สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อมาอยู่เป็นเพื่อนข้า เช่นนั้นก็นอนที่เรือนปีกทิศตะวันตกหลังลานเถิด!”
โดยทั่วไปแล้ว สกุลที่มีบุตรสาว จะให้บุตรสาวนอนที่เรือนปีกทิศตะวันตกหลังลาน
หู่พั่วยิ้มแล้วขานรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ปรึกษากับสืออีเหนียงเรื่องตกแต่งเรือน เรื่องป้ารับใช้และสาวใช้
ไปคารวะไท่ฮูหยินยามเย็น สืออีเหนียงถามเซินเกอ “ไปด่านหุบเขาจยาอวี้มาสนุกหรือไม่”
“สนุกขอรับ!” เซินเกอพยักหน้าซ้ำๆ
กลับมาสองวันแล้ว แต่ความสนุกของการเดินทางไกลยังไม่จางหายไป เมื่อมีคนถามถึงเรื่องด่านหุบเขาจยาอวี้กับเขา เขาก็มักจะเล่าสิ่งที่เขาเห็นที่ด่านหุบเขาจยาอวี้ให้ฟังอย่างละเอียด
“กำแพงเมืองของพวกเขาสูงอย่างมาก” เขากางแขนแล้ววิ่งจากมุมห้องหนึ่งไปอีกมุมห้องหนึ่ง “ป้ายไม้ยาวอย่างมาก” เขาวิ่งจากมุมนั้นมามุมนี้ “ข้ายื่นคอมองก็ยังมองไม่เห็นมุมหอ…มีพายุทะเลทรายทุกที่… ต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าพันหน้าเอาไว้…เนื้อแกะอร่อยมาก…แล้วยังเห็นคนผมสีเหลือง ตาสีฟ้า…นั่งบนหลังอูฐด้วยขอรับ…”
ทุกคนยิ้มแล้วฟังเขาเล่า
สวีลิ่งควนเห็นว่าเริ่มดึกแล้ว ก็ยิ้มแล้วดึงคอเสื้อเซินเกออย่างเบามือ “เอาล่ะ รีบไปพักผ่อนเถิด! พรุ่งนี้ค่อยเล่าต่อ”
เซินเกอโค้งคำนับไท่ฮูหยิน
สืออีเหนียงเดินออกมากับพวกเขา นางยิ้มแล้วถามเซินเกอ “ยอดด่านสนุกขนาดนั้น เหตุใดเจ้าถึงไม่อยู่กับจิ่นเกอเล่า มีท่านลุงสี่ของเจ้าอยู่ด้วย เจ้ายังกลัวถูกลักพาตัวอีกหรือ”
“ท่านพ่อไม่อนุญาตขอรับ” เซินเกอเบะปากด้วยความน้อยใจ “บอกว่าพวกเขาออกไปไกลเกินไป จึงลากข้ากลับมาก่อน”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วมองไปยังสวีลิ่งควน
สวีลิ่งควนหน้าแดง “พี่สะใภ้สี่ พี่สี่ไม่ยอมให้ข้าพูดเพราะกลัวพี่สะใภ้สี่จะเป็นห่วง…ไม่มีอะไรหรอก พี่สี่ก็แค่พาจิ่นเกอไปดูค่ายทหาร ผู้บัญชาการด่านหุบเขาจยาอวี้เองก็อยู่ด้วย ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแน่นอน”
นางรู้อยู่แล้วว่าสวีลิ่งอี๋ไม่มีทางอยู่ฉลองปีใหม่ที่เซวียนถงเพียงเพราะฟั่นเหวยกังแน่นอน
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง
ช่วงฤดูหนาว นอกด่านไม่ค่อยมีอาหารและเสื้อผ้า ทหารรักษาชายแดนมักจะถูกโจมตีช่วงฤดูหนาว พวกเขาออกไปนอกด่าน จะเจออันตรายหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนั้นสวีลิ่งอี๋โจมตีซีเป่ย สำหรับต้าโจวแล้ว เขาคือวีรบุรุษ แต่สำหรับชาวซีเป่ย เขาคือศัตรูตัวฉกาจ
“เหตุใดเจ้าถึงไม่เกลี้ยกล่อมพี่สี่ของเจ้า นี่มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น” นางสีหน้ามืดมนลง “หากเขาเป็นอะไรไปจะทำเช่นไร”
สวีลิ่งควนพูดไม่ออก
