่อเสียชีวิตไปแล้วก็ต้องขายแล้วนำเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับพิธีศพตัวเอง สือเหนียงยังไม่แก่ขนาดนั้น ตอนที่นางแต่งงานก็ไม่ได้มีสินเดิมมากมาย นางจะมีทรัพย์สินส่วนตัวที่ไหนกัน
ป้ารับใช้ผู้นั้นมองบรรดาญาติผู้หญิงที่มีสีหน้าแปลกใจในห้อง ก่อนจะพูดด้วยท่าทีที่เคารพและเสียงที่ดังฟังชัด “ไท่ฮูหยินซื้อให้นายหญิงตอนที่ไท่ฮูหยินยังมีชีวิตอยู่เจ้าค่ะ เคยพูดต่อหน้าทุกคนในตระกูลเมื่องานฉลองวันเกิดของท่านกั๋วกง ต่อมาก็ไปทำตามขั้นตอนที่ฝ่ายราชการ ตอนนี้นายหญิงเสียชีวิตแล้ว ก็ต้องขายทรัพย์สินนี้ให้นายหญิงเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินสกุลหวังเป็นคนซื้อให้สือเหนียง!?
สืออีเหนียงประหลาดใจ
บรรดาญาติผู้หญิงสกุลหวังล้วนก้มหน้าก้มตาลง ยังมีคนอยากออกมาโต้เถียงด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม แต่กลับถูกมารดาผู้ให้กำเนิดของหวังเฉิงจู่ห้ามปรามเอาไว้
“แม่นางอิ๋นผิงร้อนใจเกินไป” มารดาผู้ให้กำเนิดของหวังเฉิงจู่เหลือบมองสืออีเหนียง “นายหญิงเลี้ยงดูท่านกั๋วกงมาตั้งแต่เล็ก หรือว่าท่านกั๋วกงจะไม่ยอมมอบเงินพวกนั้นให้นายหญิงอย่างนั้นหรือ ท่านกั๋วกงบอกว่า แทนที่จะขายทรัพย์สินพวกนั้น นำเงินมาจัดพิธีศพให้นายหญิง ไม่สู้ให้ท่านกั๋วกงนำเงินของตัวเองออกมาจัดพิธีศพให้นายหญิงเสียดีกว่า ทรัพย์สินของนายหญิง เก็บไว้เป็นทรัพย์สินบูชาของนายหญิงเถิด เช่นนี้ จะได้มีคนคอยจุดธูปให้นายหญิง…”
“ในเมื่อเป็นทรัพย์สินที่ไท่ฮูหยินเหลือไว้ให้” ป้ารับใช้ผู้นั้นมองมารดาผู้ให้กำเนิดของหวังเฉิงจู่ด้วยสายตาที่เย็นชา “แล้วยังเป็นคำสั่งของนายหญิง บ่าวรับใช้อย่างเราคงไม่กล้าขัดคำสั่ง” นางพูดโดยไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
“เจ้า…” มารดาผู้ให้กำเนิดของหวังเฉิงจู่โมโห นางเหลือบมองสืออีเหนียงแล้วกลืนคำพูดที่ติดอยู่ที่ปากลงไป
สืออีเหนียงแอบตกใจ
หลังจากที่สือเหนียงเสียชีวิต ต่อไปบ่าวรับใช้เหล่านี้ต้องมีชีวิตอยู่ภายใต้เงื้อมมือของหวังเฉิงจู่ ถึงแม้ว่ามารดาผู้ให้กำเนิดของหวังเฉิงจู่จะไม่ใช้มารดาที่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ แต่พวกเขาก็เป็นสายเลือดเดียวกัน ทำอะไรในนามของหวังเฉิงจู่ บรรดาบ่าวรับใช้เหล่านี้ไม่มีทางไม่ไว้หน้านาง แต่พอเห็นท่าทีของป้ารับใช้คนนั้น เพื่อผลประโยชน์ของสือเหนียงแล้ว พวกนางกลับกล้าฉีกหน้ามารดาผู้ให้กำเนิดของหวังเฉิงจู่ หรือว่าความสัมพันธ์ระหว่างหวังเฉิงจู่กับสือเหนียงนั้นไม่ธรรมดา? ดังนั้นบ่าวรับใช้ที่เมื่อก่อนเชื่อฟังคำสั่งของสือเหนียงรู้ว่าตัวเองอยู่ที่จวนหลังนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว จึงทุบหม้อให้แตกไปเลย?
