Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2738 นัดสู้

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2738 นัดสู้

ตอนที่ 2738 นัดสู้

ในโถงเงียบสงัดลงอีกครั้ง

หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดในตอนนี้ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเขาจะตัดสินเองได้ ทั้งยังไม่อาจไปขัดขวางและโจมตีการทะลวงระดับของหลินสวินอย่างโจงแจ้ง

หาไม่แล้วถ้าไปบีบคนใหญ่คนโตลัทธิแรกกำเนิดคนอื่นๆ มากเกินไป ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เกิดขึ้นได้

นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะแบกรับไหว

“ให้ฉีหลิงเจิ้นตระกูลข้าไปหาหลินสวิน”

จู่ๆ ฉีเซียวอวิ๋นก็เอ่ยปาก “ถือโอกาสคืนนี้ไปคุยกับหลินสวินนั่นดีๆ”

……

ยอดเขาที่เก้า

“ผู้นำยอดเขา ข้าทำให้ท่านกับศิษย์พี่คนอื่นพลอยลำบากไปด้วยแล้ว”

หลินสวินกุมมือขอโทษฉินอู๋อวี้

หลังจากเขากลับมาจากเขาตำราก็ตรงดิ่งกลับยอดเขาที่เก้ามาหาฉินอู๋อวี้ทันที

เทียบกับเมื่อเจ็ดเดือนก่อน ฉินอู๋อวี้ดูเหนื่อยล้าอยู่บ้าง เห็นชัดว่าการถูกพวกฉีเซียวอวิ๋นยื่นเรื่องถอดถอนเป็นการโจมตีเขาครั้งใหญ่

“เรื่องนี้ไม่ว่าเป็นข้าหรือผู้สืบทอดอย่างพวกเย่ฉุนจวินก็ไม่มีความคิดจะกล่าวโทษเจ้าทั้งนั้น ถ้าเจ้าใจสู้จริง พรุ่งนี้ก็ตั้งใจทะลวงระดับ บรรลุอมตะในคราวเดียว!”

ฉินอู๋อวี้เอ่ยเสียงเข้ม “เจ้าจะติดกับศัตรูพวกนั้นไม่ได้ ที่พวกเขาทำเช่นนี้เป็นการจงใจอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีอะไรนอกไปจากทำเพื่อสร้างผลกระทบให้สภาวะจิตของเจ้า ขวางไม่ให้เจ้าทะลวงระดับ”

หลินสวินเอ่ยว่า “ผู้นำยอดเขาวางใจ สำหรับข้า การแจ้งมรรคเป็นเรื่องที่มั่นใจยิ่ง ไม่มีทางให้พวกเขาสมหวัง”

เห็นหลินสวินสุขุมเยือกเย็น ฉินอู๋อวี้ก็อดอึ้งไปไม่ได้ เรื่องใหญ่อย่างแจ้งมรรคอมตะ ใครจะกล้าบอกว่ามั่นใจมาก

แต่หลินสวินกลับพูดออกมาได้ง่ายดายปานนั้น คล้ายกับว่าสำหรับเขาแล้วการแจ้งมรรคอมตะคราวนี้ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กเรื่องหนึ่ง

นี่ทำให้คนรู้สึกประหลาดนัก

“อย่าชะล่าใจ” ฉินอู๋อวี้ครุ่นคิดพักหนึ่งก็ยังเตือนประโยคหนึ่ง

หลินสวินยิ้มขึ้นมา พยักหน้ารับ

“ท่านพ่อ ผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของหอแรกนภาฉีหลิงเจิ้นกับคนอีกหลุ่มฟนึ่งมายอดเขาที่เก้า ต้องการพบศิษย์น้องหลินสวิน”

ยามนี้ฉินรั่วหลิงเดินมาจากไกลๆ รีบกล่าวอย่างรวดเร็ว

ฉินอู๋อวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย พูดอย่างเด็ดขาดว่า “ไม่พบ ให้พวกเขากลับไป”

พรุ่งนี้หลินสวินก็จะแจ้งมรรค แต่จู่ๆ คนพวกนี้กลับมาหา เห็นชัดว่าเจตนาไม่บริสุทธิ์!

