ซูซูไม่ได้สติจากการถูกเตะในครั้งนี้ และยังคงฝันอยู่ ส่วนซูชีกลับขยับ
เขาวางตะเกียบที่เพิ่งหยิบออกมาลง แล้วเงยหน้าขึ้นมองจ้าวเฟยลู่นิ่งๆ แวบหนึ่ง
“เท้าเจ้าเจ็บหรือ หรือว่าตะคริวกิน?”
จ้าวเฟยลู่เหงื่อตก!
รู้สึกเหมือนว่าเขาเตะผิดคนเข้าแล้ว?
เขาหดเท้ากลับมาเงียบๆ แล้วก้มหน้า ทำเป็นมองไม่เห็น และไม่ได้ยินอะไร
“เหอะ!” ซูชีแค่นเสียงเย็น โดยไม่ได้กล่าวอันใดให้มากความอีก
ซูซูได้สติคืนกลับมาจากความสุขจากการคิดเพ้อฝัน พลางถามซูชีอย่างไม่ทันสังเกตเห็นว่า “เมื่อครู่เจ้าเอ่ยว่าอะไรนะ”
การที่นางเอ่ยถามในตอนนี้ เป็นการหาเรื่องให้ถูกด่าชัดๆ!
“บอกว่าเจ้ามันสมองหมู สมน้ำหน้าแล้วที่ถูกความหนาวเล่นงานไปหลายวัน!”
“เจ้า!”
“มาแล้วขอรับคุณลูกค้า! บะหมี่ของท่านได้แล้วขอรับ!”
ซูซูโมโห ไม่ยอมแพ้ เดิมคิดจะเถียงกลับ แต่เสียงของเสี่ยวเอ้อร์ดังขึ้นข้างหลัง นางจึงทำได้แค่หุบปากลงด้วยความแค้นใจ เอียงกายให้เสี่ยวเอ้อร์วางบะหมี่ลงบนโต๊ะ
“ซูชี เจ้ามันคนสารเลว! เป็นแบบทุกกระเบียดนิ้วเลยด้วย!” เอ่ยจบ ก็ไม่สนใจว่าซูชีจะมีปฏิกิริยาอย่างไร นางหยิบตะเกียบขึ้นมาคลุกเคล้าเส้นบะหมี่เล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มกินคำโต
ซูชีมุมปากกระตุกสองที แต่สุดท้ายก็ข่มเพลิงโทสะลงไป
การประชันการด่ากับกูเสี่ยวซูนั้นมีแต่ทำให้นางฮึกเหิมขึ้นเรื่อยๆ!
ชั่วขณะหนึ่ง พลันเงียบสนิท! เดิมซูซูยังอยากจะด่าซูชีอีกหลายประโยค แต่ตอนนี้กลับถูกอากาศหนาวเย็นทำให้กลืนกลับลงไป
อีกอย่าง ซูชีก็ไม่ได้ให้โอกาสนางด่าแล้วเช่นกัน เขาหันหน้าไป แล้วก้มหน้าเริ่มต้นกินบะหมี่
และเมินเฉยการมีตัวตนของนางโดยสิ้นเชิง
สองคนที่เหลือ พวกเขาถือว่าตนเองเป็นมนุษย์ล่องหน ก็ก้มหน้ากินบะหมี่ตามเช่นกัน
ดังนั้น นางจึงทำได้แค่แสดงโทสะเต็มท้องกับความฮึกเหิมที่มีออกมาบนใบหน้าเท่านั้น
หลังจากกินเสร็จ ซูซูก็เช็ดปากลวกๆ แล้วกวักมือเรียกเสี่ยวเอ้อร์มาข้างกาย พลางถามว่า “พี่เสี่ยวเอ้อร์ ขอถามหน่อยว่า เจ้าของร้านพวกท่านอยู่หรือไม่ ข้ามีธุระจะหาเขา”
เสี่ยวเอ้อร์มองชามบะหมี่ที่สะอาดหมดจดของซูซูโดยไม่ทิ้งร่องรอย แล้วถามด้วยความระมัดระวังว่า “คุณลูกค้าไม่พอใจบะหมี่หยางชุนร้านพวกเราหรือขอรับ”
นี่เกรงว่าจะแกล้งทำเป็นได้รับบาดเจ็บมาหาเรื่องเจ้าของร้านของพวกเขา เพื่อหวังเรียกค่าเสียหาย
ซูซูก็รู้ความคิดในใจของเสี่ยวเอ้อร์ จึงรีบส่ายหน้า “ไม่ใช่! ก่อนหน้านี้ข้าได้รับความเมตตาจากเจ้าของร้านของพวกท่าน ดังนั้นวันนี้ข้าจึงมาขอบคุณเขา!”