ในขณะที่นางกำลังครุ่นคิด ซื่อเหนียงก็มาพอดี
“น้องหญิงของข้า เจ้าอายุยังน้อย คิดไม่ถึงว่าจะเสียชีวิตเร็วขนาดนี้!” ทันทีที่เดินเข้ามานางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดหน้าร้องไห้ “ตอนที่เจ้านำของขวัญปีใหม่ไปให้ข้ายังดีๆ อยู่เลย คิดไม่ถึงว่าเราจะพรากจากกันไปตลอดชีวิตเช่นนี้…ล้วนแต่เป็นความผิดของข้า ที่ตอนนั้นไม่ได้ไถ่ถามอาการป่วยของเจ้าให้ละเอียด…”
สือเหนียงไม่ได้เจอพวกเขามาแปดเก้าปีแล้ว คนที่ไม่รู้อะไร ได้ยินซื่อเหนียงพูดเช่นนี้ คงจะคิดว่าพี่น้องอย่างพวกนางสนิทสนมกันอย่างมาก!
สืออีเหนียงเหงื่อตก
ญาติผู้หญิงสกุลหวังต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ถึงแม้ว่าสิ่งที่ซื่อเหนียงพูดจะเป็นแค่คำพูดทั่วไป แต่การปรากฏตัวของนางทำให้บรรยากาศอึดอัดในห้องผ่อนคลายลงไม่น้อย
พวกนางรีบเดินเข้าไปปลอบใจซื่อเหนียง
มีเสียงดังเข้ามาจากข้างนอก อิ๋นผิงที่สวมชุดไว้ทุกข์ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน
“แม่นางอิ๋นผิง!” สีหน้าของป้ารับใช้คนนั้นมีความดีใจ นางรีบเดินเข้าไป “คุณหนูทั้งสองท่านมาแล้ว…” นางพูดเป็นนัย
อิ๋นผิงเดินเข้ามาคำนับสืออีเหนียงกับซื่อเหนียง นางยืดตัวตรงแล้วพูดว่า “ทรัพย์สินส่วนตัวของนายหญิงขายได้สามพันตำลึงเงินเจ้าค่ะ หนึ่งพันสองร้อยตำลึงนำไปซื้อโลงศพไม้จื่อหลิ่นชั้นดี หนึ่งพันตำลึงนำไปเชิญคนมาทำพิธี สองร้อยตำลึงนำไปซื้อข้าวของที่ใช้ในพิธีศพ หนึ่งร้อยตำลึงนำไปเชิญคนยกโรงศพ อีกหนึ่งร้อยตำลึงนำไปซื้อกระดาษเงินเจ้าค่ะ…”
ซื่อเหนียงและสืออีเหนียงต่างก็ตกตะลึง
พวกนางสองคนเป็นคนดูแลเรื่องในจวน เชิญคนมาทำพิธี คือการเชิญพระภิกษุหรือนักบวชลัทธิเต๋ามาท่องคัมภีร์ เงินแปดร้อยตำลึง อย่างน้อยก็สามารถเชิญพระพระภิกษุมาได้ตั้งแปดเก้ารูป ท่องคัมภีร์ถึงได้เจ็ดวันเจ็ดคืน ข้าวของที่ใช้ในพิธีศพคือสิ่งจำเป็น แต่เงินตั้งสองร้อยตำลึง…อย่างน้อยๆ ก็คงได้สิ่งของสิบกว่าลำรถม้า…
พวกนางหันมามองหน้ากัน
มารดาผู้ให้กำเนิดของหวังเฉิงจู่แทบจะหายใจไม่ออก
อยู่ต่อหน้าซื่อเหนียงและสืออีเหนียง นางไม่กล้าพูดอะไร ทำได้เพียงกัดฟันแล้วถามอิ๋นผิง “แม่นางจัดการเช่นนี้ ได้บอกท่านกั๋วกงแล้วหรือยัง”
“ตอนที่พ่อบ้านไปรายงาน ท่านลุงสองท่านและหย่งผิงโหวก็อยู่ที่นั่นด้วยเจ้าค่ะ” อิ๋นผิงมองตามารดาผู้ให้กำเนิดของหวังเฉิงจู่ “ท่านกั๋วกงบอกแค่ว่าไม่เลว!”
พูดมาถึงตรงนี้ หากสืออีเหนียงกับซื่อเหนียงยังดูไม่ออกว่าหวังเฉิงจู่กับอิ๋นผิงกำลังช่วงชิงอะไรกัน เช่นนั้นพวกนางก็คงจะโง่เขลาเกินไปแล้ว
ยามเที่ยง ซื่อเหนียงแอบกระซิบกับสืออีเหนียง “ในเมื่อเรื่องของน้องหญิงสิบจัดการเรียบร้อยแล้ว ข้าคิดว่า พรุ่งนี้ข้าคงจะไม่มาแล้ว พี่เขยของเจ้าจะไปรับตำแหน่งรองเจ้ากรมโยธาธิการ ที่จวนยังมีเรื่องมากมาย พิธีแห่ขบวนศพน้องหญิงสิบเอาไว้ข้าค่อยมาจุดธูปก็ได้!”
เรื่องนี้สวีลิ่งอี๋เคยเล่าให้สืออีเหนียงฟังแล้ว บอกว่าฤดูร้อนปีก่อน เจ้อเจียงถูกน้ำท่วม เขื่อนกั้นน้ำหลายแห่งถูกทำลาย ที่ดินอุดมสมบูรณ์ต่างก็ถูกน้ำท่วม ฮ่องเต้ทรงอยากให้อวี๋อี๋ชิงจัดการเรื่องนี้ นับว่าเป็นงานที่ดี อีกทั้งยังได้คุณงามความดีไม่น้อย แต่ก็ถือว่าเป็นงานที่เกิดข้อผิดพลาดได้ง่ายเช่นกัน อวี๋อี๋ชิงจึงลังเล
“เช่นนั้นก็หมายความว่า พี่เขยสี่ตัดสินใจไปรับตำแหน่งที่กรมโยธาธิการแล้วหรือ”
ซื่อเหนียงพยักหน้าพลางถอนหายใจ “พี่เขยสี่ของเจ้าบอกว่า ไม่ควรปฏิเสธความเมตตาของฮ่องเต้ ข้าแค่หวังว่าเขาจะผ่านสามปีนี้มาได้อย่างปลอดภัย!”
ขณะที่พวกนางกำลังพูดคุยกัน หู่พั่วก็เข้ามารายงาน “ฮูหยินเจ้าคะ คุณชายใหญ่มาหาท่านเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงแปลกใจ นางพยักหน้าให้ซื่อเหนียง จากนั้นก็ออกไปที่โถงบุปผากับหู่พั่ว
เขาสวมเสื้อไหมสีฟ้าอ่อน ยืนไพล่มือเอาไว้ข้างหลังอยู่กลางห้องโถง
แสงอาทิตย์ยามเที่ยงของฤดูใบไม้ผลิลอดผ่านใบไม้สีเขียวอ่อน สาดส่องลงบนตัวเขา พลอยทำให้สีหน้าของเขาดูหม่นหมอง
“ประเดี๋ยวข้าคงไม่อยู่ทานอาหารเย็นแล้ว” เขามองไปทางห้องของสือเหนียงด้วยสายตาผิดหวัง “ท่านอาสองกับท่านอาสามกำลังจะกลับมารับตำแหน่งที่เยี่ยนจิง เจ้าก็รู้ว่า ท่านอาทั้งสองท่านทำงานตำแหน่งนั้นมาแปดเก้าปีแล้ว พวกเขาอยากเปลี่ยนสถานที่บ้าง โดยเฉพาะท่านอาสาม น้องห้าและน้องหกเรียนหนังสืออยู่ที่สกุลหลิวเก๋อเหล่า ตอนนี้หลิวเก๋อเหล่าอายุมากแล้ว ท่านอาสามอยากพาพวกเขาทั้งสองคนไปอยู่ด้วยกัน ครอบครัวจะได้อยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ช่วงนี้ข้าจะช่วยท่านอาทั้งสองท่านจัดการธุระต่างๆ หากทางนี้มีเรื่องอันใด เจ้าก็ส่งคนไปรายงานข้าเถิด!”
สืออีเหนียงพลันนึกถึงการเสียชีวิตของนายหญิงใหญ่
หากให้หลัวเจิ้นซิ่งช่วยจัดการเรื่องของสือเหนียงเหมือนเมื่อก่อน คงทำให้เขาลำบากใจไม่น้อย
“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ!” นางพูดเบาๆ “พี่ใหญ่ไปจัดการธุระเถิด!”
หลัวเจิ้นซิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินออกไป
เมื่อถึงยามบ่าย หวังเฉิงจู่กับคนในสกุลหวังก็ปรึกษากันเรื่องตั้งซุ้มไว้ทุกข์ รายงานการเสียชีวิตและเรื่องพิธีแห่ขบวนศพ มารดาผู้ให้กำเนิดหวังเฉิงจู่กับผู้ดูแลหญิงต่างก็ไปฟัง ญาติผู้หญิงสกุลหวังก็ตามไปดูความสนุก ทำให้ห้องที่สือเหนียงอยู่ดูว่างเปล่าในทันที
เหลือเพียงอิ๋นผิงที่อยู่กับสืออีเหนียงในห้อง
นางคอยดูตะเกียงไฟให้สือเหนียง พร้อมกับพูดถึงสือเหนียงที่พึ่งจะเสียชีวิตไป “…ถึงแม้นายหญิงจะเป็นคนเย็นชา แต่นายหญิงก็ดีกับทุกคนเจ้าค่ะ ผ่านมาตั้งหลายปี หากไม่ใช่เพราะมีนายหญิงคอยปกป้อง ไม่รู้ว่าตอนนี้บ่าวและจินเหลียนจะไปอยู่ที่ไหน…แล้วยังมีพ่อบ้าน…” พูดจบ นางก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง “นายหญิงให้เขาเป็นคนดูแลเรื่องทุกอย่างในจวน เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ล้วนให้พ่อบ้านเป็นคนตัดสินใจ ไม่ว่าคนสกุลหวังจะใส่ร้ายเขาอย่างไร นายหญิงก็ไม่เคยด่าทอพ่อบ้านแม้แต่คำเดียว…ถึงแม้จะเสียชีวิตไปแล้ว ก็ยังเตรียมการเอาไว้ให้พวกบ่าวกับพ่อบ้านเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ…”
สืออีเหนียงได้ฟังแล้วก็แปลกใจ
อิ๋นผิงสีหน้าหม่นหมองลง “นายหญิงล้มป่วยมาตลอด หากไม่ใช่เพราะสัญญากับไท่ฮูหยินไว้ จะให้ท่านซื่อจื่อไร้ผู้สืบทอดสกุลไม่ได้ ต้องเลี้ยงท่านกั๋วกงให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่งงานมีลูก นายหญิงร่างกายไม่ไหวตั้งนานแล้วเจ้าค่ะ…” นางตาแดงก่ำ “ต่อมาท่านกั๋วกงแต่งงาน นายหญิงจึงคิดว่าตัวเองไปหาไท่ฮูหยินได้โดยที่ไม่ต้องรู้สึกผิดแล้ว จึงหมดลมหายใจ…ราวกับว่าพูดอีกสองประโยคก็ไม่ไหว นายหญิงจึงเตรียมเรื่องหลังจากที่ตัวเองเสียชีวิต…ขายสินเดิมของตัวเอง ซื้อไร่ให้พวกบ่าว ไปเขียนหนังสือสัญญาที่ฝ่ายราชการ ให้พวกบ่าวและพ่อบ้านไปใช้ชีวิตที่ไร่ เช่นนี้ชีวิตที่เหลือของบ่าวกับจินเหลียนก็มีที่ให้พึ่งพิง” นางพูดด้วยสีหน้าที่ซาบซึ้ง “ผ่านมาตั้งหลายปี ถึงแม้ว่านายหญิงจะเป็นคนดูแลเรื่องในจวนของสกุลหวัง แต่นายหญิงไม่เคยได้รับผลประโยชน์ของสกุลหวังเลยแม้แต่ตำลึงเดียว แม้แต่ทรัพย์สินส่วนตัวที่ไท่ฮูหยินมอบให้ ก็คือทรัพย์สินที่เป็นสินเดิมของไท่ฮูหยิน ความกตัญญูของนายหญิงที่มีต่อไท่ฮูหยินนั้น…ท่านกั๋วกงเองก็รู้ดี…ตอนนั้นเขาเลยรับปากต่อหน้าไท่ฮูหยิน แต่ตอนนี้กลับจะเก็บทรัพย์สินพวกนั้นไว้เพราะคำพูดของมารดาผู้ให้กำเนิดของตัวเอง…ทรัพย์สินของสกุลหวังนั้นเกี่ยวข้องอะไรกับนายหญิงของเราด้วยเล่า นายหญิงของเราไม่เคยใช้แม้แต่นิดเดียว…บ่าวไม่ยอม จึงรีบไปขายที่ดินของนายหญิง…” นางปิดปากร้องไห้เงียบๆ
สิ่งที่สือเหนียงอยากทำให้สำเร็จนั้นคือคำสัญญา
ดังนั้น นางจึงไม่สนว่าหวังเฉิงจู่จะแต่งงานกับใคร ไม่สนใจแผนการของหวังเฉิงจู่…
คิดเช่นนี้ สืออีเหนียงก็มองไปที่สือเหนียง
รอยยิ้มที่มุมปากของนาง คือรอยยิ้มที่มอบให้หวังเฉิงจู่อย่างนั้นหรือ หรือว่านางกำลังหัวเราะเยาะตัวเอง?