“ช้าก่อน”

หลินสวินเห็นฉินรั่วหลิงกำลังจะไปก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าไปพบพวกเขาสักหน่อย อยากดูว่าพวกเขาจะพูดอะไรกันแน่”

ฉินอู๋อวี้นิ่วหน้า “หลินสวิน นี่ไม่ใช่เวลามากระทำการด้วยอารมณ์!”

“ผู้นำยอดเขาวางใจ ข้าย่อมรู้ขอบเขต ถึงอย่างไรตอนนี้ข้าก็เป็นศิษย์หอแรกนภา ถ้าปฏิเสธไม่ไปพบ กลับจะกลายเป็นว่าข้าหลินสวินใจเสาะกลัวพวกเขา”

หลินสวินยิ้มพลางหมุนตัวจากไป

“เจ้าหมอนี่…”

ฉินอู๋อวี้ออกจะจนใจ

“ท่านพ่อ ข้ากลับคิดว่าศิษย์น้องหลินสวินเคลื่อนไหวเช่นนี้ยิ่งพิสูจน์ได้ว่าเขามั่นใจเต็มเปี่ยม ไม่กลัวว่าจะถูกสิ่งภายนอกมารบกวนนานแล้ว ถ้าถอยหนีอยู่ท่าเดียวกลับจะดูว่าสภาวะจิตเขายังไม่แข็งแกร่งพอ เช่นนี้แล้วต่อให้แจ้งมรรคก็เกรงว่าจะเกิดข้อผิดพลาด”

ฉินรั่วหลิงเอ่ยเสียงเบา

ฉินอู๋อวี้อึ้งไป ครุ่นคิดครู่หนึ่งจากนั้นจึงปล่อยวาง ตบไหล่ลูกสาวอย่างปลาบปลื้มพลางกล่าวว่า “ยายหนู เจ้าพูดถูก ผู้ที่จิตใจแข็งแกร่งดุจหินผาย่อมไม่กลัวการจู่โจมจากรอบทิศ”

นอกยอดเขาที่เก้า

ฉีหลิงเจิ้น จงหลีหรัน กู้เซ่าอิ้นและฟู่เจาเซิงยืนเคียงกัน

ตอนนี้ในหอแรกนภามีศิษย์สามสิบเจ็ดคน ในกลุ่มนั้นมีห้าคนบรรลุระดับอมตะไปแล้ว

พวกฉีหลิงเจิ้นก็คือสี่คนในกลุ่มนี้

และฉีหลิงเจิ้นยังถูกขนานให้เป็นศิษย์อันดับหนึ่งของหอแรกนภา มีอิทธิพลมากที่สุดในบรรดาศิษย์ร่วมหอ

เขาบุคลิกองอาจห้าวหาญ เก่งกาจสง่างาม หน้าตาหล่อเหลา แต่งกายด้วยชุดสีเหลืองสว่าง กลิ่นอายระเบียบอมตะโอบล้อมทั้งตัว ดุจเทพองค์หนึ่งมาเยือนโลกา พลานุภาพน่าตะลึงยิ่งนัก

เกรงว่าไม่ว่าใครเห็นเขาคงรู้สึกตื่นตาตื่นใจไปหมด

ถึงอย่างไรในบรรดาผู้แข็งแกร่งระดับอมตะ คนที่เพิ่งฝึกปราณมาไม่ถึงสามพันปีอย่างฉีหลิงเจิ้นเรียกได้ว่ายังเป็นคนรุ่นหนุ่มอย่างยิ่งแล้ว

จงหลีหรัน กู้เซ่าอิ้นและฟู่เจาเซิงที่อยู่ข้างกายเขาต่างมีความสง่างามและพลานุภาพของตัวเอง ในฐานะผู้แข็งแกร่งระดับอมตะ ศักยภาพของพวกเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนรุ่นอาวุโส

เมื่อเงาร่างหลินสวินเดินออกมาจากเขาและเห็นศิษย์พี่ที่ฝึกปราณในหอแรกนภาเช่นกันเหล่านี้ สีหน้าไม่ได้หวั่นไหวเท่าไร สงบนิ่งนัก