ฮูหยินห้าที่อยู่ข้างๆ ได้ยินดังนั้นก็เป็นกังวล นางตำหนิสวีลิ่งควน “ทำไมเจ้าถึงไม่รู้อะไรเช่นนี้ พี่สี่ไม่ยอมฟังเจ้า ทำไมเจ้าถึงไม่เขียนจดหมายมาบอกท่านแม่ ตัวเองกลับเงียบอยู่แบบนี้ แล้วยังช่วยพี่สี่ปิดบังคนในครอบครัว เจ้านะเจ้า”
สืออีเหนียงเป็นพี่สะใภ้ นางตำหนิตัวเองสองสามประโยคไม่เป็นไร แต่นี่คือภรรยาของตัวเอง สวีลิ่งควนเลยเอ่ยแก้ตัว “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หากข้าไม่ช่วยพี่สี่ปิดบังแล้วเจ้าจะให้ข้าไปบอกท่านแม่ตอนนี้อย่างนั้นหรือ หากท่านแม่เป็นอะไรไป ข้าจะทำเช่นไร”
ฮูหยินห้าไม่สนใจเขา นางปรึกษากับสืออีเหนียง “พี่สะใภ้สี่ คุณชายห้าพูดมีเหตุผล เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าคิดว่าเราไม่ควรให้ท่านแม่รู้เรื่องนี้…”
หากไม่อยากปิดบังไท่ฮูหยิน ตนจะออกมาถามเซินเกอข้างนอกทำไม
“ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน” สืออีเหนียงถอนหายใจ นางถามสวีลิ่งควน “ท่านโหวบอกหรือไม่ว่าจะกลับมาเมื่อไร เขาจะไปที่ไหน”
สวีลิ่งควนยิ้ม “เกรงว่าจะกลับมาช่วงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ส่วนพี่สี่จะไปที่ไหนนั้นไม่ได้บอกเอาไว้”
สืออีเหนียงครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าอยากเขียนจดหมายให้พี่สี่ของเจ้า ต้องทำอย่างไรเขาถึงจะได้รับจดหมาย”
“ส่งไปที่ด่านหุบเขาจยาอวี้ก็ได้!” สวีลิ่งควนยิ้มแล้วพูดว่า “ผู้บัญชาการด่านหุบเขาจยาอวี้เดิมทีเป็นพลทหารของพี่สี่” จากนั้นเขาก็พูดปลอบใจสืออีเหนียง “พี่สะใภ้สี่ไม่ต้องห่วง ผู้บัญชาการด่านหุบเขาจยาอวี้รู้ว่าจิ่นเกอเป็นบุตรชายของพี่สี่ ถึงแม้ว่าพี่สี่จะหายตัวไป เขาย่อมไม่มีทางปล่อยให้จิ่นเกอเป็นอะไรไปแม้แต่ปลายเล็บ…”
ปลอบใจคนเช่นนี้ได้อย่างไร!
ฮูหยินห้ารีบพูดขัดจังหวะสวีลิ่งควน “คุณชายห้า พี่สะใภ้สี่รู้ว่าพี่สี่ออกไปนอกด่าน พี่สะใภ้สี่กำลังเป็นห่วงเขา ท่านให้พี่สะใภ้สี่ไปเขียนจดหมายส่งไปที่ด่านหุบเขาจยาอวี้เถิด ตอนนี้ดึกมากแล้ว หากยังพูดคุยกันต่อ ฟ้าคงจะสว่างพอดี ทำให้ล่าช้าไปอีกหนึ่งวัน อีกสองสามวันก็จะปีใหม่แล้ว ถึงตอนนั้น แม้จะมีเงินก็หาคนไปส่งจดหมายให้ไม่ได้กระมัง”
“ใช่ ใช่!” สวีลิ่งควนได้ยินดังนั้นก็รีบพูด “พี่สะใภ้สี่รีบกลับไปเขียนจดหมายเถิด บางที่พี่สี่ได้รับจดหมายจากพี่สะใภ้สี่แล้วอาจเปลี่ยนใจก็ได้”
ถึงแม้เขาจะเปลี่ยนใจ แต่ก็ไม่มีทางกลับมาทันปีใหม่
สืออีเหนียงแอบถอนหายใจในใจ บอกให้สวีลิ่งควนมารับจดหมายพรุ่งนี้เช้า จากนั้นก็รีบกลับไปที่เรือน
สวีลิ่งควนมองแผ่นหลังของสืออีเหนียง เขาอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “พี่สะใภ้สี่รู้ได้อย่างไรว่าพี่สี่ไม่ได้อยู่กับฟั่นเหวยกัง?”
*****
สืออีเหนียงแทบไม่ได้นอนทั้งคืน เช้าวันต่อมาก็บอกให้หู่พั่วนำจดหมายไปให้ฮูหยินห้า
สวีซื่อเจี้ยมาคารวะนาง เห็นนางดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวา เขาจึงบอกให้คนยกนมแพะร้อนเข้ามา “ท่านแม่ดื่มนมร้อนสักหน่อยเถิดขอรับ” เขาพูดต่อไป “ช่วงขึ้นปีใหม่ของทุกปีก็เหมือนๆ กัน บรรดาผู้ดูแลหญิงมีประสบการณ์มากว่าสิบปีแล้ว หลับตาก็ยังรู้ว่าควรทำเช่นไร ท่านแม่ดื่มนมแพะร้อนๆ แล้วพักผ่อนเถิด ขึ้นปีใหม่ ไหว้บูชาบรรพบุรุษเสร็จแล้วยังต้องเข้าไปแสดงความยินดีในพระราชวังแต่เช้า ท่านไม่ดูแลตัวเองช่วงนี้ ถึงตอนนั้นจะทำอย่างไรเล่า!” เขาพยายามโน้มน้าวให้สืออีเหนียงพักผ่อน “ข้าเลิกเรียนแล้วจะมาหาท่านอีกขอรับ!
สืออีเหนียงไม่อยากปฏิเสธน้ำใจของเขา บอกให้สาวใช้น้อยหยิบผ้าห่มมาปูบนเตียงเตาข้างหน้าต่าง เอนตัวลงบนเตียงเตา สวีซื่อเจี้ยมองดูสืออีเหนียงดื่มนมแพะจนหมด จากนั้นก็ไปเรียน
“คุณชายน้อยห้าช่างกตัญญูเสียจริง” หู่พั่วพูดด้วยรอยยิ้ม “หวังว่าท่านจะสมปรารถนาเจ้าค่ะ!”
หมายถึงเรื่องของอิงเหนียงใช่หรือไม่!
สืออีเหนียงยิ้ม
มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงาน “ฮูหยินเจ้าคะ คุณนายใหญ่สกุลเหลียงมาหาท่านเจ้าค่ะ”
หลานถิง?
สืออีเหนียงรีบลุกขึ้นนั่ง “เชิญนางเข้ามา!”
สาวใช้น้อยขานรับแล้วเดินออกไป จากนั้นก็พาหลานถิงที่สวมชุดสีแดงเดินเข้ามา
“พึ่งจะกลางวัน เหตุใดถึงรีบนอนเช่นนี้” เห็นผ้าห่มบนเตียงเตา นางก็ตกใจ “เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือ”
“ไม่เป็นไร!” สืออีเหนียงเชิญนางมานั่งบนเก้าอี้ไท่ซือ “เมื่อวานนอนไม่ค่อยหลับ จึงอยากงีบสักประเดี๋ยว”
หลานถิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางรับถ้วยชามาจากสาวใช้
เหลียงฮูหยินเป็นหวัดเมื่อฤดูหนาวปีก่อน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หายดี หลานถิงจึงเป็นคนดูแลเรื่องในจวนสกุลเหลียง
“ประเดี๋ยวก็จะปีใหม่แล้ว ทำไมเจ้าถึงมีเวลามาหาข้าด้วยเล่า” สืออีเหนียงถามด้วยความสงสัย
พวกนางสองคนรู้จักกันตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้ว ซ้ำยังเป็นคนตรงไปตรงมาจึงไม่มีพิธีรีตองอะไรมากนัก
“เจ้ามีเรือนอยู่ที่ตรอกจินอวี๋ใช่หรือไม่ ข้าอยากเช่าเรือนของเจ้า เจ้าคิดว่าค่าเช่าเท่าไรถึงจะเหมาะสม”
สืออีเหนียงแปลกใจ “เจ้าจะเช่าเรือนไปทำไม”
อยู่ที่เยี่ยนจิง ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ไม่ว่าจะเป็นสกุลเหลียงหรือว่าสกุลกาน เรือนหลังเล็กๆ พวกเขาไม่มีทางขาดแคลน
“พี่หญิงสามของข้า” หลานถิงเห็นสืออีเหนียงเป็นเหมือนสหายสนิท ต่อหน้าสืออีเหนียงนางไม่เคยปิดบังเรื่องที่น่าอับอายของสกุลตัวเอง “นางจะพาเหวินเกอ บุตรชายของนางกลับมาเยี่ยนจิงหลังปีใหม่”
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” สืออีเหนียงจับมือหลานถิงแน่น
หลานถิงยิ้มอย่างขมขื่น “พี่หญิงสามของข้าไม่อยากเห็นเรื่องสกปกของสกุลตัวเอง เมื่อบุตรชายอายุสามขวบนางเลยอ้างว่าไม่สบาย ย้ายกลับไปอยู่ที่ไร่ สองปีแรกยังดีๆ อยู่ สกุลเจี่ยงส่งอาหารการกินและของใช้ไปให้ตรงเวลาตลอด พี่หญิงสามปลูกต้นไม้ดอกไม้ในลาน สอนลูกอ่านหนังสือ ฝึกเขียนตัวอักษรอย่างมีความสุข แต่ตั้งแต่สามปีก่อนที่นายท่านผู้เฒ่าสกุลเจี่ยงเสียชีวิตไป สกุลเจี่ยงเอาแต่ผลัดวันประกันพรุ่ง เมื่อถึงปีก่อน บอกว่ารับผิดชอบไม่ไหว บอกให้พี่หญิงสามและลูกกลับไปอยู่ที่เรือนเก่า พี่หญิงสามคิดว่าบุตรชายตัวเองโตแล้วต้องเรียนหนังสือ จะให้เขาอยู่ที่ไร่กับตัวเองเช่นนี้ไม่ได้ จึงยอมกลับไป” หลานถิงพูดถึงตรงนี้ นางก็หยุดชะงัก “แต่ใครจะรู้ว่าพี่เขยของข้ารับนางรำมาอยู่ที่เรือน พี่หญิงสามกลัวเหวินเกอจะเลียนแบบ เลยจะขายนางรำคนนั้นออกไป แต่พี่เขยของข้ากลับเลี้ยงนางรำคนนั้นไว้ข้างนอก พี่หญิงสามเห็นว่าครอบครัววุ่นวาย จึงกัดฟันบอกว่าจะพาเหวินเกอกลับมาเยี่ยนญาติผู้ใหญ่ที่เยี่ยนจิง แต่ความจริงแล้วนางจะมาอยู่ที่เยี่ยนจิงถาวร จากนั้นก็หาอาจารย์สอนหนังสือให้เหวินเกอ รอให้เหวินเกอโตกว่านี้อีกสักหน่อย แล้วค่อยคิดว่าจะกลับเจี้ยนอานดีหรือไม่” นางพูดต่ออีกว่า “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่สะดวกจริงๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสกุลเดิมของข้า ข้าจึงมาขอร้องให้เจ้าช่วย!”
หลังจากหยางซื่อฮูหยินของเจี้ยนหนิงโหวถูกโค่นล้ม สองปีต่อมาคุณนายสามสกุลเหลียงก็ตรอมใจเสียชีวิต เมื่อสิ้นสุดช่วงไว้ทุกข์ คุณชายสามสกุลเหลียงก็แต่งภรรยาใหม่ ไม่รู้ว่าคุณนายสามคนใหม่นิสัยเป็นเช่นไร แล้วยังอายุน้อยกว่าคุณชายสามสกุลเหลียงตั้งเจ็ดแปดปี ตั้งแต่นั้นมา คุณชายสามสกุลหลียงก็กลัวภรรยาตัวเอง ทำให้คุณนายสามกลายเป็นคนที่เย่อหยิ่ง เอาแต่จับตามองหลานถิงว่าหลานถิงทำอะไรผิดพลาดหรือไม่ หากเฉาเอ๋อร์ไปอยู่ในเรือนของสกุลเหลียง ถึงแม้ว่าจะเช่า แต่เกรงว่าคนอื่นอาจพูดว่าเอาเปรียบได้ สำหรับกานฮูหยิน ตอนที่เฉาเอ๋อร์ยังไม่ได้แต่งงาน นางอยากให้เฉาเอ๋อร์แต่งงานเร็วๆ ตอนนี้แต่งงานออกไปแล้ว กานฮูหยินยิ่งไม่มีทางต้อนรับเฉาเอ๋อร์แน่นอน
“เรือนหลังนั้นซ่อมแซมทุกๆ สองปี ซ่อมแซมครั้งหนึ่งก็ตกแต่งครั้งหนึ่ง ตกแต่งครั้งหนึ่งก็เปลี่ยนข้าวของ มีข้าวของ ภาพวาด โต๊ะ เก้าอี้และเตียงอยู่ทุกที่ ทำห้องเก็บของเจ็ดห้องก็ไม่พอ ถึงแม้จะดูใหญ่โต แต่พื้นที่ที่เหลือให้เจ้ากลับมีไม่มาก” สืออีเหนียงพูดเบาๆ “ข้ายังมีเรือนอยู่ที่ตรอกซื่อเอ๋อร์ ถึงแม้จะมีประตูทางเข้าสองทาง ห้องสามห้อง แต่เป็นระเบียบเรียบร้อย แล้วยังเงียบสงบ หากเจ้าอยากเช่าเรือน ไม่สู้เช่าเรือนที่ตรอกซื่อเอ๋อร์ของข้าดีกว่า!”
ได้ยินมานานแล้วว่ากิจการร้านขายของมงคลสมรสของสืออีเหนียงไม่เลว แต่คิดไม่ถึงว่านางจะมีเรือนอยู่ที่ตรอกซื่อเอ๋อร์อีกด้วย
“แพงเกินไป เราเช่าไม่ไหว” หลานถิงพูดอย่างตรงไปตรงมา “แล้วข้าก็ชอบเรือนที่ตรอกจินอวี๋ของเจ้า ก็เพราะว่าเจ้ามีผู้ติดตามอยู่ที่นั่น พี่หญิงสามอยู่ที่นั่น จะได้มีคนคอยดูแล”
แต่ว่าที่นั่นแม้แต่เสาหินสี่เสาที่ใต้ต้นองุ่นยังเป็นของโบราณสมัยราชวงศ์ก่อน ที่ครอบครัวหลิวหยวนรุ่ยอาศัยอยู่ที่นั่นก็เพราะให้พวกเขาเป็นคนเฝ้า นางจะให้เฉาเอ๋อร์เช่าเรือนหลังนั้นได้อย่างไรกัน!
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “บุตรชายคนโตของสะใภ้หลิวหยวนรุ่ยแต่งงานแล้ว ครอบครัวของพวกเขามีตั้งเจ็ดแปดคน สองสามวันก่อนยังบอกข้าว่าอยากเพิ่มห้อง เอาอย่างนี้ดีกว่า ข้าให้เจ้าเช่าเรือนหลักและห้องครัวเล็กข้างหลังของเรือนที่ตรอกซื่อเอ๋อร์ เจ้าจ่ายค่าเช่าแค่สามห้อง บุตรชายคนโตของสะใภ้หลิวหยวนรุ่ยก็ให้ย้ายไปอยู่ที่เรือนหน้า แบบนี้จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องค่าเช่า ข้าไม่ต้องสร้างห้องเพิ่ม พี่เฉาเอ๋อร์ก็มีคนคอยดูแล เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
ตรอกซื่อเอ๋อร์อยู่ใกล้ศาลปกครองหกกรม คนที่อยู่ที่นั่นส่วนใหญ่คือขุนนางของหกกรม เงียบสงบ แล้วยังมีแต่คนมีการศึกษา เฉาเอ๋อร์และลูกอยู่ที่นั่นเหมาะสมที่สุดแล้ว
หลานถิงรู้ว่าสืออีเหนียงกำลังช่วยนาง แต่นางกลับปฏิเสธไม่ได้
นางไม่พูดอะไร แค่พยักหน้าให้สืออีเหนียงเบาๆ