Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2649 เมืองพายุ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2649 เมืองพายุ

ตอนที่ 2649 เมืองพายุ

เมื่อได้ยินคำถามของหลินสวิน เห็นชัดว่าลั่วเสวียนฝูอึ้งไปพักหนึ่ง

เขานิ่งเงียบใคร่ครวญอยู่นานถึงค่อยกล่าวอย่างลังเล “ก่อนหน้านี้ยามเจ้าเฒ่าลั่วอวิ๋นเหอมาที่นี่ เห็นชัดว่าเดาไม่ออกว่าคนที่ลงมือจับตัวลั่วเฟิงไปคือท่านอา จากมุมมองข้า เกรงว่าเหล่าคนตระกูลลั่วสายรองคงคิดว่าคนที่ลงมือคือขุมอำนาจใหญ่สักแห่ง”

หลินสวินกล่าวชื่นชม “พูดต่อสิ”

ลั่วเสวียนฝูฮึกเหิมขึ้นมา เอ่ยต่อว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้รู้ข่าวว่าพวกลั่วอวิ๋นเหอพินาศทั้งขบวน เกรงว่าเหล่าคนตระกูลลั่วสายรองก็ไม่มีทางสงสัยท่านอา กลับเป็นว่ากระวนกระวายอยู่ไม่สุขด้วยเรื่องนี้ ห่วงว่านี่คือการล้างแค้นของขุมอำนาจใหญ่สักแห่ง”

“หากข้าเป็นลั่วฉง ต่อให้เดือดดาลแค่ไหนก็คงไม่ส่งคนมาทะเลอสนีแยกฟ้านี้อีก กลับจะออกคำสั่งให้ป้องกันบริเวณเขาเทพหลังมังกรอย่างเข้มงวดทันที”

หลินสวินกล่าว “ในเมื่อรออยู่ที่นี่ไปก็ไม่มีความหมาย เจ้าคิดว่าหลังจากนี้พวกเราควรทำอย่างไร”

ลั่วเสวียนฝูรู้ว่าท่านอาคนนี้ของตนกำลังทดสอบตนอยู่ เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่แล้วกล่าว “บุกโจมตีก่อน!”

“บุกโจมตีก่อน?”

“ขอรับ แต่ไม่ได้บุกไปเขาเทพหลังมังกรโดยตรง”

แววตาลั่วเสวียนฝูลุ่มลึก กล่าววิเคราะห์อย่างใจเย็น “พวกเราจะมุ่งหน้าไปอาณาเขตที่ตระกูลลั่วครอบครอง จับตัวพวกที่กุมอำนาจของตระกูลลั่วสายรองทั้งหมด!”

หลินสวินกล่าวอย่างสนอกสนใจ “ทำไมถึงจับตัวแต่ไม่สังหาร”

“ท่านอา ตอนนี้เหล่าผู้อาวุโสของพวกเราตระกูลลั่วสายหลักยังถูกขังอยู่บนเขาอสนีเหิน ต่อให้พวกเราบุกเข้าไปเวลานี้ หากพวกลั่วฉงเอาพวกเขามาข่มขู่ก็จะทำให้ท่านอาต้องกล้ำกลืนฝืนทน”

ลั่วเสวียนฝูกล่าว “แต่หากพวกเราจับตัวประกันได้มากกว่าก็ไม่ต้องกลัวการข่มขู่ของอีกฝ่าย แค่แลกเปลี่ยนตัวประกันเท่านั้น”

หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ “การวิเคราะห์ของเจ้าไม่เลว แต่ยังมองข้ามไปประเด็นหนึ่ง”

ลั่วเสวียนฝูอึ้งไป กล่าวว่า “ท่านอาโปรดชี้แนะ”

“ทั้งตระกูลลั่วสายรองไม่มีภัยคุกคามมากเท่าใดนัก สำหรับข้า ต่อให้ลั่วฉงควบคุมพลังระเบียบระดับปฐพีขั้นแปดนั้นได้ก็ไม่มีภัยคุกคามสักนิด”

หลินสวินเพิ่งพูดถึงตรงนี้ ลั่วเสวียนฝูก็เข้าใจแล้ว เอ่ยว่า “ข้ามองข้ามคนต่ำช้าเผยหรูไป!”