ขณะเดียวกันสายตาพวกฉีหลิงเจิ้นต่างก็มองหลินสวินทันที เผยแววตรวจสอบและประเมิน

ความจริงแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาทั้งสองฝ่ายได้พบหน้ากัน

“พวกเจ้ามาหาข้ามีธุระอะไรหรือ”

หลินสวินชิงทำลายความเงียบก่อน

“ไม่แม้แต่เรียกว่าศิษย์พี่สักคำหรือ ดูท่าในใจคงต่อต้านการมาเยือนของพวกเราในคราวนี้มากล่ะสิ”

จงหลีหรันหัวเราะเบาๆ เขาร่างสูงใหญ่ สวมชุดม่วงทั้งตัว หลังสะพายดาบขอเล่มหนึ่ง ท่าทางอหังการดุดัน

“พวกเราเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องในนามกันจริงๆ แต่ที่นี่ก็ไม่มีคนอื่น ก็ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ หรอก หรือพวกเจ้ายังนึกว่าข้าจะมองพวกเจ้าเป็นสหาย”

หลินสวินเอ่ยวาจาตามสบาย

จงหลีหรันหรี่ตาลงเล็กน้อย เอ่ยว่า “เจ้านี่ตรงไปตรงมาดี เช่นนั้นข้าก็ขอพูดตามตรงกับเจ้า เฟิงซีซีกับหลิวอวิ๋นเฟิงถูกลงโทษตามคำสั่งของรองหัวหน้าหอฝูเหวินหลี และผู้ที่ลงมือก็คือข้า เจ้าอยากรู้ไหมว่าตอนนั้นพวกเขาถูกลงโทษเช่นไร”

ในถ้อยคำไม่ปกปิดความท้าทายใดๆ

หลินสวินเอ่ยสีหน้าสงบนิ่ง “ไม่ว่าจะทำโทษร้ายแรงปานไหน ขอเพียงพวกเขายังไม่ตาย ภายหน้าข้าย่อมช่วยพวกเขาทวงความเป็นธรรม”

จงหลีหรันหัวเราะหึๆ สีหน้าเผยแววดูถูก “ศิษย์น้อง เจ้ายังไม่บรรลุมรรคาอมตะก็คุยโวขนาดนี้ ไม่กลัวถูกหาว่าขี้โม้หรือ”

“พวกเจ้ามาคราวนี้ก็เพื่อพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้หรือ”

หลินสวินก็ยิ้มขึ้นมาเช่นกัน เอ่ยว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่ถือสาที่จะคุยกับพวกเจ้าสักหน่อย เจ้าก็คือจงหลีหรันกระมัง หน้าตาคล้ายกับจงหลีเซียวอยู่บ้าง เจ้าอยากรู้ไหมว่าตอนนั้นเขาถูกข้าฆ่าอย่างไร”

คำพูดเดียวทำให้จงหลีหรันสีหน้าอึมครึมทันที ไอสังหารอวลอยู่ในดวงตา

จงหลีเซียว นั่นเป็นน้องชายต่างแม่ของเขา!

หลินสวินไม่สนใจเขา สายตาเคลื่อนไปทางกู้เซ่าอิ้น ยิ้มเอ่ยว่า “กู้เซ่าอิ้น คงมาจากตระกูลกู้ ข้าจำได้ว่าหลายปีนี้ฆ่าผู้แข็งแกร่งตระกูลกู้ไปไม่น้อย แต่ในช่วงสั้นๆ นึกชื่อพวกเขาไม่ออกแล้ว ไม่เช่นนั้น… เจ้าช่วยข้าย้อนนึกหน่อยได้ไหม”

กู้เซ่าอิ้นอึ้งไปก่อน สีหน้พลันเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูขึ้นมา

แต่ไม่ทันรอให้เขาเอ่ยปาก หลินสวินก็มองไปยังฟู่เจาเซิงแล้ว เอ่ยว่า “จากที่ข้ารู้ ในน่านฟ้าที่เจ็ดและแปดไม่มีเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลฟู่ แต่เจ้ากลับอยู่กลุ่มเดียวกับคนพวกนี้ได้ เช่นนี้ดูท่าเจ้าจะไม่ธรรมดาจริงๆ”