เสี่ยวเอ้อร์ได้ยิน ก็เข้าใจทันที
ขอแค่ไม่ได้มาหาเรื่องก็พอ
ซูซูตื่นมาในตอนเช้าวันนี้ ก็ตั้งใจมาตอบแทนบุญคุณเจ้าของร้านที่นี่แล้ว!
ไม่เช่นนั้นเมืองไหลหยางใหญ่ขนาดนี้ นางจะมาเดินเล่นที่นี่โดยไม่มีเหตุผลได้อย่างไรกัน
“เช่นนั้นคุณลูกค้ารอสักครู่นะขอรับ ข้าน้อยจะไปเรียกเจ้าของร้านที่เรือนด้านหลังเดี๋ยวนี้” เอ่ยจบ เสี่ยวเอ้อร์ก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว
ซูชีมองซูซูแวบหนึ่งโดยไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้
เดิมนึกว่าสมองของนางคงไม่ได้คิดอะไรมากมาย หรือจะกล่าวว่า นางไม่ได้ยินวาจาที่เขาบอกเมื่อครู่นี้ แต่ตอนนี้เห็นนางทำเรื่องพวกนี้แล้ว ก็รู้สึกว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป
ดีมาก! รู้จักบุญคุณคนที่เคยช่วยเหลือตนเอง นี่ถึงจะเป็นเรื่องที่ท่านหญิงแห่งแคว้นคนหนึ่งสมควรทำ
กล่าวตามตรง ความจริงแล้ว ซูชีก็ไม่ได้เข้าใจซูซูทุกด้าน
ครู่หนึ่ง เจ้าของร้านก็มา
เขาเป็นลุงวัยกลางคนอายุสามสิบกว่าๆ ใบหน้าเมตตาอ่อนโยน ตอนที่ถูกเสี่ยวเอ้อร์พามาที่โต๊ะของพวกซูชี ก็ไม่ได้รับการตอบแทนบุญคุณของพวกเขาสุ่มสี่สุ่มห้า แต่พิจารณามองทุกคนที่นั่งอยู่แวบหนึ่งก่อน ก็พบว่าเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมล้วนเหมือนคนที่เคยถูกตนเองช่วยเหลือมาก่อน
“ได้ยินเสี่ยวเอ้อร์บอกว่าคุณลูกค้าหลายท่านตามหาข้าหรือขอรับ แต่ว่าขออภัยที่ข้าน้อยต้องกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ทุกท่านไม่เหมือนคนที่ข้าน้อยเคยช่วยเหลือ บางทีพวกท่านอาจจะจำผิดแล้วขอรับ?”
ไม่ได้มีบุญคุณ ก็ไม่รับรางวัลอะไร ดีมาก!
ซูชีพยักหน้าในใจ
อย่างไรก็ตาม ในใจของซูซู แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีการอ้อมค้อมอะไร ตอนนี้เมื่อได้ยินเจ้าของร้านเอ่ยเช่นนี้ ก็รีบลุกขึ้น แล้วทำความเคารพเจ้าของร้านก่อน ค่อยเอ่ยว่า “เจ้าของร้าน ข้าไม่ได้จำผิด หลายวันก่อนหน้านี้ ท่านจำได้ไหมว่าเคยบริจาคเสื้อนวมกับบะหมี่หยางชุนให้ขอทานสองคน”
เมื่อเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา เจ้าของร้านก็ดูเหมือนจะจำได้อยู่บ้าง!
เขาพยักหน้า แล้วมองซูซูอย่างละเอียดแวบหนึ่ง พลางเอ่ยด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “คุณชายท่านนี้คือ…”
แม้ว่าใบหน้าของซูซูจะล้างสะอาดแล้ว แต่สวมเสื้อผ้าบุรุษจึงไม่ดีหากมีความเป็นสตรีมากไป ดังนั้นจึงหาของบางอย่างที่ดูแล้วดำคล้ำจากจ้าวเฟยลู่ผู้มากประสบการณ์มาทาบนใบหน้า ทำให้ผิวพรรณเหลืองเล็กน้อย
“ใช่แล้ว! เจ้าของร้าน ข้าก็คือขอทานน้อยที่ท่านให้เสื้อผ้าในวันนั้น!”
เจ้าของร้านได้ยิน ก็ยิ้มทันที!
