ทำความสะอาดเรือนที่ตรอกซื่อเอ๋อร์เรียบร้อยแล้ว หลิวไท่ผิง บุตรชายคนโตของหลิวหยวนรุ่ยก็ย้ายเข้าไปอยู่ เมื่อถึงวันที่ยี่สิบสองเดือนสิบสอง สืออีเหนียงกำชับให้หู่พั่วไปรายงานหลานถิง “บอกนางว่าย้ายเข้ามาเมื่อไรก็ได้”
วันต่อมาก็คือวันตรุษจีนเล็ก มีผู้คนมากมายมาคารวะปีใหม่เหลียงเก๋อเหล่า ในฐานะลูกสะใภ้ที่ดูแลเรื่องในจวนอย่างหลานถิง นางยุ่งจนไม่ได้พัก แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ นางยังหาเวลาไปดูเรือนที่ตรอกซื่อเอ๋อร์ นำเงินสองร้อยตำลึงให้สะใภ้หลิวไท่ผิง ให้นางช่วยซื้อโต๊ะ เก้าอี้ หม้อ ชาม และฟืนน้ำมัน แล้วยังมอบเงินสองตำลึงให้นางเป็นรางวัล
หลิวไท่ผิงดูแลเรือนของสกุลสวี เขาเป็นคนซื่อสัตย์ แต่เขาเป็นผู้ติดตามของสืออีเหนียง ไม่มีใครกล้าดูถูกเขา ไม่เพียงแค่นั้น เขายังเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าคนงาน มีลูกน้องใต้บังคับราวสิบกว่าคน ภรรยาของเขา คือหลานสาวของป้าหลีผู้ดูแลโรงครัวลานใน เคยทำงานในโรงครัวเล็กลานในของฮูหยินสองสกุลสวี ไม่เพียงแต่เป็นคนฉลาด ซ้ำยังทำอาหารอร่อย พอได้รับเงินรางวัลนางก็รีบนำกล่องขนมให้ป้ารับใช้ของหลานถิง “ข้าทำเอง ท่านลองทานดูเจ้าค่ะ”
ป้ารับใช้คนนั้นยิ้มแล้วรับมา นำกลับไปให้คนอื่นลองทาน ทุกคนล้วนแต่เอ่ยปากชมว่าอร่อย ทานไปชิ้นหนึ่งก็จะหยิบอีกชิ้นหนึ่ง ป้ารับใช้คนนั้นตกใจ รีบเก็บขนมที่เหลืออยู่สองสามชิ้นไปให้หลานถิง “ท่านลองชิมดูสิเจ้าคะ”
หลานถิงยังไม่ได้ทานอาหารเย็น นางจึงลองชิมดูชิ้นหนึ่ง “ไม่เลวเลยทีเดียว หวานหอม มีรสชาติของเม็ดบัวและถั่วเขียว แต่ไม่รู้ว่าไส้อะไร” นางทานเพิ่มอีกสองสามชิ้น
“สะใภ้หลิวไท่ผิงที่ตรอกซื่อเอ๋อร์เป็นคนทำเจ้าค่ะ”
หลานถิงพยักหน้าเบาๆ พูดว่า “ข้ารู้แล้ว” จากนั้นก็เก็บขนมเอาไว้
หลังจากวันที่ห้าเดือนหนึ่ง นางให้ผู้ดูแลหญิงนำเทียบไปให้สกุลสวี บอกว่าจะเข้าไปคารวะไท่ฮูหยินวันที่หกเดือนหนึ่ง
สวีลิ่งอี๋ไม่อยู่ที่เรือน บูชาบรรพบุรุษ ฉลองปีใหม่ สวีซื่อจุนเป็นคนจัดการทั้งหมด บรรดาเด็กๆ ไปอยู่ที่เรือนของเจียงซื่อ สืออีเหนียงเป็นคนออกมาต้อนรับโจวฮูหยิน นายหญิงสี่สกุลถัง ญาติผู้ใหญ่อย่างหวงฮูหยินและเจิ้งไท่จวินไปนั่งที่เรือนของไท่ฮูหยิน แต่ว่าโจวฮูหยินเป็นฮูหยินสกุลใหญ่สกุลโต แขกที่จวนของตัวเองก็วุ่นวาย ยังจะมาสนุกที่จวนสกุลสวีได้เช่นไร พวกนางแค่ส่งผู้ดูแลหญิงนำป้ายชื่อมาอวยพรปีใหม่ หวงฮูหยินและเจิ้งไท่จวินอายุมากแล้ว ไม่ชอบความวุ่นวาย ปกติยังไปมาหาสู่กัน ยิ่งเป็นเทศกาลเช่นนี้ พวกนางยิ่งไม่ยอมออกไปไหน แม้แต่สกุลญาติมาคารวะยังต้องขึ้นอยู่กับอารมณ์ เรือนไท่ฮูหยินไม่มีแขกอยู่แล้ว สืออีเหนียงก็มีเวลาว่าง แต่เรือนของเจียงซื่อกลับวุ่นวาย ไท่ฮูหยินเชิญอาจารย์เล่าหนังสือผู้หญิงสองคนมาเล่าหนังสือ สวีซื่อเจี้ยกลัวมารดาจะเหงา เลยมาพูดคุยกับสืออีเหนียงตั้งแต่เช้าทุกวัน วันไหนอากาศดีก็นั่งเป่าขลุ่ยบนตั่งนั่งเหม่ยเหรินใต้ชายคา ทำเอาสาวใช้และป้ารับใช้ที่เดินผ่านมาต้องหันมามองเขา
สืออีเหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบา
ถือว่าบุตรชายของนางโตแล้วใช่หรือไม่!
แต่สวีซื่อเจี้ยกลับไม่ได้รับรู้อะไร เขาพาสืออีเหนียงไปยืนบนบันไดทางเดิน
“ท่านแม่ขอรับ ท่านคิดว่าเราปลูกดอกพุทธรักษาที่มุมกำแพงสักสองสามต้นดีหรือไม่” เขาชี้ไปตรงหินไท่หูที่อยู่ตรงมุมกำแพงทิศตะวันออก “ราวกับโผล่ออกมาจากก้อนหิน ไม่ว่าฤดูไหนก็น่าสนใจ”
“ได้สิ!” สืออีเหนียงคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดี “รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิ เจ้าบอกให้คนนำมาปลูกสักสองสามต้นเถิด!”
สวีซื่อเจี้ยยิ้มแล้วขานรับ “ขอรับ” มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยินเจ้าคะ คุณนายน้อยสี่พาฮูหยินบัณฑิตเจียงของสำนักศึกษาฮั่นหลินมาแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นก็ไปต้อนรับเจียงฮูหยินที่ประตูลาน
หลังจากอวยพรปีใหม่กันและกันเรียบร้อยแล้ว เจียงฮูหยินและสืออีเหนียงก็เดินไปเรือนหลักด้วยกัน
“น่าจะมาหาเจ้าตั้งแต่สองปีก่อน” เจียงฮูหยินพูด “แต่บังเอิญมีเรื่องที่จวน กว่าจะจัดการเสร็จก็วันตรุษจีนเล็กแล้ว ข้าจึงมาหาเจ้าวันที่สี่”
“ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว” สืออีเหนียงเชิญเจียงฮูหยินไปนั่งบนเตียงเตาข้างหน้าต่าง “ข้าตางหากที่ควรไปคารวะท่าน แต่ว่าท่านโหวไม่อยู่ที่จวน ข้าเลยไม่ค่อยสะดวก ปีใหม่ปีนี้ไม่ได้ออกไปไหนเลย โปรดท่านอย่าได้ถือสา!”
พวกนางสองคนพูดคุยกันอยู่นาน เจียงฮูหยินลุกขึ้นขอตัวลา “ขึ้นปีใหม่กำลังวุ่นวาย ข้าค่อยมาหาเจ้าวันอื่นดีกว่า เราจะได้พูดคุยกัน” นางยิ้มแล้วพูดว่า “ได้ยินมาตั้งนานแล้วว่าเรือนหน่วนฝังของจวนหย่งผิงโหวมีดอกไม้บานตลอดทั้งปี ถึงตอนนั้นคงต้องวานให้ฮูหยินพาข้าไปดูที่เรือนหน่วนฝัง”
“เกรงว่าข้าจะเชิญท่านมาไม่ได้มากกว่ากระมัง!” สืออีเหนียงรั้งนางไว้ “ทานอาหารก่อนแล้วค่อยกลับไปเถิดเจ้าค่ะ ไม่เช่นนั้นคุณนายน้อยสี่ของเราจะคิดอย่างไร!”
“เจ้ามีแขกเยอะ ข้าค่อยมารบกวนเจ้าวันอื่นดีกว่า” เจียงซื่อยืนกรานที่จะไป
เจียงซื่อจับแขนเจียงฮูหยิน “ท่านป้าสะใภ้ อยู่ทานอาหารเย็นก่อนแล้วค่อยกลับเถิดเจ้าค่ะ!” นางพูดด้วยท่าทีจริงใจ
เจียงฮูหยินลังเล
หวังซู่รีบเดินเข้ามา
“ฮูหยิน เจียงฮูหยิน คุณนายน้อยสี่ขอรับ!” เขาโค้งคำนับ “คุณชายน้อยสี่มีเรื่องจะถามคุณนายน้อยสี่ขอรับ!”
เจียงซื่อเดินออกมาข้างหน้า “เรื่องอันใดหรือ”
หวังซู่เหลือบมองสืออีเหนียงและเจียงฮูหยิน เขาพูดเบาๆ “คุณชายน้อยสี่ถามว่า ท่านนำน้ำเต้าเลี้ยงตั๊กแตนที่ซื้อมาเมื่อฤดูร้อนปีก่อนไปไว้ที่ไหนขอรับ หวังอวิ่น คุณชายหวังมาหาคุณชายน้อยสี่ คุณชายน้อยสี่บอกให้นำน้ำเต้าเลี้ยงตั๊กแตนออกมามอบให้คุณชายหวัง”
“น้ำเต้าเลี้ยงตั๊กแตน ข้าให้เป่าจูเก็บไว้แล้ว วางอยู่บนชั้นตัวเป่าเก๋อในห้องหนังสือ ไม่ได้หายาก” เจียงซื่อพูดเบาๆ “คุณชายหวังเป็นคนขอน้ำเต้าเลี้ยงตั๊กแตนจากคุณชายน้อยสี่เอง หรือว่าคุณชายน้อยสี่อยากจะมอบน้ำเต้าเลี้ยงตั๊กแตนให้คุณชายหวัง?”
“คุณชายหวังบอกว่า สองวันก่อนแข่งตั๊กแตนกับคุณชายหลี่ สุดท้ายแพ้เรื่องอุปกรณ์ คุณชายน้อยสี่จึงบอกว่า ฤดูร้อนปีก่อน เขาได้น้ำเต้าเลี้ยงตั๊กแตนมาคู่หนึ่ง ไม่เลวเลยทีเดียว บอกให้นำออกมาให้คุณชายหวังดู หากคุณชายหวังชอบ ก็จะมอบให้คุณชายหวังขอรับ”
เจียงซื่อไม่ได้ถามอะไรอีก นางบอกให้เป่าจูไปหาน้ำเต้าเลี้ยงตั๊กแตนให้สวีซื่อจุน
เจียงฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “รบกวนเจ้าแล้ว” จากนั้นก็อยู่ทานอาหารเย็นที่เรือนของสืออีเหนียง
เจียงซื่อออกไปส่งเจียงฮูหยินที่ประตูฉุยฮวา พูดคุยกันด้วยความอาลัยอาวรณ์อยู่นาน จนกระทั่งรถม้าของเจียงฮูหยินหายลับไปจากสายตาของเจียงซื่อ เจียงซื่อยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินกลับเข้ามาลานใน
ชิวอวี่ยิ้มแล้วเดินเข้ามา “คุณนายน้อยสี่ ฮูหยินเชิญท่านไปนั่งที่เรือนเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อฉงนใจ
ตอนนี้? ไม่รู้ว่าแม่สามีมีเรื่องอันใดจะคุยกับตน
นางจัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เป็นระเบียบ จากนั้นก็เดินตามชิวอวี่ไปที่เรือนหลัก
สาวใช้ที่มักจะยืนอยู่ใต้ชายคาหายไปหมด โคมไฟสีแดงแขวนอยู่ใต้ชายคา บรรยากาศในลานเงียบสงัดจนได้ยินเสียงเข็มตก
นางหัวใจพลันเต้นแรง ยิ่งทำอะไรระมัดระวังมากขึ้น
“มาสิ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วชี้ไปที่เก้าอี้ไท่ซือหน้าเตียงเตา “นั่งลงคุยกันเถิด!”
เจียงซื่อขานรับ “เจ้าค่ะ” นั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือ นางเหลือบมองดูรอบๆ
ในห้องมีแค่หู่พั่วคอยรับใช้ แต่หู่พั่วยกถ้วยชามาให้นางแล้วก็เดินออกไปเงียบๆ เหลือแค่นางกับสืออีเหนียงอยู่ในห้อง
เจียงซื่อหายใจเข้าลึกๆ พยายามสงบสติอารมณ์ลง
“ท่านแม่ ท่านเรียกข้ามามีเรื่องอันใดหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่มีเรื่องสำคัญอะไร” สืออีเหนียงยิ้มแล้วหยิบส้มในชามผลไม้บนโต๊ะเตียงเตาออกมาปอก “แค่มีเรื่องอยากจะถามเจ้า!”
เจียงซื่อรีบพูด “ท่านแม่มีเรื่องอันใดอยากถามข้าเจ้าคะ”
สืออีเหนียงไม่พูดไม่จา นางก้มหน้าลงตั้งใจปอกเปลือกส้ม
บรรยากาศในห้องนั้นเงียบสงัด
เจียงซื่อได้ยินเสียงลมหายใจที่ตื่นตระหนกของตัวเอง
นางรีบกลั้นหายใจ
จากนั้นไม่นาน สืออีเหนียงก็ปอกเปลือกส้มเสร็จ
นางค่อยๆ แกะเส้นใยสีขาวบนผิวส้มออก จากนั้นก็ยิ้มแล้วเงยหน้าขึ้น ยื่นส้มให้เจียงซื่อ “ลองชิมดูสิ ของบรรณาการจากฝูเจี้ยน”
เจียงซื่อโน้มตัวคำนับ รับส้มมาด้วยความลำบากใจ หากจะทาน แต่แม่สามีมีท่าทีเช่นนี้ นางต้องมีเรื่องสำคัญจะพูดกับตัวเองแน่นอน หากนางทานส้ม ดูเหมือนไม่ค่อยเคารพแม่สามี หากไม่ทาน แม่สามีเป็นคนปอกเองกับมือ แม่สามีอาจเข้าใจผิดคิดว่านางรังเกียจได้
นางมีท่าทีลังเล
สืออีเหนียงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือ เห็นได้ชัดว่านางจะไม่ปอกเปลือกส้มอีกแล้ว
ควรแบ่งให้แม่สามีหรือไม่
เจียงซื่อครุ่นคิด ก็เห็นสืออีเหนียงหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ ยิ้มแล้วพูดว่า “ครั้งก่อนข้าได้ยินจุนเกอบอกว่า เจ้าให้ข้าเล่าเรื่องเงินสองพันตำลึงที่นำไปให้ยงอ๋องเฟยให้ไท่จื่อเฟยฟัง…”
นางจะสั่งสอนแม่สามีได้อย่างไร!
ได้ยินดังนั้น เจียงซื่อก็หัวใจเต้นแรง รีบพูดขึ้นว่า “ท่านแม่เจ้าคะ ข้าคิดเพียงว่าทุกคนล้วนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ยงอ๋องสร้างเรือนแต่กลับมีเงินในมือไม่พอ ถึงแม้เราจะไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ในเมื่อรู้แล้วก็ควรจะมีน้ำใจ ก็เหมือนกับที่เมื่อสองวันก่อนจวิ้นจู่องค์โตบูชากราบไหว้เทพเจ้า อีกทั้งท่านแม่และโจวฮูหยินยังตั้งใจไปขอพรเช่นเดียวกับจวิ้นจู่ที่วัดฉือหยวน หวังว่าไท่จื่อเฟยกับยงอ๋องเฟยจะไม่เข้าใจผิดกัน”
“เจ้าไม่ต้องกังวล” สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าแค่ฟังจากน้ำเสียงของเจ้า ราวกับเคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์มาไม่น้อยจึงถามเจ้า!”
“เพราะครอบครัวเปิดสำนักศึกษา” เจียงซื่อพูดต่อไปว่า “เลยได้ยินมาเยอะจึงพอจำได้บ้าง แต่ไม่เคยอ่านเจ้าค่ะ”
“ข้าก็แค่พูดตามความรู้สึก” สืออีเหนียงพูดต่ออีกว่า “เมื่อวานกลับไปที่ตรอกกงเสียน ได้ยินท่านน้าหญิงสิบสองของเจ้าบอกว่า บุตรสาวคนที่สองของท่านลุงสกุลสามีคนที่เคยรับตำแหน่งฝ่ายปกครองมณฑลที่ฝูเจี้ยน ตอนนี้รับตำแหน่งอยู่ที่ศาลต้าหลี่ แต่งงานกับบุตรชายคนโตของขุนนางข้าหลวงเจี้ยนหนิง ครั้งนี้ฝูเจี้ยนเกิดความวุ่นวาย ขุนนางข้าหลวงเจี้ยนหนิงก็เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ทุกคนในตระกูลถูกเนรเทศไปหย่งชัง ถึงแม้ใต้เท้าหวังจะรับตำแหน่งอยู่ที่ศาลต้าหลี่ แต่ก็ช่วยบุตรสาวตัวเองไม่ได้” พูดจบ รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็หายไป “ช่วงเทศกาลมักจะนึกถึงญาติที่อยู่ห่างไกล พี่สะใภ้ของท่านน้าหญิงสิบสองของเจ้านึกถึงบุตรสาวที่อยู่อวิ๋นหนานอันห่างไกล หัวใจของนางราวกับถูกมีดกรีดแทง ร้องไห้ไม่ยอมหยุด ใครปลอบใจก็ไม่ยอมฟัง คนที่เห็นพลอยร้องไห้ตามไปด้วย ทำเอาครอบครัววุ่นวาย แม้แต่ฉลองปีใหม่ก็ยังไม่มีความสุข” นางถอนหายใจเบาๆ “นึกถึงตอนนั้น ตอนที่ข้าไปเยี่ยมแม่สามีของท่านน้าหญิงสิบสองของเจ้าที่กำลังป่วยหนัก คุณหนูคนนั้นของพวกนางยังเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง นางเองก็ไปเยี่ยมแม่สามีของท่านน้าหญิงสิบสองของเจ้ากับมารดาของตัวเองเช่นกัน ข้าได้ยินนางพูดจา ไม่เพียงแต่เป็นเด็กฉลาด อีกทั้งยังชอบอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ ใจกว้าง มีมารยาท เป็นแม่นางที่เพียบพร้อม คิดไม่ถึงว่านางจะมีจุดจบเช่นนี้ ตอนที่ข้าได้ยินก็ยังเสียใจอยู่ตั้งนาน…”
สืออีเหนียงพูดซับซ้อน แต่เจียงซื่อที่ฉลาดหลักแหลมกลับฟังออกอย่างชัดเจนและเข้าใจ