ท่านพ่อเคยผิดหวังและเอือมระอาต่อเขา ท่านพ่อเคยโมโหใส่เขา ท่านพ่อเคยสั่งสอนเขาด้วยความอดทน แต่ไม่เคยสะบัดแขนเสื้อใส่เขาแบบนี้
สวีซื่อจุนยืนอึ้งตะลึงอยู่กลางห้อง มือเท้าเย็นเฉียบ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนเขาถึงได้สติกลับมา จากนั้นก็เดินออกไป
“คุณชายน้อยสี่ ท่านเป็นอะไรขอรับ” หวังซู่รีบเดินเข้าไปประคองเขา
“ไม่เป็นไร!” ภายใต้แสงอาทิตย์ ใบหน้าของเขาซีดขาวราวกับกระดาษก็ไม่ปาน
หวังซู่ไม่กล้าถามอะไรอีก รีบประคองสวีซื่อจุนกลับไปที่เรือน
เจียงซื่อใกล้จะคลอดแล้ว นางกำลังแบกท้องโตเก็บเสื้อผ้าและผ้าห่มที่ทำให้บุตรที่ยังไม่คลอดเมื่อสองสามวันก่อนกับเป่าจูสาวใช้ของนาง
“ช่วงนี้อากาศดี นำออกไปตากแดดเถิด” นางพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขของคนที่กำลังจะเป็นแม่คน “แต่อย่าให้แดดส่องมากเกินไป ประเดี๋ยวจะมีไอร้อน ทำให้ลูกเป็นร้อนใน”
เป่าจูหัวเราะ “นายหญิงเป็นคนบอกใช่หรือไม่เจ้าคะ!”
นายหญิงที่นางพูดถึง ก็คือมารดาของเจียงซื่อ บุตรสาวกำลังจะคลอดแล้วยังเป็นท้องแรก นางเลยเป็นห่วงเจียงซื่อ เขียนจดหมายมาหาเจียงซื่อทุกๆ สองวัน
“ฉลาดเสียจริง!” เจียงซื่อพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด สวีซื่อจุนกลับกลัวที่ต้องเผชิญหน้ากับเด็กคนนี้
เขาไม่อยากทำให้เจียงซื่อตกใจ หันหลังแล้วเดินไปยังเรือนของสวีซื่อเจี้ย
สวีซื่อเจี้ยกำลังเรียนหนังสืออยู่ ยังไม่กลับมา
สวีซื่อจุนตรงเข้าไปในห้องหนังสือของสวีซื่อเจี้ย
สี่เอ๋อร์รีบยกน้ำชาและของว่างเข้ามา
“พวกเจ้าออกไปเถิด!” สวีซื่อจุนสะบัดมือ “ข้าจะรอน้องห้าอยู่ที่นี่”
พวกเขาสองคนสนิทสนมกัน สวีซื่อจุนก็เป็นคนง่ายๆ สี่เอ๋อร์พูดคุยกับเขาสองสามประโยค จากนั้นก็พาสาวใช้น้อยออกไปข้างนอก
สวีซื่อจุนกวาดตามองดูห้องหนังสือ
มีเตียงเตาอยู่ข้างหน้าต่าง ปูด้วยเบาะรองนั่งลายค้างคาวห้าตัวสีแดง บนโต๊ะมีเพียงชุดถ้วยชาเครื่องเคลือบขาววางอยู่ แล้วยังมีหนังสือกองอยู่บนโต๊ะ บนขอบหน้าต่างมีแจกันดอกไม้สีฟ้า ในแจกันมีดอกกุ้ยฮวาที่แห้งไปสองสามดอกปักอยู่ ตรงกลางห้องมีโต๊ะหนังสือตัวใหญ่ ซ้ายมือเต็มไปด้วยหนังสือกองพะเนิน ขวามือคือถ้วยกระเบื้องล้างพู่กันและจานหมึก เหลือพื้นที่ตรงกลางไว้วางแผ่นรองพู่กันสำหรับเขียนหนังสือ ข้างหลังมีชั้นวางสี่ชั้นที่เต็มไปด้วยหนังสือ ไม่ใช่หนังสือที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่เป็นหนังสือที่วางเอียงไปเอียงมา แค่ดูก็รู้ว่าหนังสือที่อยู่บนชั้นวางมักจะมีคนหยิบออกไปอ่านเสมอ ไม่ได้วางเอาไว้เพื่อประดับตกแต่ง
สวีซื่อจุนหยิบหนังสือขึ้นมาแล้วเอนตัวลงบนเก้าอี้จุ้ยเวิงใต้หน้าต่าง แต่กลับมีบางอย่างทิ่มอยู่ตรงเอว เขาหันไปมอง ที่แท้บนเก้าอี้จุ้ยเวิงมีหนังสือ ‘อธิบายตำราทั้งสี่’ วางอยู่
เขากำลังจะหยิบหนังสือไปวางบนโต๊ะ แต่บนโต๊ะกลับมีหนังสือ ‘อธิบายสำนักศึกษา’ สองสามเล่มวางอยู่
สวีซื่อจุนหัวเราะ จากนั้นก็นอนลงบนเก้าอี้จุ้ยเวิง
เก้าอี้จุ้ยเวิงโยกไปมา เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นกระถางดอกกล้วยไม้หยกอยู่บนโต๊ะดอกไม้ตรงมุมห้อง กลีบดอกไม้ที่แวววาวราวกับลูกแก้ว บานได้ถูกเวลาพอดี
ช่างเป็นห้องที่ยอดเยี่ยม!
สวีซื่อจุนถอนหายใจ
เหตุใดเมื่อก่อนเขาถึงมองไม่ออกว่าห้องหนังสือของสวีซื่อเจี้ยตกแต่งได้สบายตาและสง่างามเช่นนี้!
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา เขาก็ไม่อยากอ่านหนังสือแล้ว เขาหลับตาลงแล้วโยกไปตามเก้าอี้จุ้ยเวิง หัวใจก็เต้นไปตามจังหวะของเก้าอี้จุ้ยเวิง
ท่านพ่อต้องผิดหวังในตัวเขามากใช่หรือไม่
เขาคิดไม่ถึงว่าท่านพ่อจะให้ความสำคัญกับร้านต้าเฟิงเฮ่าขนาดนี้ เขาคิดว่าแค่ร้านต้าเฟิงเฮ่าคืนเงินก็พอแล้ว เเต่จะคืนเมื่อไรไม่ใช่เรื่องสำคัญ ถึงแม้ว่าเขายังไม่ได้ดูแลเรื่องในจวน แต่เขามักจะถามพ่อบ้านไป๋ทุกวันว่ามีเรื่องอันใดสำคัญหรือไม่…ท่านพ่อก็บอกแล้วว่าต้องเรียนรู้ที่จะจัดการเรื่องใหญ่และเรื่องเล็ก เขาแค่ถามพ่อบ้านไป๋ก็พอแล้ว ทำไมถึงต้องลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง?
เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็รู้สึกหงุดหงิด
รู้สึกว่าเก้าอี้จุ้ยเวิงโยกจนทำให้คนเวียนหัว
เขายืนขึ้นแล้วตะโกนเรียกหวังซู่ “คุณชายน้อยห้ายังไม่กลับมาอีกหรือ”
ม่านประตูถูกเปิดออก ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของสวีซื่อเจี้ยปรากฏขึ้นมาตรงหน้าสวีซื่อจุน “เหตุใดพี่สี่ถึงไม่อยู่กับพี่สะใภ้สี่ที่เรือน มาหาข้าทำไมกัน” เขาพูดหยอกล้อสวีซื่อจุน
ตั้งแต่เจียงซื่อตั้งครรภ์ สวีซื่อจุนมักจะอยู่กับเจียงซื่อตลอดเวลา
เมื่อถูกน้องชายตัวเองหยอกล้อ สวีซื่อจุนก็ยิ้มอย่างเขินอาย “อยู่ที่เรือนทุกวัน จึงอยากมาทานอาหารที่เรือนของเจ้า ทำไมกัน ไม่ต้อนรับข้าอย่างนั้นหรือ!”
“ไม่ใช่ขอรับ!” สวีซื่อเจี้ยยิ้มแล้วกำชับสี่เอ๋อร์ให้บอกโรงครัวเพิ่มอาหาร “เชิญพี่สี่ทานอาหารที่นี่เถิด”
สี่เอ๋อร์ยิ้มแล้วขานรับ เดินไปถึงหน้าประตูกลับถูกสวีซื่อจุนเรียกหยุด “มีสุราหรือไม่ นำสุราจินหวามาด้วย!”
สวีซื่อเจี้ยและสี่เอ๋อร์ต่างก็ตกใจ สี่เอ๋อร์เกลี้ยกล่อมเขา “พึ่งจะเที่ยง แล้วท่านโหวก็อยู่ที่จวนนะเจ้าคะ…”
ไม่รอให้สี่เอ๋อร์พูดจบ สวีซื่อจุนก็ระบายออกมา “ช่างมันเถิด เจ้าไปเตรียมอาหารกลางวันเถิด”
แต่สี่เอ๋อร์ไม่กล้าตัดสินใจ นางมองไปที่สวีซื่อเจี้ย
รอยยิ้มของสวีซื่อเจี้ยหายไป
เขาสะบัดมือให้สี่เอ๋อร์ บอกให้นางออกไป
“พี่สี่ เกิดอะไรขึ้นขอรับ” สวีซื่อเจี้ยรีบลากสวีซื่อจุนไปนั่งบนเตียงเตาข้างหน้าต่าง เขาถามสวีซื่อจุนด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
สวีซื่อจุนมองดูใบหน้าที่มีความไร้เดียงสาของน้องชายตัวเอง แต่คำพูดที่ติดอยู่ที่ปากกลับพูดไม่ออก เขาเงียบอยู่นาน จากนั้นก็ถามสวีซื่อเจี้ย “การเรียนของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เดิมทีสวีซื่อเจี้ยนั้นเป็นเด็กที่จับความรู้สึกคนได้ดีอยู่แล้ว ยิ่งสวีซื่อจุนไม่พูด เขาก็ยิ่งคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ
แต่ก็จะบังคับสวีซื่อจุนให้พูดไม่ได้
“ไม่เลวขอรับ!” สวีซื่อเจี้ยพูดกับสวีซื่อจุนพร้อมกับสังเกตสีหน้าของสวีซื่อจุนไปด้วย “อาจารย์ฉังบอกให้ข้าตั้งใจเขียนบทความ” เขายิ้ม “บอกข้าว่าข้าใช้คำสละสลวยเกินไป ไม่ก็เรียบง่ายเกินไป ทำให้บทความดูเกินจริง ไม่มีความธรรมชาติ จะทำให้ผู้คนแยกแยะประเด็นสำคัญของเนื้อเรื่องไม่ออก” พูดด้วยท่าทีเอือมระอา “ตอนนี้ข้าเลยยังไม่รู้ว่าจะเริ่มเขียนอย่างไร”
“ลางเนื้อชอบลางยา” สวีซื่อจุนได้ยินเช่นนี้ก็พูดปลอบใจสวีซื่อเจี้ย “เจ้าอย่างพึ่งท้อ บางทีอาจเจอผู้คุมสอบที่ชอบบทความที่เจ้าเขียนก็ได้!”
ได้พูดถึงเรื่องที่ตนกังวลมาตลอด อีกทั้งคนที่รับฟังก็คือพี่ชายที่ตนเชื่อใจมากที่สุด สวีซื่อเจี้ยจึงพูดออกมาตามใจตัวเอง “ไม่ควรพูดเช่นนี้ หากเจอผู้คุมสอบที่เหมือนอาจารย์ฉังจะทำเช่นไรเล่า ลงสนามสอบไม่ควรพึ่งโชคชะตา ยิ่งไปกว่านั้น อาจายร์ฉังก็บอกแล้วว่า เขียนบทความได้ดีเป็นเรื่องสำคัญ บทกวีคือบทกวี พรสวรรค์คือพรสวรรค์ เห็นได้ชัดว่าข้ายังต้องตั้งใจเขียนบทความ” เขาเลิกคิ้ว “ข้าคิดว่าความขยันสามารถชดเชยพรสวรรค์ได้ ตอนนี้ข้าจะเขียนบทความที่อาจารย์ฉังแก้ให้ใหม่ทั้งหมด จากนั้นค่อยนำมาเปรียบเทียบกับบทความเดิมของข้า หาข้อผิดพลาดที่อาจายร์ฉังคิดว่าข้ายังเขียนได้ไม่ดีออกมา แบบนี้ก็จะรู้ว่าข้าเขียนตรงไหนไม่ดี ต่อไปหากอาจารย์ฉังอ่านเจอ เขาอาจชื่นชมว่าวิธีของข้าเป็นวิธีที่ดีก็ได้”
สวีซื่อจุนคิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดเช่นนี้ เขามองสวีซื่อเจี้ยด้วยสายตาที่มีความจริงจัง “น้องห้าของข้าโตแล้ว!”
สวีซื่อเจี้ยยิ้มอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “จะให้ท่านแม่เป็นห่วงข้าตลอดไม่ได้!”
สวีซื่อจุนไม่พูดอะไร
สี่เอ๋อร์ยกโต๊ะเข้ามา
พวกเขาสองคนทานอาหารอย่างเงียบๆ สวีซื่อเจี้ยให้สวีซื่อจุนพักผ่อนในห้องหนังสือ สวีซื่อจุนผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
หลังกลับมาจากเลิกเรียน สวีซื่อจุนก็ยังคงหลับอยู่ สวีซื่อเจี้ยบอกให้สี่เอ๋อร์ดูแลสวีซื่อจุนให้ดี จากนั้นก็เดินไปที่เรือนทิงเทา แต่เขาพึ่งจะเดินออกไปได้ไม่ไกล สวีซื่อจุนก็ลืมตาตื่นขึ้นมา
เขานอนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน
ผ่านไปครู่หนึ่ง สวีซื่อจุนก็ได้ยินเสียงเป่าจู “… ขอบพระคุณพี่สี่เอ๋อร์เจ้าค่ะ ในเมื่อคุณชายน้อยสี่ยังไม่ตื่น เช่นนั้นข้ารออยู่ที่นี่ก็ได้!”
“ไปนั่งที่ห้องของข้าดีกว่า!” สี่เอ๋อร์พูด “ให้สาวใช้น้อยคอยเฝ้าอยู่ที่นี่ หากคุณชายน้อยสี่ตื่นแล้วเราค่อยมาก็ได้”
เป่าจูยิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณ
ใต้ชายคาที่เงียบสงัด พลอยทำให้บรรยากาศดูอ้างว้างเงียบเหงา
*****
“สะใภ้ก่วนชิงพูดเช่นนี้จริงหรือ?” เจียงซื่อมองเป่าจูด้วยสีหน้าฉงนใจ ทำให้สีหน้าของนางดูเคร่งขรึม
“พูดเช่นนี้จริงๆ เจ้าค่ะ” เป่าจูพูดเบาๆ “ตอนนั้นสะใภ้ก่วนชิงกำลังจะนำอาหารไปให้คุณชายน้อยห้า พอเห็นบ่าวอยู่ที่นั่นจึงถามบ่าว ถึงแม้ว่าจะพูดเพียงไม่กี่คำ แต่บ่าวฟังไม่ผิดแน่นอนเจ้าค่ะ ยามเช้าท่านโหวเรียกคุณชายน้อยสี่ไปหาเพราะเรื่องเงินของร้านต้าเฟิงเฮ่าเจ้าค่ะ…” นางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นยามเช้าให้เจียงซื่อฟัง
สะใภ้ก่วนชิงมีนามว่าหู่พั่ว เป็นผู้ดูแลหญิงคนสนิทของแม่สามี คนที่ได้รับตำแหน่งนี้ ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน บังเอิญเจอเข้ากับเป่าจูเลยพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นลานนอก…เรื่องที่ตัวเองไปสืบอย่างไรก็สืบไม่เจอ แต่กลับรู้อย่างไม่ต้องเสียแรงเช่นนี้ มันต้องมีลับลมคมในอย่างแน่นอน!
เมื่อความคิดนี้แล่นผ่านเข้ามาในหัว เจียงซื่อก็รู้สึกตกใจ
หรือว่า สะใภ้ก่วนชิงมาเตือนนางตามคำสั่งของท่านแม่?
คิดได้เช่นนี้ เจียงซื่อก็นั่งไม่ติดอีกต่อไป
“ไปกันเถิด เราไปหาคุณชายน้อยสี่กัน!”
*****
สืออีเหนียงนั่งอยู่บนเตียงเตา ยิ้มแล้วพิงไหล่สวีลิ่งอี๋ “ยังไม่หายโกรธอีกหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋หันหน้ามามอง เห็นดวงตาที่ราวกับจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
เขายื่นมือออกไปไปบิดจมูกสืออีเหนียง แต่สืออีเหนียงกลับหันหน้าหลบ
“ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคิดอะไรอยู่” สวีลิ่งอี๋ถอนหายใจ “เขามีบ่าวรับใช้ที่ชาญฉลาดและมีความสามารถอย่างหวังซู่ หั่วชิงและอิ๋นเจิน แต่เขากลับไปดูงานที่ร้านด้วยตัวเอง…จริงๆ เลย” พูดพลางส่ายหน้า “เรื่องที่ควรสนใจไม่สนใจ แต่เรื่องที่ไม่ควรสนใจกลับสนใจ” พูดต่อไปว่า “มีบ่าวรับใช้ที่ชอบหลอกลวงเจ้านายตั้งมากมาย เห็นว่าเจ้านายไม่มีคนคอยช่วยเหลือเลยลักขโมยทรัพย์สินของเจ้านายยังไม่พอ ซ้ำยังขายเจ้านายของตัวเองให้ไปเป็นทาสตลอดชีวิต”
“ก็เพราะจุนเกอคิดว่าคนดูแลเรื่องในจวนคือพ่อบ้านไป๋ คือคนที่ท่านเชื่อใจมากที่สุดอย่างไรเล่า หากเป็นคนอื่น เขาจะกล้าประมาทแบบนี้ที่ไหนกัน” สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “เหมือนที่ท่านพูด เขาจดจำจำนวนเงินในบัญชีได้อย่างแม่นยำ พอรู้ว่าท่านต้องการใช้เงินก็บอกว่าตัวเองมีเงินเท่าไรโดยที่ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย แล้วยังให้ท่านนำไปใช้…เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้แย่เหมือนที่ท่านพูดเอาไว้กระมัง!”
สวีลิ่งอี๋ไม่พูดอะไรต่อ
สืออีเหนียงยิ้มแผ่วเบา
บอกว่าเป็นนิสัยแย่ก็ไม่ใช่ แต่หากบอกว่าไม่ใช่นิสัยแย่ ช่วงเวลาสำคัญอาจจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ได้ นี่คือเหตุผลที่สวีลิ่งอี๋โมโหขนาดนี้!
ไม่เช่นนั้น นางคงไม่ให้หู่พั่วแอบไปเล่าให้เจียงซื่อฟัง อยากให้เจียงซื่อช่วยเกลี้ยกล่อมสวีซื่อจุน
“ใช่แล้ว!” พูดถึงเรื่องนี้ สืออีเหนียงก็นึกถึงเรื่องที่ยงอ๋องขอยืมเงินขึ้นมา “…ฝั่งนั้นคงไม่มีเรื่องอื่นใช่หรือไม่เจ้าคะ หากฮ่องเต้ไม่เห็นด้วยที่ยงอ๋องสร้างลานใหม่ ท่านทำเช่นนี้ ฮ่องเต้จะไม่พอพระทัยเอาได้”