“ที่แท้ก็เป็น…อภัยให้ข้าน้อยด้วยที่ตาไร้แวว!” ตอนเป็นขอทานไม่แยกบุรุษหรือสตรี ได้ยินขอทานชราเรียกว่านังหนู ตอนนี้ดันสวมเสื้อผ้าบุรุษ เจ้าของร้านจึงไม่รู้ว่าจะเรียกแม่นางหรือคุณชายดี ดังนั้นขณะที่เอ่ยจึงคลุมเครืออยู่บ้าง
ซูซูสนทนาอยู่กับเจ้าของร้านสองคน หลังจากซูชีที่นั่งอยู่อีกด้านพิจารณามองเจ้าของร้านอย่างละเอียดไปหลายครั้ง ถึงได้ลุกขึ้น กำหมัดประสานมือให้กับเจ้าของร้าน
“ขอบคุณความเมตตาที่มีต่อน้องสาวข้าของเจ้าของร้านในวันนั้น หากไม่เช่นนั้นแล้ว นางจะสามารถนั่งกินบะหมี่ด้วยกันกับพวกข้าที่นี่ได้อย่างปลอดภัยเหมือนในตอนนี้ได้เช่นไร”
ในเมื่อเจ้าของร้านรู้ว่าซูซูเป็นสตรี เช่นนั้นซูชีก็ทำได้แค่ใช้คำเรียกว่าน้องสาวนี้ ทุกคนล้วนรู้สึกว่าไม่เป็นไร แต่มีเพียงแค่ซูซูที่เบ้ปาก
นางไม่ชอบคำเรียกว่าน้องสาวคำนี้ นางหวังว่าซูชีจะสามารถเอ่ยว่าภรรยาออกมา…
รวมๆ แล้วก็ล้วนเป็นการกล่าววาจาที่เป็นพิธีรีตองเท่านั้นเอง หลังจากทุกคนสนทนากันแล้ว เจ้าของร้านก็ขอตัวลาไปก่อน เพราะยังมีธุระ
ซูชีเห็นเจ้าของร้านจากไปแล้ว ถึงได้นั่งลงอีกครั้ง
“เป็นอย่างไร คิดเรียบร้อยแล้วหรือยังว่าจะตอบแทนบุญคุณผู้อื่นเช่นไร”
ซูซูขมวดคิ้ว รู้สึกจัดการได้ยากเล็กน้อย
“ข้าไม่รู้ว่าควรจะตอบแทนคุณเขาอย่างไร จู่ๆ จะให้เงินก็ดูไม่ค่อยดีเท่าใดนักใช่หรือไม่”
เห็นซูซูมีสีหน้าท่าทางลำบากใจ ซูชีก็ยิ้มบางๆ “ยากที่เจ้าจะคิดแบบนี้ เช่นนั้นก็ดูว่าพวกเขาต้องการอะไรแล้วกัน” การให้เงินนั้นไม่ค่อยดีเท่าใดนักจริงๆ
ตอนที่กลับไปถึงโรงเตี๊ยม ซูซูก็สอบถามเสี่ยวเอ้อร์ถึงสภาพการณ์ของร้านบะหมี่หยางชุนแห่งนั้น
และได้รู้ว่าสองสามีภรรยาเจ้าของร้านแต่งงานกันมาสิบกว่าปีก็ไม่มีบุตรหลานมาโดยตลอด และเจ้าของร้านก็รักใคร่ไมตรีลึกซึ้ง หลายปีมานี้ก็ไม่เคยรับอนุภรรยา นี่ทำให้ซูซูสะเทือนใจ
เมื่อกลับมาถึงห้องตนเอง นางก็รีบเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง แล้วให้จ้าวเฟยลู่ไปส่งที่เมืองหลวง ทูลขอให้เสด็จพ่อหาหมอหลวงที่รักษาโรคได้เก่งกาจที่สุดในวังหลวงมาตรวจอาการสองสามีภรรยาเจ้าของร้าน
ในภายหลัง สองสามีภรรยาก็ได้ต้อนรับหมอหลวงที่ร้านบะหมี่หยางชุน และหลังจากได้รู้ว่าคนที่พวกเขาสร้างบุญคุณด้วยในวันนั้นเป็นท่านหญิงในราชวงศ์นี้ ทั้งยังได้รู้ว่าท่านหญิงหาหมอหลวงในวังให้พวกเขาสองสามีภรรยา ในใจก็เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ!
แน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องราวในภายหลัง พวกเราจะไม่เอ่ยถึงเป็นการชั่วคราว ตอนนี้มาเอ่ยถึงเรื่องที่พวกซูชีอำลาเมืองไหลหยาง แล้วมุ่งหน้าไปยังสถานที่ถัดไปกันดีกว่า…