เจียงซื่อดูสมุดบัญชีทั้งคืน
สวีซื่อจุนตื่นขึ้นมากลางดึก เห็นว่านางดูสมุดบัญชีใต้แสงไฟ เขาจึงเกลี้ยกล่อมนาง “รีบพักผ่อนเถิด ยังเหลืออีกตั้งครึ่งเดือนกว่าจะถึงเทศกาลซานเย่ว์ซาน ยังพอมีเวลา” พูดจบก็หยิบเสื้อคลุมที่อยู่ข้างๆ มาคลุมให้นาง “ใจร้อนไม่ได้ เรื่องบางเรื่อง ต้องค่อยเป็นค่อยไป”
เจียงซื่อยิ้มให้เขาด้วยสีหน้าที่ซาบซึ้ง จัดเสื้อผ้าแล้วพูดว่า “ท่านพี่ไม่ต้องสนใจข้าหรอก ท่านนอนก่อนเถิด ข้าอ่านตรงนี้เสร็จแล้วจะไปนอนเจ้าค่ะ!” นางไม่คิดที่จะนอนเลยแม้แต่น้อย
สวีซื่อจุนปิดสมุดบัญชีของนาง “ไปนอนด้วยกันเถิด!”
เจียงซื่อรีบคว้าสมุดบัญชีเอาไว้ “ท่านพี่ไม่ต้องสนใจข้าหรอกเจ้าค่ะ!” นางพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
สวีซื่อจุนตกใจ
เจียงซื่อเองก็ตกใจที่ตัวเองพูดจาแข็งกระด้างจนเกินไป นางรีบยิ้มแล้วอธิบาย “ในเมื่อท่านแม่ให้ข้าเป็นคนจัดการเรื่องนี้ ข้าก็ต้องจัดการเรื่องนี้ให้ดีที่สุดเ ถึงแม้ยังเหลืออีกครึ่งเดือนกว่าจะถึงเทศกาลซานเย่ว์ซาน แต่การตรวจสอบรายจ่ายเทศกาลซานเย่ว์ซานของปีก่อนๆ ตรวจสอบบัญชีงานเลี้ยง เชิญใครมาบ้าง จัดงานเลี้ยงเช่นไร…แต่ละอย่างล้วนแต่ต้องใช้เวลา” นางยิ้มอย่างขมขื่น “ท่านพี่คิดว่ายังมีเวลา แต่ข้าคิดว่ามันไม่พอเจ้าค่ะ!”
ตอนที่สวีซื่อจุนพึ่งจะรับหน้าที่ดูแลเรื่องในจวน เขาเองก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน
เขาเข้าใจในทันที
“หรือว่า เรียกป้าซ่งมาถาม?”
ตอนนั้น เขาก็เรียกพ่อบ้านไป๋มาถาม
“ป้าซ่งเป็นคนของท่านแม่ เราจะเรียกนางมาถามตามอำเภอใจได้ที่ไหนกัน” เจียงซื่อส่ายหน้าปฏิเสธ “ท่านพี่ไม่ต้องห่วง ตอนข้าอยู่ที่เรือนก็เคยเรียนรู้การจัดการบัญชีกับท่านแม่มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น ท่านแม่นำสมุดบัญชีของปีก่อนๆ มาให้ข้าแล้ว ข้ายังมีสะใภ้หยวนเป่าจู้คอยช่วยเหลือ…แต่แค่พึ่งจะเริ่มเรียนรู้ ยังไม่ค่อยคุ้นเคย ถ้าคุ้นเคยอีกสักหน่อยประเดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง”
สวีซื่อจุนรู้ว่าภรรยาของตัวเองเป็นคนฉลาด ในเมื่อนางพูดเช่นนี้ นางย่อมต้องมีความมั่นใจแน่นอน ก่อนจะตระหนักขึ้นมาได้ว่าพรุ่งนี้เช้าต้องไปเจอหลูหย่งกุ้ยแต่เช้า เขาอ้าปากหาวแล้วนอนหลับไปก่อน
เจียงซื่อคิดเรื่องงานเลี้ยงของจวน จากนั้นก็เรียกเป่าจูมาฝนหมึกให้ตัวเอง เขียนแบบแผนของเทศกาลซานเย่ว์ซาน เมื่อวางพู่กันลง ฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว
นางลูบคอของตัวเอง อ่านแบบแผนที่ตัวเองเขียนอีกรอบหนึ่ง คิดว่าไม่มีปัญหาอะไร จึงเรียกสะใภ้หยวนเป่าจู้เข้ามา “ช่วยข้าดูหน่อยเถิด หากไม่มีปัญหาอะไร ข้าจะนำไปให้ท่านแม่”
ร่างรายชื่อตามงานเลี้ยงปีก่อนๆ ค่าใช้จ่ายของแต่ละโต๊ะ อาหารในงานเลี้ยง จำนวนบ่าวรับใช้…แม้แต่เงินรางวัลของนักแสดงงิ้วล้วนถูกเขียนเอาไว้หมดแล้ว นางตั้งใจมากกว่าตอนที่เรียนรู้การดูแลเรื่องในจวนกับนายหญิงเจียงตั้งหลายเท่า
“คุณนายน้อยสี่ของบ่าวโตแล้วเจ้าค่ะ!” สะใภ้หยวนเป่าจู้พูด “บ่าวหาข้อผิดพลาดไม่เจอเลย!” นางชี้ไปที่ประโยคที่ว่า ‘เรือสิบสองลำ’ แล้วยิ้มกว้าง “คุณนายน้อยสี่อยากย้ายสถานที่ฟังงิ้วและจัดงานเลี้ยงไปที่ทะเลสาบปี้อีใช่หรือไม่เจ้าคะ แต่ว่าไท่ฮูหยินและหวงฮูหยินอายุมากแล้ว พวกนางคงจะเดินไปลำบาก ท่านคิดว่า ควรเปลี่ยนสถานที่หรือไม่เจ้าคะ”
เจียงซื่อมีความคิดแบบนี้จริงๆ
ตอนเด็กๆ นางเคยไปเจียงหนานกับบิดา นั่งตกปลาบนเรือ ลูกเรือนำปลาที่ตกได้มาทำอาหาร ดื่มสุราไปสองจอกเล็กๆ ดูทิวทัศน์บนทะเลสาบ บรรยากาศราวกับเมืองของเทพเซียน นางประทับใจเป็นอย่างมาก
“หรือว่า นำเรือจอดไว้ที่ใดที่หนึ่ง” เจียงซื่อพลันนึกถึงโจวอวี๋ตอนเผาทัพโจโฉในพงศาวดารสามก๊กขึ้นมา “แบบนี้ก็จะสามารถจัดงานเลี้ยงที่ทะเลสาบ แล้วยังไม่ต้องกลัวว่าเรือจะสั่นคลอน!”
“ที่แท้คุณนายน้อยสี่มีวิธีรับมืออยู่แล้วนี่เอง” สะใภ้หยวนเป่าจู้ชื่นชมเจียงซื่อ “บ่าวคิดมากไปเองเจ้าค่ะ”
“ข้าเองก็พึ่งคิดได้!” เจียงซื่อพูดคุยกับนางเรื่องงานเลี้ยงสองสามประโยค เรียกสาวใช้น้อยเข้ามารับใช้ตัวเองล้างหน้าล้างตาแล้วเตรียมตัวไปที่เรือนของสืออีเหนียง
สะใภ้หยวนเป่าจู้ห้ามนางไว้ “คุณนายน้อยสี่พักผ่อนบ้างเถิด อดหลับอดนอนแบบนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ!”
“ข้าไปประเดี๋ยวก็กลับมา” เจียงซื่อแอบกังวล “หากท่านแม่คิดว่าไม่ดี เกรงว่าคงต้องจัดการใหม่…” พูดถึงตรงนี้ นางก็ยิ้มอย่างขมขื่น “ยังต้องยุ่งอีกเยอะ”
ตอนนี้นางถึงได้เข้าใจความแตกต่างระหว่างแม่สามีและลูกสะใภ้
หากเจ้าอยากดูแลเรื่องในจวน ก็ต้องดูว่าแม่สามีให้เจ้าดูแลเรื่องในจวนหรือไม่ เจ้าไม่อยากดูแลเรื่องในจวน ก็ต้องดูว่าแม่สามีเห็นด้วยหรือไม่
เมื่อความคิดนี้แล่นผ่านเข้ามาในหัว เจียงซื่อก็ถอนหายใจ จากนั้นก็พาเป่าจูไปที่ลานหลัก
ห้องปีกทิศตะวันออกมีหีบเจ็ดแปดหีบวางอยู่ สืออีเหนียงและอิงเหนียงยืนข้างกัน กำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่ตรงนั้น มีชิวอวี่และฟังซีคอยรับใช้อยู่ข้างๆ
เห็นเจียงซื่อเดินเข้ามา สืออีเหนียงเรียกนางไปนั่งบนเตียงเตาข้างหน้าต่าง จากนั้นก็พูดกับอิงเหนียง “ข้าจำได้ว่ายังมีผ้าทอใยกล้วยสีขาวสองผืน เจ้าหาออกมาเถิด ถึงตอนนั้นเรานำมาทำเป็นเสื้อข้างในไว้สวมใส่”
เจียงซื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่กำลังเตรียมทำเสื้อผ้าฤดูร้อนหรือเจ้าค่ะ”
“ใช่แล้ว!” สืออีเหนียงรับถ้วยชามาจากสาวใช้ “ใกล้จะถึงฤดูร้อนแล้ว ข้าไม่มีอะไรทำ จึงจะทำเสื้อผ้าใหม่กับน้องหญิงใหญ่ของเจ้า” นางพูดต่ออีก “เสื้อผ้าฤดูร้อนของถิงเกอเล่า ข้ายังมีผ้าเก๋อปู้เนื้อละเอียดสองผืนที่ได้มาจากกว่างตง เจ้านำไปทำเสื้อผ้าให้ลูกเถิด!”
“ขอบพระคุณท่านแม่เจ้าค่ะ!” ผ้าเก๋อปู้เนื้อละเอียดของกว่างตงมีน้ำหนักเบาและระบายอากาศดี เหมาะสำหรับทำเสื้อผ้าฤดูร้อนที่สุด แต่เพราะว่ามันคือของบรรณาการ จึงไม่ค่อยเห็นตามท้องตลาด มีราคาแพง เจียงซื่อเอ่ยขอบพระคุณสืออีเหนียง อิงเหนียงยิ้มแล้วหยิบผ้าเก๋อปู้เนื้อละเอียดสีเหลืองสองผืนเดินเข้ามา
เจียงซื่อบอกให้เป่าจูรับเอาไว้ เห็นอิงเหนียงสวมเสื้อสีเขียว สวมกระโปรงผ้าไหมสีชมพูปักลายดอกเหมย สวมต่างหูไข่มุกเล็กๆ ดูแล้วน่ารักเป็นอย่างมาก นางก็ยิ้ม “น้องหญิงมาจากเจียงหนาน ปีนี้ซูโจวยังนิยมสวมกระโปรงผ้าไหมอยู่หรือ?”
อิงเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้ นี่คือหีบเสื้อผ้าของข้า ท่านอาหญิงเห็นข้าสวมกระโปรงผ้าทอสีขาว จึงให้ข้าหากระโปรงสีชมพูออกมา…” นางพูดพร้อมกับก้มหน้าลงมองกระโปรงตัวเอง “ข้าจึงหาตัวนี้ออกมาเจ้าค่ะ”
พวกนางสองคนพูดคุยกันสองสามประโยค เจียงซื่อนำแบบแผนที่เขียนทั้งคืนออกมา
สืออีเหนียงอ่านอยู่ครู่หนึ่ง นางยิ้ม “ไม่เลว ไปจัดงานเลี้ยงที่ทะเลสาบปี้อี เป็นความคิดที่ดี เจ้าคิดว่าต้องใช้โซ่เหล็กเชื่อมเรือเพื่อใช้สำหรับงานเลี้ยง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย” นางเก็บแบบแผนเอาไว้แล้วเรียกหู่พั่ว “เจ้าไปบอกบรรดาผู้ดูแลหญิงว่า พรุ่งนี้เช้าให้มาที่โถงบุปผา ข้ามีเรื่องพูดกับพวกนาง”
หู่พั่วขานรับแล้วเดินออกไป
เจียงซื่อหน้าแดง แต่สายตาของนางนั้นมีร่องรอยของความตื่นเต้น
สืออีเหนียงรับฟังข้อเสนอของนาง การยอมรับนี้สำคัญกับนางมาก อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่า ถึงแม้วันนั้นแม่สามีจะตำหนินาง แต่แม่สามีไม่ได้ไม่ชอบนางเพราะเรื่องนั้น
“อีกสองวันก็ต้องทำเสื้อผ้าฤดูร้อนให้บ่าวรับใช้ในจวนแล้ว” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดกับเจียงซื่อ “ถึงตอนนั้นเจ้าต้องปรึกษากับผู้ดูแลหญิงของห้องเย็บปักถักร้อย ดูว่าใช้ผ้าอะไรดี ใช้เงินเท่าไร”
เจียงซื่อตกใจ แต่ก็ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว นางยิ้มแล้วลุกขึ้นตอบรับ “เจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ แล้วยกถ้วยชาขึ้นมา “ไปพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้เช้าอย่าลืมมาที่โถงบุปผา!”
เจียงซื่อย่อเข่าคำนับแล้วขอตัวออกไป
พอออกมาถึงหน้าประตูนางก็อดไม่ได้ที่จะหยุดชะงัก
ในห้องมีเสียงหัวเราะที่ร่าเริงของอิงเหนียงดังขึ้น “…ข้าเคยเห็นฝักถั่วเมล็ดแห้ง แต่ไม่เคยเห็นฝักถั่วเมล็ดแห้งที่ห่อด้วยทองเจ้าค่ะ!”
เจียงซื่อรู้ว่าพวกนางกำลังพูดคุยกันเรื่องเครื่องประดับ
นางรีบออกมาจากลานหลัก
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าก็คิดว่ามันหนักเกินไป แต่มันเป็นของที่ท่านอาเขยของเจ้ามอบให้ วางอยู่ตรงนี้ตลอด พรุ่งนี้อาจารย์ทำเครื่องประดับมา ข้าอยากทำเป็นปิ่นปักผมแทน” จากนั้นก็เลือกเครื่องประดับผมทรงดอกไม้ที่ทำจากหินพุดตานให้อิงเหนียง “เจ้ายังเด็ก สวมเครื่องประดับที่ดูอ่อนโยนพวกนี้ดีกว่า”
“สวยมากเลยเจ้าค่ะ!” อิงเหนียงเอ่ยขอบคุณด้วยความดีใจ นางถือเล่นอยู่ในมือตั้งนาน
สืออีเหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบา เอ่ยถามอิงเหนียง “เจ้าคิดออกหรือยังว่าจะทำชุดอะไร”
อิงเหนียงมองดูผ้าฤดูร้อนสีสันสวยงามที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะพูดด้วยความลำบากใจ “ข้า ข้ายังคิดไม่ออกเจ้าค่ะ ปกติท่านแม่เป็นคนช่วยข้าทำ ท่านแม่ทำอะไรข้าก็สวมอันนั้น!”
สืออีเหนียงหัวเราะ “เจ้าไม่มีสิ่งที่เจ้าชอบเป็นพิเศษหรือ!”
“มีสิเจ้าคะ!” อิงเหนียงยิ้มอย่างเขินอาย “แต่ทุกครั้งที่ช่างเย็บของห้องเย็บปักถักร้อยทำตามที่ข้าบอก ข้าสวมออกมาทุกคนมักจะบอกว่ามันไม่สวย”
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้
พวกนางสองคนเลือกผ้าพร้อมกับปรึกษากันว่าจะทำชุดอะไรดี
สวีซื่อเจี้ยมาคารวะสืออีเหนียงหลังเลิกเรียน
“แค่พริบตาเดียวก็ยามเที่ยงแล้ว!” สืออีเหนียงยิ้มพลางหยิบผ้ากำมะหยี่สีม่วงออกมาวางไว้บนเตียงเตา บอกให้สาวใช้เชิญสวีซื่อเจี้ยเข้ามาแล้วพูดกับอิงเหนียง “เจ้าเก็บผ้าผืนนี้ไว้เถิด ถึงฤดูร้อนก็นำไปมอบให้บรรดาบ่าวรับใช้ทำเป็นดอกไม้กำมะหยี่”
อิงเหนียงยิ้มแล้วบอกให้หว่านเซียง สาวใช้ของตัวเองรับมาวางไว้ข้างๆ
สวีซื่อเจี้ยเดินเข้ามา
“ท่านแม่กำลังหาผ้าทำเสื้อผ้าฤดูร้อนอยู่หรือขอรับ” เขายิ้มแล้วคำนับสืออีเหนียง หางตาเหลือบไปเห็นผ้ากำมะหยี่ที่อยู่ข้างๆ “เริ่มทำดอกไม้กำมะหยี่ตอนนี้เลยหรือ”
ยังรู้เรื่องพวกนี้ด้วย?
แม้แต่ข้ายังไม่รู้เลย
อิงเหนียงแอบพึมพำในใจ นางอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองสวีซื่อเจี้ย
“ผ้าพวกนี้อยู่ใต้หีบ หากไม่ใช่เพราะหาผ้าทอใยกล้วยสีขาวก็คงจะลืมไปแล้ว” สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้นางก็ยิ้ม “ในเมื่อหาเจอแล้ว จึงมอบให้น้องหญิงของเจ้า จะได้ไม่ลืม” นางยิ้มแล้วพูดต่ออีก “อีกสองวันเจ้าหยุดเรียนไม่ใช่หรือ อิงเหนียงก็ชอบดอกไม้ต้นไม้ ถึงตอนนั้นเจ้าไปช่วยข้าย้ายดอกพุดซ้อนมาปลูกที่หลังลานกับอิงเหนียงเถิด”
สวีซื่อเจี้ยยิ้มแล้วขานรับ
อิงเหนียงมีสีหน้าเบิกบานใจ
*****
เจียงซื่อกลับมาที่เรือน รีบคัดลอกรายชื่อของงานเลี้ยงสองชุด ก่อนจะออกเทียบเชิญอย่างเป็นทางการ รายชื่อของงานเลี้ยงไม่เพียงแต่ต้องนำไปให้ไท่ฮูหยินดู แล้วยังต้องนำไปให้สืออีเหนียงดู จะได้ไม่ตกหล่น นางเรียกสะใภ้หยวนเป่าจู้มานับค่าใช้จ่ายอีกครั้ง แล้วยังบอกให้สะใภ้หยวนเป่าจู้ไปสืบราคาอาหารช่วงนี้ พร้อมกับเขียนรายการมาให้นาง
“ยุ่งยากขนาดนี้เลยหรือ?” สวีซื่อจุนที่พึ่งกลับมาจากลานนอกพึมพำ “ข้าเห็นตอนที่ท่านแม่จัดการ ท่านแม่แค่นำเงินให้ผู้ดูแลหญิง…”
เจียงซื่อหัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้จะขอเงินจากผู้ดูแลหญิงเสียหน่อย ข้าแค่กลัวว่าหากผู้ดูแลหญิงมาถามข้าแต่ข้าไม่รู้อะไรเลย คนอื่นจะมองว่าข้าดีแต่พูด แต่กลับลงมือทำไม่เป็น “
พูดจามีเหตุผล
ตอนที่เขาอยู่ลานนอก เถ้าแก่บางคนก็คิดว่าเขาไม่รู้เรื่อง เขาถามอะไรก็อธิบายส่งๆ
เจียงซื่อวุ่นวายจนกระทั่งถึงยามเที่ยง อดหลับอดนอนไม่ไหวแล้ว นางจึงงีบไปครู่หนึ่ง ยามบ่ายก็ดูราคาอาหารทั้งช่วงบ่าย เช้าวันต่อมา ฟ้ายังไม่สว่างนางก็ตื่นแล้ว นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นครั้งแรกที่นางจะได้เจอกับบรรดาผู้ดูแลอย่างเป็นทางการ นางแต่งตัวอยู่ตั้งนาน จากนั้นก็ไปที่เรือนของสืออีเหนียงกับบรรดาป้ารับใช้และสาวใช้