ฟู่เจาเซิงนิ่วหน้า เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าหลินสวินชมหรือด่าเขากันแน่

“แต่ในความคิดข้า คนอย่างเจ้า… อย่างเก่งก็เป็นแค่พวกที่คอยรองมือรองเท้า ทะลวงฝ่าวงล้อมข้าศึกให้พวกเขา น่าหดหู่จริงๆ”

ขณะที่หลินสวินพูดก็ถอนหายใจไปด้วย “เป็นถึงศิษย์ระดับอมตะคนหนึ่งในหอแรกนภาแล้ว โดดเด่นเพียงไหน แต่กลับกลายเป็นมือเท้าของคนอื่น นั่นน่าเศร้าปานไหนกัน”

ชั่วขณะเดียวสีหน้าฟู่เจาเซิงเปลี่ยนเป็นหน้าเหยเกถึงที่สุด

คำพูดหลินสวินจี้โดนศักดิ์ศรีที่อยู่ลึกสุดใจเขาพอดี

เพราะเป็นอย่างที่หลินสวินพูด ก่อนหน้านี้นานมาแล้วเขาถูกตระกูลฉีเลือกพามาฝึกปราณในน่านฟ้าที่แปด จนกระทั่งเข้าลัทธิแรกกำเนิดและกลายเป็นผู้สืบทอดหอแรกนภา ล้วนเป็นการจัดแจงของตระกูลฉีทั้งนั้น

สาเหตุที่เขาได้รับความสำคัญจากตระกูลฉีเช่นนี้ ก็เพราะรากฐานพลังกับพรสวรรค์เรียกได้ว่าวิปริตเหมือนปีศาจจริงๆ

เพื่อเป็นการตอบแทน เขาย่อมคล้อยตามการชี้นำของตระกูลฉี

แต่เมื่ออกมาจากปากหลินสวิน เขากลับกลายเป็นมือเท้าของตระกูลฉี น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม

เมื่อหลินสวินหันสายตามามองฉีหลิงเจิ้น ฝ่ายหลังคล้ายรู้แล้วว่าหลินสวินไม่มีทางพูดเรื่องดีอะไร จึงเอ่ยขึ้นทันที “นี่เจ้าคิดจะพูดจาไร้สาระกับพวกเราถึงเมื่อไร”

หลินสวินยิ้มเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “นั่นก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาคราวนี้ต้องการจะทำอะไรกันแน่ ยังนึกว่าพวกเจ้าอยากถือโอกาสยามค่ำคืนมาคุยกับข้าสักหน่อย”

พวกฉีหลิงเจิ้นต่างมุ่นคิ้ว หลินสวินในตอนนี้เหมือนไม่ใส่ใจ ไม่หวั่นกลัว ไม่เก็บงำ วาจาแปลกพิกลน่าหงุดหงิด

“พวกเรามาคราวนี้แค่อยากบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง”

ฉีหลิงเจิ้นสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เอ่ยราบเรียบ

“ว่ามา” หลินสวินพูด

ฉีหลิงเจิ้นเอ่ย “เมื่อครึ่งปีก่อน มีกำลังพลกลุ่มหนึ่งออกจากโลกยอดนิรันดร์ ทะลวงผ่านมิติของโลกพันจักรวาลมากมาย ไปเยี่ยมเยียนบ้านเกิดของศิษย์น้อง”

น้ำเสียงเรื่อยเฉื่อย

สายตาคนอื่นต่างก็จ้องเขม็งที่หลินสวิน

กลับพบว่าหลินสวินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สีหน้าไม่หวั่นไหวสักนิด เอ่ยว่า “หลังจากนั้นเล่า”

ฉีหลิงเจิ้นพูดจริงจัง “ว่ากันว่าบ้านเกิดของศิษย์น้องอยู่ในที่ที่เรียกว่าโลกชั้นล่าง ที่นั่นห่างไกลมากจริงๆ หายากยิ่งนัก ยังดีที่ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น ในที่สุดพวกเขาก็ไปถึง”