หลินสวินอมยิ้มกล่าว “ไม่ผิด จากมุมมองของข้า ผู้หญิงที่คล้ายว่ามาจากตระกูลหวังคนนี้ต่างหากที่เป็นภัยคุกคามใหญ่ในการเคลื่อนไหวครั้งนี้”

“วิธีที่เจ้ากล่าวมาเมื่อครู่ก็ไม่เลว แต่ผู้หญิงอย่างเผยหรูไม่มีทางสนใจความเป็นตายของคนตระกูลลั่วสายรองพวกนั้นแน่ ตรงกันข้ามนางกลับจะนำชีวิตของเหล่าผู้อาวุโสตระกูลลั่วสายหลักมาข่มขู่เพื่อจัดการข้าแทน”

หลินสวินพูดตรงนี้แล้วมุ่นคิ้วกล่าว “สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ตอนนี้ข้ายังไม่แน่ใจว่าพวกท่านลุงกับท่านตาของข้าถูกตระกูลลั่วสายรองคุมตัวไว้แล้วหรือไม่กันแน่”

ก่อนหน้านี้ยามเจอลั่วชิงสวิน คนที่นางเป็นห่วงที่สุดก็คือพี่ชายลั่วชิงเหิงกับบิดาลั่วเซียวของนาง

แน่นอนว่าสำหรับหลินสวิน พวกเขาสองคนย่อมสำคัญที่สุด

ลั่วเสวียนฝูรู้สึกว่าเรื่องตึงมือขึ้นมาทันที เอ่ยว่า “เช่นนั้น… ให้ข้าไปสืบข่าวอีกหน่อยไหมขอรับ”

หลินสวินส่ายหัว “เกรงว่าต่อให้เป็นเจ้าก็ไม่อาจล่วงรู้ความลับสำคัญเช่นนี้แน่”

ลั่วเสวียนฝูเงียบไปทันที

สถานการณ์เช่นนี้เขาก็จนปัญญา

กลับเห็นหลินสวินตระหนักบางอย่างขึ้นได้ฉับพลัน เขาตบหน้าผากแล้วยิ้มกล่าว “ข้าลืมเจ้าหมอนี่ไปได้อย่างไร”

เขาพูดพลางลุกขึ้นเดินไปทางลั่วเฟิงที่อยู่ไกลๆ

หลังจากถูกทำลายพลังปราณ รูปร่างของลั่วเฟิงเหี่ยวแห้ง ราวกับแก่ชราไปหลายปีในชั่วขณะเดียว หมดสติอยู่กับพื้นไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้ว

นัยน์ตาลั่วเสวียนฝูเป็นประกาย “จริงด้วย มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิอย่างลั่วเฟิงเป็นบุคคลแกนหลักของตระกูลลั่วสายรอง ต้องรู้เรื่องภายในบางส่วนแน่!”

ห่างไปไม่ไกลหลินสวินเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว

เขาแผ่จิตรับรู้ เริ่มสืบค้นจิตวิญญาณ

ผ่านไปครู่ใหญ่หลินสวินหรี่ตาพลางเอ่ย “ท่านลู่กล่าวไว้ไม่ผิด ท่านลุงกับท่านตาข้าถูกลั่วฉงจับตัวไว้จริงๆ แต่ไม่ได้ถูกกำราบบนเขาอสนีเหิน หากแต่ถูกขังอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่า ‘ถ้ำเมฆามรกต’ ”

ลั่วเสวียนฝูกล่าวอย่างตกใจ “นั่นคือสถานที่ฝึกปราณของเผยหรู หลายปีนี้ต่อให้เป็นช่วงที่นางไม่อยู่ ก็จะมีข้ารับใช้ชราสองคนนั่นเฝ้าอยู่ใกล้เคียงโดยตลอด”

สีหน้าหลินสวินเปลี่ยนเป็นอึมครึมลงในชั่วขณะ อีกฝ่ายจัดการไว้เช่นนี้ เห็นชัดว่ามีแผนการ!

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เผยหรูผู้หญิงคนนี้ รู้ชัดว่าเพียงกุมชีวิตของลั่วชิงเหิงกับลั่วเซียวไว้ ขอแค่ตนหรือมารดาของตนปรากฏตัว ก็จะใช้พวกเขามาแลกเปลี่ยนสมบัติอย่างห้องโถงมรรคาสวรรค์และกระบี่ศุภโชคได้!

“ช่างไม่ล้มเลิกความคิดชั่วร้ายจริงๆ…” นัยน์ตาหลินสวินเยียบเย็น

“ท่านอา หากเป็นเช่นนี้ต่อให้ท่านแฝงตัวเข้าไปในตระกูลลั่ว แต่ทันทีที่ร่องรอยเปิดเผยนั่นก็ย่ำแย่แล้ว” ลั่วเสวียนฝูกล่าวอย่างกังวล

หลินสวินเอ่ยว่า “แต่นี่คือหนทางเดียว ทว่าเจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่มีทางไม่สนใจความเป็นตายของเหล่าผู้อาวุโสตระกูลลั่วสายหลักแน่”

ลั่วเสวียนฝูยิ้มขื่น “แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งยุ่งยากแล้ว ท่านอามีแค่คนเดียว ต่อให้อยากช่วยทุกคนก็คงต้องใช้วิชาแยกร่าง”

“วิชาแยกร่าง?”

นัยน์ตาหลินสวินฉายแววประหลาด กล่าวว่า “นั่นก็ไม่แน่หรอก”

เขาพูดพลางหยัดร่างขึ้น “ไป ตอนนี้พวกเราไปเยือนตระกูลลั่วกันสักหน่อย”

ลั่วเสวียนฝูอดกล่าวไม่ได้ “ท่านอา ท่านคิดดีแล้วจริงหรือ”

หลินสวินกล่าว “การห่วงหน้าพะวงหลัง ชักช้าลังเลแก้ปัญหาไม่ได้”

“แล้วเขาล่ะ” ลั่วเสวียนฝูชี้ลั่วเฟิงที่อยู่ห่างไปไม่ไกล

“เจ้าบอกว่าหลายปีนี้หมอนี่เคยก่อเรื่องไร้มโนธรรมกับตระกูลลั่วสายหลักไว้มากไม่ใช่รึ เช่นนั้นก็ให้เจ้าจัดการ” หลินสวินกล่าวง่ายๆ

ลั่วเสวียนฝูยื่นมือซัดออกไป ร่างของลั่วเฟิงกลายเป็นเถ้าถ่านสลายหายไปทันที

หลินสวินกลับอึ้งงัน “ฆ่าไปแบบนี้ ง่ายกับเขาเกินไปหรือไม่”

ลั่วเสวียนฝูส่ายหัวกล่าว “แค่สวะคนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้ทรมานเขาไปก็ไม่อาจทำให้ข้ารู้สึกดี”

หลินสวินพยักหน้า “นี่ก็คือความแตกต่างของเจ้ากับเขา ไม่เลว”

สองวันต่อมา

เมืองพายุ

นี่คือเมืองแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เขาเทพหลังมังกรที่สุด มีขนาดใหญ่โต ทั้งเจริญรุ่งเรือง

ด้วยเชื่อมต่อกับอาณาเขตของตระกูลลั่ว หลายปีมานี้จึงมีคนกล้าก่อเรื่องในเมืองน้อยมาก ด้วยเกรงว่าจะเป็นการล่วงเกินตระกูลลั่วโดยไม่ระวัง

ร้านสกุลลั่ว

ลั่วเสวียนเจินเพิ่งเก็บวัตถุดิบในการฝึกปราณส่วนหนึ่งเสร็จ คิดกลับไปเขาเทพหลังมังกรก่อนราตรี

“ถ้ากล้าขโมยอมวัตถุดิบ ระวังจะโดนเล่นงาน!” หลงจู๊ร้านคือผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลลั่วสายรอง เมื่อเห็นลั่วเสวียนเจินคิดจากไปก็กล่าวเตือนด้วยเสียงเย็นชาอย่างอดไม่ได้

ลั่วเสวียนเจินเงียบไปพักหนึ่งก่อนหันหลังจากไป

หลายปีนี้เขาเหมือนเด็กรับใช้คนหนึ่ง คอยทำงานเบ็ดเตล็ดในร้านสกุลลั่ว ถูกคนตระกูลลั่วสายรองพวกนั้นเรียกใช้ตามใจชอบ เมื่อไม่พอใจก็ด่าทอลงไม้ลงมือ

ตอนแรกในใจเขาก็โกรธแค้นอับอายถึงขีดสุด

แต่นานเข้าเขาก็ชินชาแล้ว

ตระกูลลั่วสายหลักอ่อนกำลัง ไม่ใช่เขาคนเดียวที่ถูกข่มและบีบบังคับเช่นนี้ คนอื่นก็เป็นแบบเดียวกัน สภาพทุกคนล้วนดูไม่จืด

‘ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เสวียนฝูอยู่ที่ไหน หากว่ามีชีวิตอยู่ก็อย่ากลับมาเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น… เกรงว่าคงรักษาชีวิตไว้ไม่ได้…’

ระหว่างทางลั่วเสวียนเจินคิดเรื่อยเปื่อย

เขากับลั่วเสวียนฝูเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ก่อนหน้านี้นานมาแล้วก็เผยพรสวรรค์และศักยภาพแฝงชวนตะลึง

น่าเสียดาย ยิ่งความสามารถของพวกเขาโดดเด่น ก็ยิ่งถูกคนตระกูลสายรองชิงชังและกดข่ม

สุดท้ายลั่วเสวียนฝูหนีไปจากตระกูลลั่ว ส่วนเขาลั่วเสวียนเจินก็ถูกส่งตัวมาเป็นลูกมือที่ร้านสกุลลั่วนี้ ไม่ว่าใครจะหยามเหยียดก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน

“ท่านพี่” ทันใดนั้นเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหู

ลั่วเสวียนเจินตัวแข็งทื่อคล้ายยากจะเชื่อ ครู่ใหญ่จึงหันกลับไปช้าๆ ในสายตาเห็นเงาร่างที่คุ้นเคย

ในใจเขาบีบรัดหนักหน่วง ไม่ใช่ตื่นเต้นดีใจ หากแต่กังวล สายตามองไปโดยรอบอย่างรวดเร็วถึงค่อยสื่อจิตกล่าว ‘เสวียนฝู เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ!’

ห่างไปไม่ไกลใบหน้าไร้ความรู้สึกของลั่วเสวียนฝูแย้มยิ้ม สาวเท้าไปเบื้องหน้า สวมกอดพี่ชายที่ทำให้เขากังวลมาหลายปีไว้แน่น ปากตะโกนออกมาอีกครั้ง “ท่านพี่!”

ขอบตาเขาเรื่อแดง

ปีนั้นหากไม่มีลั่วเสวียนเจินแอบช่วย เขาย่อมไม่มีทางหนีออกจากตระกูลลั่วได้อย่างราบรื่นเช่นนั้นแน่ แต่ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ลั่วเสวียนเจินติดร่างแห

ไม่ต้องคิดเขาก็รู้ว่าหลายปีนี้พี่ชายคนนี้ของตนต้องถูกกดข่มและหยามเหยียดมานับไม่ถ้วนแน่!

ลั่วเสวียนเจินตกตะลึงไปชั่วขณะ ตบหลังลั่วเสวียนฝูแล้วถอนหายใจกล่าว “เจ้าไม่ควรกลับมา”

“ท่านพี่ ตอนนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว”

ลั่วเสวียนฝูสูดหายใจลึก ควบคุมความตื่นเต้นในใจพลางเอ่ย “หรือกล่าวได้ว่าอีกไม่นาน ตระกูลลั่วของพวกเราก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง!”

แววตาเขาแน่วแน่

ลั่วเสวียนเจินอึ้งไปชั่วขณะ เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง?

จากนั้นเขาก็เห็นหลินสวินเดินมาแต่ไกล

รัตติกาลดุจสีหมึก

ลั่วเสวียนเจินรีบออกจากเมืองพายุไปเพียงลำพัง มุ่งหน้าไปยังเขาเทพหลังมังกร

ตอนนี้ในใจเขาตื่นเต้นหาใดเปรียบ ทั้งเจือความประหม่าและว้าวุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก

เขารู้ความเป็นมาของหลินสวินจากปากลั่วเสวียนฝูแล้ว รวมถึงเรื่องที่ลั่วเสวียนฝูจะทำในการกลับมาครั้งนี้ด้วย

ตอนแรกเขาก็ยากจะเชื่อ ถึงขั้นคิดว่าหลินสวินกับน้องชายของตนเป็นบ้าไปแล้ว

แต่เมื่อเข้าใจเรื่องราวมากขึ้น กระทั่งรู้ว่าลั่วอวิ๋นเหอและเหล่าบุคคลสำคัญของตระกูลลั่วสายรองถูกหลินสวินจัดการจนสิ้น

คราวนี้เขาจึงกล้ามั่นใจในที่สุดว่านี่คือเรื่องจริง!

ท่านอาที่ราวกับตำนานแห่งโลกยอดนิรันดร์ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ กำลังจะเปิดศึกกับตระกูลลั่วสายรอง!

‘ไม่เกี่ยวว่าความหวังมีมากเท่าไหร่ แต่หากไม่เคลื่อนไหว สถานการณ์ของตระกูลลั่วตอนนี้จะเปลี่ยนแปลงได้หรือ…’

ข้างหูเหมือนหวนนึกถึงคำพูดที่ราบเรียบนิ่งสงบของท่านอาอีกครั้ง ลั่วเสวียนเจินใคร่ครวญในใจ ‘ใช่แล้ว หากไม่เคลื่อนไหวก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้…’

ภายใต้รัตติกาลดำสนิทที่ห่างไกล ภูเขาเทพทอดยาวแถบหนึ่งอาบไล้ด้วยประกายดาราเจิดจรัสดุจภาพฝัน ที่นั่นมีแสงเทพพวยพุ่ง แสงมงคลไหลวน ต่อให้อยู่ในรัตติกาลก็ยังดูศักดิ์สิทธิ์และโดดเด่นเช่นนั้น

นั่นคือเขาเทพหลังมังกร

เป็นอาณาเขตของตระกูลลั่ว!

นับตั้งแต่ถูกขับไล่จากน่านฟ้าที่เจ็ด ตระกูลลั่วก็ตั้งอาณาเขตอยู่ที่นี่มาตลอด ถึงตอนนี้ผ่านมาหลายปีจนนับไม่ถ้วนแล้ว สถานการณ์ของตระกูลลั่วไม่เพียงแต่ไม่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น กลับเป็นว่าเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ นับวันยิ่งย่ำแย่…

ไม่มีใครรู้ว่าตระกูลลั่วจะยืนหยัดอยู่ในน่านฟ้าที่หกได้อีกนานเท่าไหร่ แต่ทุกคนล้วนรู้ว่าขอเพียงสถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไป ตระกูลลั่ว… ย่อมมีโอกาสซ้ำรอยเดิม ถูกขับไล่เหมือนปีนั้นได้ทุกเมื่อ!

เวลานี้ลั่วเสวียนเจินมองดูเขาเทพหลังมังกรที่อยู่ห่างไปแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ สงบสติลงอย่างสมบูรณ์

เขากำสองมือแน่นเงียบๆ ความอัปยศและความทรมานที่เคยได้รับในอดีตก็ให้เปลี่ยนไปในคืนนี้เถอะ!

เขาไม่ลังเลและชักช้าอีก เงาร่างพุ่งทะยาน มุ่งหน้าไปทางเขาเทพหลังมังกร

………………..

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท