คู่รักคู่แค้นที่คนบนโลกกล่าวถึงกัน ก็คงมีสภาพประมาณพวกเขาสินะ?
“กูเสี่ยวซู ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าทำได้ เช่นนั้นก็ดี! เจ้ามาทำ!”
ซูชีถูกทำให้โมโหจนมีสีหน้าทะมึน! ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า สตรีนางหนึ่งจะพูดมากจนถึงขั้นนี้! ถึงขั้นที่ทำให้เขาเหลืออดเหลือทน!
ท่านหญิงซูซูเบ้ปากเหยียดหยาม ไม่เห็นด้วยกับวาจาของซูชีเลยแม้แต่น้อย
“ใครใช้ให้เจ้าทำได้ไม่ดีเล่า แล้วยังไม่อนุญาตให้ผู้อื่นบ่นด้วย?”
สีหน้าซูชีดำทะมึนยิ่งกว่าเดิม!
“ข้าทำได้ไม่ดี? เช่นนั้นเจ้าก็ทำให้ข้าสิ! แต่จะว่าไป เจ้ารู้ไหมว่าตอนที่เคี่ยวโจ๊กต้องใส่ข้าวสารก่อนหรือใส่น้ำก่อน? พวกนี้เจ้าก็ไม่รู้ เจ้ายังมีคุณสมบัติอะไรมาโวยวายไร้สาระตรงนี้? ออกไป!”
ซูชีชี้ไปที่ประตูห้องครัว พลางเอ่ยวาจาขับไล่ท่านหญิงซูซูด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง!
“รีบออกไปเสีย อย่าให้ข้าต้องเอ่ยเป็นครั้งที่สอง!”
โอ้โฮ!
คนที่ทำเรื่องราวผิดพลาด แล้วไม่อนุญาตให้คนตำหนิเช่นนี้ นับว่าเป็นบุรุษประเภทไหนกัน?
ท่านหญิงซูซูเป็นสตรีที่ไม่กลัวคนชั่วคนหนึ่ง!
“ข้าไม่ออกไปแล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้? ข้ายังต้องจุดไฟนะ! อย่าบอกข้าล่ะว่าเจ้าจุดไฟเป็น?”
ซูชีทำอาหาร ซูซูจุดไฟ เดิมพวกเขาก็แบ่งงานกันชัดเจน ภาพเหตุการณ์ชายไถหญิงทอ[1]นั้นงดงามมากเพียงใด ตอนนี้ซูชีกลับจะไล่นางไป นางไม่มีทางไปหรอก
ก็ได้ ดูใบหน้าที่ดำทะมึนจนเหมือนถ่านนั่นแล้ว ซูซูพลันก้าวถอยหลัง ทว่าไม่ได้จากไป แต่ยืนมองอยู่นอกประตูแทน
นางอยากจะเห็นว่า ไม่มีตนเอง เขา ซูชีจะจุดไฟให้โชติช่วงเหมือนที่นางทำได้อย่างไร!
ซูชีก้มหน้ามองไฟในเตาทำอาหารแวบหนึ่ง ในใจก็ไตร่ตรองว่าหลังจากตนเองรับช่วงต่อแล้ว จะจุดไฟแรงเกินไปแบบนั้นด้วยหรือไม่
สุดท้าย เขาก็ถูกซูซูที่จ้องมองเขาอยู่นอกประตู เตรียมจะหัวเราะเยาะเขาตลอดทำให้พ่ายแพ้อย่างเลี่ยงมิได้ ซูซูเห็นเขาแค่นเสียงเย็น แล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องครัวด้วยท่าทางหยิ่งผยอง!
ซูซูทำหน้าทะเล้นใส่แผ่นหลังซูชีที่จากไป แล้วไปนั่งบนม้านั่งไม้ตัวเล็ก พลางจุดไฟด้วยความสุขุมรอบคอบและระมัดระวังต่อไป
หนึ่งชั่วยาม[2] หลังจากนั้น…
“กูเสี่ยวซู! สมองเจ้าถูกลาเตะ[3] มาใช่หรือไม่ ถึงได้โง่แบบนี้? เจ้าไม่รู้หรือว่าตอนทำอาหาร ไม่ต้องใช้ไฟแรงขนาดนี้? เจ้าดูเรื่องงามหน้าที่เจ้าทำเอาไว้สิ! ข้าวของพวกเราล่ะ!”
ซูชีที่ในมือถือฝาหม้อ มีสีหน้าทะมึน ขณะตะคอกใส่ซูซูที่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กด้วยท่าทางน่าสงสาร!
ต้องรู้ว่า นี่เป็นข้าวเย็นวันนี้ของพวกเขา! ไม่ว่าจะมีสภาพเช่นไร ท้ายที่สุดก็ต้องกินเข้าไปอยู่ดี ทว่าตอนนี้ล่ะ?
สีดำเมี่ยมในหม้อนั่นมันคืออะไรกันแน่?
นี่เป็นข้าวมื้อแรกในชีวิตเขาเลยนะ! ถูกทำให้เละเทะจนไร้ความหมายไปเสียแล้ว ซูชีรู้สึกว่าตนเองปวดใจมาก!
ซูซูก้มหน้า จ้องมองไฟในเตาทำอาหาร และเบ้ปากอย่างรู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรม
“ข้าไม่รู้สักหน่อยว่าใช้ไฟอุ่นเล็กน้อยก็ได้แล้ว…พวกเจ้าก็ไม่ได้บอกข้าด้วย”
ซูชีได้ยินวาจานี้แล้ว ก็เพิ่มแรงบีบฝาหม้อที่อยู่ในมือทันที! ฝาหม้อที่ทำจากไม้ก็มีแนวโน้มของรอยแตกรางๆ!
ไม่ใช่ว่าเขาลืมบอกซูซู ความจริง…ความจริงเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
ปัง!
“เอาเถอะ! คืนนี้พวกเรา ใครก็อย่าได้คิดจะกินข้าว! หิ้วท้องหิวไปเถอะ!” หลังเอ่ยจบ ซูชีก็หมุนตัวเดินออกจากห้องครัวไป
หลังจากซูชีจากไปแล้ว ซูซูถึงได้ค่อยๆ ลุกขึ้นจากม้านั่ง ยื่นหน้าเข้าไปมองด้านในหม้อแวบหนึ่ง และถูกสภาพอาหารภายในหม้อทำลายล้างสายตาจนต้องหลับตาทันที!
ก่อนหน้านี้นางก็รู้สึกว่ามีกลิ่นไหม้ๆ ลอยออกมา แต่นางไม่รู้ว่ากลิ่นนั้นหมายความว่าเช่นไร และนึกว่าการทำอาหารก็คงจะเป็นเช่นนี้
ไหนเลยจะรู้ว่า…นั่นเป็นสัญญาณเตือนภัยของอาหารที่ถูกทำเสีย
หลังจากซูชีออกไปแล้ว จ้าวเฟยลู่ถึงได้เดินเข้ามา และยื่นหน้าเข้าไปมองในหม้อแวบหนึ่งก่อนเหมือนกัน จากนั้นก็เบนสายตาไปยังร่างของซูซูเงียบๆ
“มีกลิ่นลอยมาแล้ว ท่านไม่รู้หรือว่าต้องหยุดมือ” นี่มันคือสิ่งใด? อาหารหน้าตาประหลาดสูตรผสมมั่วระดับสิบดาวหรือ?
เขาก็งงเหมือนกันรู้ไหม
ซูซูถูกจ้าวเฟยลู่ตำหนิเช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี!
เมื่อครู่ถูกซูชีตำหนิใส่เป็นชุดจนเกือบจะหารูแล้วมุดเข้าไปในนั้น ตอนนี้ถูกจ้าวเฟยลู่กล่าววาจาแบบนี้ใส่อีก ซูซูจึงโมโหทันที!
“ข้าจะไปรู้ได้เช่นไรว่า การทำอาหารนั้นมากเรื่องเช่นนี้! เจ้ายังจะมาบ่นข้าอีก!” ฟืนในมือที่ติดไฟอยู่ท่อนหนึ่งลอยออกไปทันที!
“เฮ้!” จ้าวเฟยลู่รีบหลบวูบ ถึงได้หลีกเลี่ยงจุดจบจากการถูกไฟเผาร่างตัวเองไปได้ คราวนี้ เขาไม่กล้าพูดอะไรมากอีกแล้ว!
นิสัยของท่านหญิงซูซูท่านนี้ไม่ค่อยดีจริงๆ! เขาหลบไปก่อนดีกว่า
จ้าวเฟยลู่เห็นท่าไม่ดี ก็รีบหมุนตัวเดินออกไปทันที!
โดยทิ้งซูซูเอาไว้หน้าเตาทำอาหารคนเดียว ยิ่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ในใจก็ยิ่งรู้สึกน้อยใจ สุดท้ายก็ถึงกับร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา!
ในที่นี้ ซูชีกับจ้าวเฟยลู่ล้วนเป็นยอดฝีมือทางการต่อสู้ แม้ว่าซูซูจะกลั้นเสียงร้องไห้ แต่จะหนีรอดจากหูของพวกเขาได้เช่นไรกัน?
ซูชียืนเหม่อมองหิมะขาวโพลนข้างนอกอยู่หน้าบานหน้าต่างในห้องนอนคนเดียว
ส่วนจ้าวเฟยลู่ก็เงี่ยหูฟังเงียบๆ ครู่หนึ่ง หลังจากเห็นว่าซูชีไม่ได้มีความเคลื่อนไหวใดๆ ก็ทำได้แค่ถอนหายใจ แล้วเอนตัวลงนอนบนเตียงใหม่อีกครั้ง
ผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงยังไม่ปรากฏ เขาที่เป็นคนนอกย่อมไม่สะดวกจะเข้าไปยุ่มย่ามอีก
ซูชีได้ยินเสียงร้องไห้ที่ถูกกลั้นเอาไว้ในห้องครัว ก็ขยับเท้าเคลื่อนไหวเล็กน้อยอย่างคิดจะไปปลอบใจนาง แต่สติสัมปชัญญะกลับทำให้เขาแข็งใจแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน!
ซูชีรู้สึกว่าแบบนี้ก็ดีมากแล้ว!
อย่างน้อยเรื่องนี้ก็ทำให้ซูซูรู้ว่า เขาไม่ใช่สามีที่ดีสำหรับนาง และให้ซูซูได้ยอมแพ้กับความรักในครั้งนี้เร็วหน่อยเช่นกัน
เพราะว่าเขา ซูชีรับความรู้สึกรักลึกซึ้งเช่นนี้ของซูซูเอาไว้ไม่ไหว
อีกอย่างซูชีก็ตัดสินใจแล้วว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาจะไม่สงสารซูซูอีก ถึงอย่างไรตนเองก็ไม่สามารถให้ความหวังและอนาคตกับนางได้ เช่นนั้นก็อย่าสร้างจินตนาการที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงให้กับนาง
“กูเสี่ยวซู…ยอมแพ้เสียเถอะ”
ตอนที่ฟ้ามืดลงเล็กน้อย อาจ้าวก็กลับมา
ความจริงแล้ว เขาไม่ได้หลบหนีการถูกลงโทษอย่างที่จ้าวเฟยลู่พูด!
แต่ตอนที่รู้ตัวว่าในบ้านไม่มีคนทำอาหารเป็น ก็รีบใช้วิชาตัวเบาห้อตะบึงไปที่เมือง!
จะให้คุณชายเหม่อมองข้าวสารกองโตพวกนั้นไม่ได้หรอกใช่ไหม และก็ไม่อาจให้คุณชายกับท่านหญิงของพวกเขาหิ้วท้องหิวหรอกใช่ไหม?
แต่เมื่ออาจ้าวหิ้วกล่องอาหารกลับมา ก็รู้สึกถึงบรรยากาศแปลกประหลาดได้อย่างรวดเร็ว
มีอะไรกัน? เกิดเรื่องอะไรที่เขาไม่รู้เช่นนั้นหรือ?
เขาก้าวเข้าไปในห้องด้วยความระมัดระวัง และโล่งใจในตอนที่เห็นจ้าวเฟยลู่นั่งอยู่ในห้องโถง
เขาเร่งฝีเท้าเข้าไป และวางกล่องอาหารลงบนโต๊ะ พลางถามจ้าวเฟยลู่ด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง “เป็นอะไรหรือ เกิดเรื่องอะไรขึ้น?
[1] ชายไถหญิงทอ เป็นสำนวนจีน ความหมายในปัจจุบันก็คือ ผู้ชายทำงานนอกบ้าน ผู้หญิงก็อยู่เหย้าเฝ้าเรือน
[2] หนึ่งชั่วยาม เท่ากับสองชั่วโมง
[3] สมองถูกลาเตะ หมายถึง สมองมีปัญหา หรือโง่