พูดจบเขาจับจ้องหลินสวินแน่วนิ่ง กลับพบอย่างน่าผิดหวังว่าสีหน้าอีกฝ่ายถึงกับไม่เปลี่ยนไปสักนิด

“ว่าต่อ” หลินสวินเอ่ย

ฉีหลิงเจิ้นหัวเราะขึ้นมาอย่างเบิกบาน พูดว่า “ก็เท่านี้เถอะ คิดว่าศิษย์น้องต้องเดาอะไรได้บ้างแล้ว หากพูดต่อไปแล้วกระทบกับการแจ้งมรรคในวันพรุ่งนี้ของศิษย์น้องเข้า เช่นนั้นพวกเราก็จะทำผิดร้ายแรงแล้ว”

จงหลีหรัน กู้เซ่าอิ้นและฟู่เจาเซิงต่างก็หัวเราะ แววตาน่าสะพรึง เหิมเกริมถึงขีดสุด

ก็ในตอนนี้เองไอสังหารน่ากลัวหาใดเทียบพลันอุบัติขึ้นจากตัวหลินสวิน ราวกับพายุคลั่งกลบฟ้าคลุมดิน พุ่งทะลวงเก้าชั้นฟ้าสิบผืนดิน ทำให้ห้วงอากาศบริเวณนั้นยังส่งเสียงครวญหึ่งขึ้นมา

บนยอดเขาที่เก้ายิ่งมีเสียงอุทานดังขึ้นระลอกหนึ่ง มีเสียงทะลวงอากาศพุ่งมาทางนี้

จากนั้นเงาร่างของพวกฉินอู๋อวี้ โม่หลันซาน ฉินรั่วหลิงต่างปรากฏตัวตามมาติดๆ ยามเห็นหลินสวินที่ถูกยั่วโมโหอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าต่างก็อึมครึม จิตใจรัดเกร็ง

หลินสวินในตอนนี้ บนใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยไอสังหาร ดวงตาลุ่มลึกเย็นชาจนน่ากลัว ราวกับจะพุ่งไปกลืนกินผู้คนเมื่อไรก็ได้!

เมื่อมองออกไปไกลๆ รอยยิ้มพวกฉีหลิงเจิ้นเบิกบานนัก เผยแววโล่งอกและลำพอง

นี่ทำให้ฉินอู๋อวี้โมโหอย่างอดไม่ได้เช่นกัน

แต่ไม่ทันรอให้เขาเอ่ยปาก หลินสวินก็เอ่ยขัดขึ้นว่า “ผู้นำยอดเขา ให้ข้าคุยกับศิษย์พี่พวกนี้ดีๆ”

เสียงเรียบนิ่งจนน่ากลัว

“ฮ่า พวกเจ้าได้ยินไหม ในที่สุดศิษย์น้องหลินสวินของพวกเราก็เรียกพวกเราว่าศิษย์พี่แล้ว ประหลาดจริงเชียว” จงหลีหรันยิ้มเอ่ย

ฉีหลิงเจิ้นพูดเรื่อยเฉื่อยว่า “ศิษย์น้อง เจ้ายังมีเรื่องอะไรอยากพูดอีก พวกเราจะล้างหูรอฟัง”

พวกเขาล้วนเห็นหลินสวินเสียอาการ ในใจเบิกบานและผ่อนคลายนัก นี่บรรลุเป้าหมายที่พวกเขามาในคืนนี้แล้ว!

“จุดประสงค์ของพวกเจ้า ย่อมมาเพื่อทำลายข้าหลินสวิน เช่นเดียวกันข้าก็แทบอยากจะฆ่าพวกเจ้าให้เหี้ยนเช่นกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่ทุกท่านกล้านัดสู้กับข้าที่สนามรบพิพาทสวรรค์หรือไม่”

พอหลินสวินเอ่ยปาก ในตอนนี้ไอสังหารทะลุเมฆาทั้งตัวเขากลับเก็บงำหายลับไปหมดสิ้น สงบนิ่งเหมือนก่อนหน้านี้

เยือกเย็นจนพาให้คนใจสั่น!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท