ตอนที่เจียงซื่อกลับไปที่เรือนต้านปั๋วไจ ท้องฟ้าก็มืดแล้ว
สวีซื่อจุนกำลังรอนางอยู่ “เหตุใดถึงไปนานเช่นนี้” พูดพลางยื่นเตาผิงมือให้นาง “ข้างนอกหนาวขนาดนี้ ออกจากเรือนก็ไม่พกเตาผิงมือไปด้วย หากเป็นไข้ขึ้นมาจะทำอย่างไร”
สะใภ้หยวนเป่าจู้กับสาวใช้ข้างกายเจียงซื่อนามว่าเป่าจูที่อยู่ข้างหลังส่งสายตาให้กัน ทั้งสองคนมองเห็นความสุขและความโล่งใจในสายตาของกันและกัน
นับตั้งแต่ตัดสินใจแล้ว สวีซื่อจุนก็จะไปหาเจียงไป่ทุกช่วงตรุษจีน ทุกครั้งที่พูดถึงสวีซื่อจุน ฮูหยินของเจียงไป่ก็จะบอกว่าเขาเป็นคนไร้เดียงสาและซื่อสัตย์ พูดไปพูดมาก็ไม่ได้มีคำชมอื่นๆ อีก ฮูหยินของเจียงซงอดบ่นในใจไม่ได้ว่า ‘บอกเพียงว่าเป็นคนซื่อสัตย์ ที่เหลือไม่เห็นจะพูดอะไรเลย หรือว่าเด็กคนนี้พูดไม่เก่งอย่างนั้นหรือ ในใจอดรู้สึกกังวลไม่ได้’ ก่อนแต่งงาน ฮูหยินของเจียงซงได้กำชับสะใภ้หยวนเป่าจู้เป็นพิเศษว่า ‘คนหนุ่มสาวไม่รู้ความ เจ้าต้องคอยเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาเข้าใจกัน…ท่านเขยพูดน้อย ก็ให้คุณหนูพูดให้มากหน่อย…’
แต่ไม่คิดเลยว่าคนที่พูดน้อยอย่างท่านเขย เมื่อได้เจอคุณหนูกลับมีเรื่องที่อยากจะพูดมากมาย อีกทั้งยังอ่อนโยนและใจดีมีเมตตาต่อผู้อื่น มีความอบอุ่นและใส่ใจคุณหนู สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว ทำให้ผู้ติดตามที่มาด้วยพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ข้าไปมอบของขวัญให้ท่านย่ากับท่านแม่ จะนำเตาผิงมือไปด้วยได้อย่างไร” เจียงซื่อมองสามีของนางด้วยแววตาร่าเริง “คราวหน้าตอนออกจากเรือนข้าจะใส่เสื้อผ้าให้มากกว่านี้” จากนั้นก็พูดต่ออีกว่า “ตอนที่ไปที่เรือนของท่านอาสะใภ้ห้า บังเอิญเห็นซินเจี่ยเอ๋อร์เอางานเย็บปักมาให้ท่านอาสะใภ้ห้าดู พอรู้ว่าข้านำธูปหอมมามอบให้ ก็เปิดกล่องดูประเดี๋ยวนั้นเลย” นางถือเตาผิงมือแล้วเดินเข้าไปที่ห้องด้านในช้าๆ พร้อมกับสวีซื่อจุน “ข้ามอบธูปหอมกุหลาบให้นาง นางชื่นชอบเป็นอย่างมาก บอกว่าหอมกว่าน้ำอบที่เรือนพวกนางทำเองเสียอีก ถามข้าว่ามีสูตรหรือไม่”
“เช่นนั้นเจ้าบอกนางหรือไม่” สวีซื่อจุนมองภรรยาด้วยรอยยิ้ม รู้สึกว่ารอยยิ้มของนางสงบราวกับแสงจันทร์ก็ไม่ปาน ซึ่งทำให้เขารู้สึกชอบเป็นอย่างมาก
“ข้าจะมีสูตรได้อย่างไรกันเล่าเจ้าคะ” เจียงซื่อยิ้มแล้วพูดว่า “เหตุผลที่มารดาของข้าทำธูปหอมด้วยตัวเองก็เพราะตอนที่ข้ามาที่จวนของท่านในตอนนั้นแล้วบอกว่าน้ำอบของจวนท่านหอมดี ท่านแม่ก็เลยไปหาสูตรโบราณ จากนั้นก็ลองทำที่เรือน ใช้เวลาสองถึงสามปีกว่าจะสำเร็จ ตอนแรกข้าคอยช่วยอยู่ข้างๆ แต่ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ก็เลยหมดความอดทน ตอนนี้มาคิดดูแล้วควรจะตั้งใจเรียนรู้กับท่านแม่ หากเวลาน้องหญิงสองอยากได้ ข้าจะได้ทำให้ได้ แต่ว่าข้าบอกกับน้องหญิงสองแล้วว่าประเดี๋ยวข้าจะเขียนจดหมายไปที่เล่ออาน ให้ท่านแม่ส่งสูตรมาให้ข้า”
ขณะที่กำลังพูดคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่เตียงเตาริมหน้าต่าง สวีซื่อจุนพยุงเจียงซื่อนั่งลงบนเตียงเตา
“ตอนไปที่เรือนของท่านป้าสะใภ้สอง ท่านป้าสะใภ้สองกำลังคำนวณเลข เดิมทีข้ากะว่าจะวางของไว้แล้วก็กลับไปอย่างเงียบๆ แต่พี่เจี๋ยเซียงยืนกรานว่าจะไปรายงานให้ได้ พอท่านป้าสะใภ้สองรู้เข้าก็เลยให้ข้าอยู่ดื่มชา” ขณะที่เจียงซื่อกำลังพูด ปี้หลัวก็ยิ้มพลางยกน้ำชาเข้ามา สวีซื่อจุนเอาถ้วยชาที่ปี้หลัวส่งให้เขามาวางไว้ตรงหน้าเจียงซื่อ จากนั้นก็รับถ้วยชาจากปี้หลัวมาจิบหนึ่งอึก แล้วตั้งใจฟังที่เจียงซื่อพูด “ก็เลยพูดคุยกับข้าเรื่องกำยาน ดังนั้นก็เลยกลับมาช้าเช่นนี้”
“ท่านป้าสองก็ทำเครื่องหอมเก่งเช่นกัน” สวีซื่อจุนยิ้มแล้วพูดว่า “หลายปีก่อน กำยานในจวนล้วนเป็นฝีมือของท่านป้าสะใภ้สอง แต่ในช่วงสองปีมานี้ท่านป้าสะใภ้สองหลงใหลการดูดาว ก็เลยไม่ค่อยได้ทำแล้ว จริงสิ ท่านป้าสะใภ้สองได้เล่าเรื่องการดูดาวให้เจ้าฟังหรือไม่ ตอนที่น้องหกไปหาครั้งที่แล้วท่านป้าสะใภ้สองพูดเรื่องดาวจตุรทิศทั้งเจ็ดให้น้องหกฟัง น้องหกไหนเลยจะมีความอดทนฟังเรื่องนี้ ก็เลยหาโอกาสจะหนี ท่านป้าสะใภ้สองก็เลยเอารถกังหันน้ำมาล่อน้องหก น้องหกก็เลยอยู่ต่ออย่างเชื่อฟัง!”
“รถกังหันน้ำ?” เจียงซื่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกสนใจ “รถกังหันน้ำคืออะไรหรือเจ้าคะ”
สวีซื่อจุนอธิบายว่า “ก็คือรถม้าที่ทำจากไม้ สูงประมาณหนึ่งศอก ยาวสองศอก ทำถังน้ำไว้บนรถแล้วเทน้ำลงไปในถัง รถม้านั้นก็จะวิ่งไปเอง…”
“ไอ๊หยา ท่านป้าสะใภ้สองทำสิ่งนี้เป็นด้วยหรือ!” เจียงซื่อเบิกตาโต “ให้ท่านป้าสะใภ้สองเอาให้ข้าดูได้หรือไม่ ให้ข้าได้เรียนรู้สักหน่อย!” พูดพลางดึงแขนเสื้อสวีซื่อจุน
สวีซื่อจุนรู้สึกว่าหัวใจตัวเองนั้นพลิ้วไหวไปมาราวกับแขนเสื้อที่กำลังถูกดึงอย่างไรอย่างนั้น
“ท่านป้าสะใภ้สองดูเป็นคนเคร่งขรึมเล็กน้อย แต่ความจริงแล้วอัธยาศัยดีอย่างมาก” เขายิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปแต่เช้าตรู่!”
เจียงซื่อลังเลเล็กน้อย “พรุ่งนี้ท่านพี่ไม่ไปเรียนหรือ”
“ไม่ต้องห่วง” สวีซื่อจุนรีบพูดว่า “อีกสักครู่ข้าจะไปขอลากับอาจารย์จ้าว”
“คง…คงไม่ดีกระมัง!” เจียงซื่อพูดอย่างกังวลว่า “ถ้าท่านพ่อกับท่านแม่รู้เข้า…”
สวีซื่อจุนหัวเราะ “หิมะตกหนักขนาดนี้ ต่อให้ข้าไม่ขอลา ไม่แน่อาจารย์จ้าวอาจจะหยุดให้เอง จากนั้นก็เชิญสหายสนิทสามถึงห้าคนไปชมหิมะด้วยกัน”
เจียงซื่อประหลาดใจเป็นอย่างมาก
แม้ว่าท่านพ่อของนางจะเป็นหัวหน้าสำนักศึกษา แต่เวลาเขาเข้าสอน ไม่เคยเลยที่จะไปช้ากลับเร็ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องให้ลูกศิษย์หยุดเพื่อที่ตัวเองจะได้ไปชมหิมะ!
อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สะใภ้หยวนเป่าจู้ที่อยู่ข้างๆ พลันกระแอมขึ้นมาเบาๆ แล้วพูดเตือนเสียงเบาว่า “คุณชายน้อยสี่ คุณนายน้อยสี่ นี่ก็ล่วงเลยเวลามามากแล้ว พวกเราต้องไปหาไท่ฮูหยิน หากให้ไท่ฮูหยินกับฮูหยินรอจะไม่ดีเจ้าค่ะ”
“ดูข้าสิ ลืมเรื่องนี้ไปเสียได้” เจียงซื่อรีบไปเปลี่ยนชุดกับสะใภ้หยวนเป่าจู้
สะใภ้หยวนเป่าจู้พูดเสียงเบาว่า “คุณนายน้อยสี่เดินทางมาจากแดนไกล วัฒนธรรมย่อมไม่เหมือนกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวัฒนธรรมของเล่ออานกับเยี่ยนจิงเลย หากอาจารย์ผู้นั้นต้องการให้วันหยุดลูกศิษย์ เช่นนั้นจะปิดบังท่านโหวกับฮูหยินได้อย่างไร ในเมื่อทั้งท่านโหวและฮูหยินก็ไม่มีใครพูดอะไร เห็นได้ชัดว่าเป็นการอนุญาตไปโดยปริยาย ท่านพึ่งเข้ามาใหม่ บางอย่างก็อย่ารีบพูดขึ้นมาจะดีกว่า ประเดี๋ยวจะทำให้คุณชายน้อยสี่ไม่พอใจ จะเป็นการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาเอาได้เจ้าค่ะ”
เจียงซื่อพยักหน้าเล็กน้อย ไปหาไท่ฮูหยินพร้อมกับสวีซื่อจุน วันรุ่งขึ้นก็พากันไปหาฮูหยินสอง
ประตูห้องหนังสือของฮูหยินสองถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา เจี๋ยเซียงยิ้มแล้วพูดว่า “บ่าวจะไปรายงานฮูหยินสองประเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”
ครั้งนี้เจียงซื่อรีบดึงมาเจี๋ยเซียงเอาไว้ “พี่เจี๋ยเซียง เวลาที่ท่านพ่อข้าอ่านหนังสือ หากมีคนมารบกวนเช่นนี้ท่านพ่อก็จะอารมณ์เสีย ข้าไม่อยากทำให้ท่านป้าสะใภ้สองอารมณ์เสีย!”
เจี๋ยเซียงเห็นว่านางพูดจากใจจริง นึกขึ้นได้ว่าอาจารย์เจียงก็เป็นคนรู้หนังสือ นางคงเห็นมาเยอะแล้ว เลยคิดว่าคงไม่โทษว่าฮูหยินสองเสียมารยาท จึงไม่ได้ยืนกรานที่จะไปรายงาน ยิ้มพลางยกชาเสวี่ยซงที่ฮูหยินสองทำไว้มารับแขก เจียงซื่อเห็นว่าชามีลักษณะโดดเด่น จึงถามเจี๋ยเซียงเกี่ยวกับชานี้ เดิมทีสวีซื่อจุนก็พานางมาเล่น เมื่อเห็นว่านางมีความสุขก็ย่อมมีความสุขตามนาง ทั้งสองคนนั่งอยู่ที่เรือนของฮูหยินสองนานกว่าครึ่งชั่วยาม พอเจียงซื่อรู้แล้วว่าชาเสวี่ยซงทำอย่างไรจึงลุกขึ้นแล้วกล่าวลาเจี๋ยเซียง
สวีซื่อจุนกำชับเจี๋ยเซียงว่า “หากท่านป้าสะใภ้สองมีเวลาว่างเมื่อไรเจ้าก็มาบอกพวกเรา เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราค่อยมาเยี่ยม”
“ท่านพี่ รอให้ถึงวันพักผ่อนของท่านแล้วพวกเราค่อยมาอีกครั้งก็ได้กระมัง!” ไม่ทันรอให้เจี๋ยเซียงรับคำ เจียงซื่อก็ยิ้มพลางพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ดูท่าแล้วเกรงว่าท่านป้าสะใภ้สองคงจะไม่มีเวลาว่างไปสักพัก”
“คุณนายน้อยสี่เดาได้แม่นยำจริงๆ เจ้าค่ะ” เจี๋ยเซียงพูดจากใจจริงว่า “ตำราเลขเล่มนี้ เล่มใหญ่อย่างมากเจ้าค่ะ!”
“เช่นนั้นพวกเราค่อยมาในวันหยุดเถิด” สวีซื่อจุนคล้อยตามเจียงซื่อ คุยไปหัวเราะไปพลางกลับเรือนไปกับนาง
พอฮูหยินสองออกมาทานอาหารเย็น เจี๋ยเซียงก็พูดถึงจุดประสงค์การมาของสวีซื่อจุนกับเจียงซื่อให้ฟัง
“เช่นนั้นก็เอารถกังหันน้ำไปไว้ที่ห้องรับรองแขกเถิด!” ฮูหยินสองพูดต่อไปว่า “หากพวกเขามาอีก เจ้าก็เอามาให้พวกเขาดู” พูดจบก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “เจียงซื่อผู้นี้นับว่าไม่เลวเลย รู้จักเกลี้ยกล่อมให้จุนเกอไปเรียนหนังสือ แต่ว่า…” พอฮูหยินสองพูดถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ชี้ไปที่ชามแกงเห็นภูเขา “รสชาติไม่เลวเลย พรุ่งนี้ทำอีกหนึ่งชาม” เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเสียเฉยๆ
พอถึงวันพักผ่อนของสวีซื่อจุน พวกเขากลับไม่ได้มา ใกล้จะตรุษจีนแล้ว ในจวนมีเรื่องมากมาย เซี่ยงซื่อก็กำลังตั้งครรภ์ สืออีเหนียงให้เจียงซื่อเรียนรู้วิธีจัดการเรื่องในเรือน ตอนอยู่ที่สกุลเดิมเจียงซื่อก็เคยเรียนมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ซับซ้อนเท่าในสกุลสวี กฎของทั้งสองสกุลไม่เหมือนกัน เจียงซื่อไม่กล้าประมาท รวบรวมสมาธิและจดจ่ออยู่กับการเรียนรู้ เมื่อกลับมาถึงเรือนบางครั้งก็จะปรึกษากับสะใภ้หยวนเป่าจู้ จะกล้าไปดูรถกังหันน้ำในเวลานี้ได้อย่างไร
“เช่นนั้นพวกเราก็รอให้ท่านพ่อกลับมาก่อนแล้วค่อยไปเถิด” สวีซื่อจุนปลอบใจเจียงซื่อ “พอท่านพ่อกลับมาแล้ว น้องหกก็จะกลับมาด้วยเช่นกัน ท่านแม่จะต้องพักผ่อนสักสองวันอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าเองก็จะมีเวลาว่างแล้ว”
นางคงไม่สามารถพักผ่อนอยู่ที่เรือนได้เพียงเพราะว่าท่านแม่สามีต้องยุ่งอยู่กับเรื่องของน้องหกหรอกกระมัง แต่พอนึกถึงความหวังดีของสามี…
“เมื่อถึงเวลานั้นแล้วค่อยว่ากันเถิด!” นางพูดอย่างอ้อมค้อม “ยังไม่รู้เลยว่าท่านแม่มีแผนอย่างไร”
สวีซื่อจุนพยักหน้า รู้สึกว่าคำพูดของภรรยาสมเหตุสมผล
วันที่ทานโจ๊กล่าปา สวีลิ่งอี๋กับจิ่นเกอก็กลับมา
“ไปเที่ยวเป่าติ้งสนุกหรือไม่” สืออีเหนียงกอดบุตรชายที่ดูเหมือนจะสูงขึ้นเล็กน้อย หอมที่แก้มของเขาแรงๆ สองที จากนั้นนางจึงได้รู้สึกสบายใจขึ้น
จิ่นเกอหัวเราะคิกคัก
สวีลิ่งอี๋ตบบ่าบุตรชายเบาๆ “รีบกลับเรือนไปล้างหน้าล้างตาเถิด พวกเราจะได้ไปทานโจ๊กล่าปาที่เรือนท่านย่า”
จิ่นเกอยิ้มพลางเดินกลับเรือนโดยมีบรรดาบ่าวรับใช้กลุ่มใหญ่ห้อมล้อม
สวีลิ่งอี๋อ้าแขนกอดสืออีเหนียงแน่น แล้วหอมแก้มนางแรงๆ สองที
“ไอ๊หยา!” สืออีเหนียงเหลือบมองสาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ในห้อง “ท่านเสียสติไปแล้วหรือ!”
บรรดาสาวใช้ต่างก็ทำสายตากรุ่มกริ่ม เม้มปากยิ้มพลางถอยออกไป
“เจ้าคิดถึงลูก ส่วนข้าก็คิดถึงเจ้าอย่างไรเล่า!” สวีลิ่งอี๋ไม่ปล่อยมือ ยิ้มพลางหอมแก้มนางอีกสองที
สืออีเหนียงหน้าแดงเล็กน้อย
“ท่านโหวยังไม่รีบไปล้างหน้าล้างตาอีก!” นางดิ้นไปมา “ท่านแม่ตั้งหน้าตั้งตารอให้ท่านกลับมา ตอนนี้เกรงว่าจะรู้ข่าวแล้ว หากท่านยังไม่รีบไปอีก ไม่แน่จื่อหงก็อาจจะมาเร่งแล้วกระมัง”
สวีลิ่งอี๋จ้องมองดวงตาของนาง “เจ้าช่วยล้างให้ข้าสิ” น้ำเสียงทุ้มพูดเสียงเบาลงเล็กน้อย แฝงไว้ด้วยความคลุมเครือ
สืออีเหนียงหันหน้าหนี ตอบเสียงเบาว่า “เจ้าค่ะ” ราวกับสายลมที่พลิ้วไหว
สวีลิ่งอี๋หัวเราะเบาๆ แล้วอุ้มนางเข้าไปในห้องชำระ
******
ไท่ฮูหยินรอตั้งนานก็ไม่เห็นบุตรชายมาคารวะนาง จึงอดเป็นกังวลไม่ได้ “เหตุใดยังไม่มาอีก” ลุกขึ้นจะลงจากเตียงเตาไปดูสักหน่อย
“ท่านอย่าใจร้อนสิเจ้าคะ” ป้าตู้ยิ้มพลางเข้าไปพยุงไท่ฮูหยิน “ท่านโหวพึ่งจะเข้าจวนมา อย่างไรก็คงจะต้องไปล้างหน้าล้างตาก่อน อีกอย่างจื่อหงก็ได้ไปเร่งแล้ว ท่านก็อดทนรอสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ!” แต่ในใจก็แอบบ่นว่าทำไมไปนานเช่นนี้
ไท่ฮูหยินทำได้เพียงนั่งลงอีกครั้ง ในใจรู้สึกว่างเปล่า ถามอวี้ป่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “เตรียมโจ๊กล่าปาพร้อมแล้วหรือยัง”
“ท่านวางใจได้เจ้าค่ะ!” อวี้ป่านยิ้มแล้วพูดว่า “ห้องครัวเล็กคอยอุ่นไว้อยู่ตลอด พอท่านโหวมาก็สามารถทานได้เลย”
“หน้าหนาวเช่นนี้ ซ้ำยังเดินทางกลับมาจากข้างนอกอีก” ไท่ฮูหยินพูดพึมพำว่า “แค่อุ่นไม่พอต้องร้อนสักหน่อยจึงจะดี”
“บ่าวจะไปกำชับห้องครัวประเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” อวี้ป่านรับคำ หันหลังแล้วเดินออกไป
จู่ๆ ม่านก็ถูกเปิดออก มีร่างเล็กๆ สวมชุดสีแดงวิ่งพรวดเข้ามา
“ท่านย่า ท่านย่า ข้ากลับมาแล้วขอรับ!”
น้ำเสียงใสแจ๋ว ฝีเท้าหนักแน่น เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง นอกจากจิ่นเกอแล้วยังจะมีใครอีก!