GGS:บทที่ 1112 ระบบป้องกัน
ผู้บริหารโจวได้เก็บความรู้สึกเคารพ นอบน้อม และภักดีเอาไว้ในใจในทันทีที่รู้สึกตัวและได้แสดงออกมาด้วยรอยยิ้มแห่งความใจดีให้ปรากฎอยู่บนใบหน้าแทน
ฉากนี้ทำให้ทุกคนที่เห็นต่างก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาในทันที พลางคิดไปว่าฉากที่เห็นก่อนหน้านี้อาจจะมาที่ท่านผู้บริหารโจวนั้นเป็นหนึ่งในแฟนคลับของซูจิ้งก็เป็นได้
ซึ่งนั่นก็ไม่แปลกอะไรเพราะชายหนุ่มผู้นี้เป็นอัจฉริยะที่ท้าทายสวรรค์จนทำให้ทุกคนตื่นตะลึงและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก
ฉากที่เห็นก่อนหน้านี้เองอาจเป็นแค่พวกเขาตาฝาดไปเท่านั้น เพราะไม่ว่ายังไงคนที่เป็นถึงรองประธานคณะกรรมาธิการทหารส่วนกลางจะไปมีท่าทีนอบน้อมต่อคนที่อ่อนกว่านั้นช่างไม่มีเหตุผลเลยสักนิด
ต่อให้ซูจิ้งจะทรงพลังและมีเบื้องหลังที่แข็งแกร่งขนาดไหนก็ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำให้รองประธานคณะกรรมาธิการทหารส่วนกลางต้องก้มหัวให้แบบนี้ หากเป็นจริงก็คงเป็นเรื่องตลกระดับชาติเป็นแน่
หลังจากทักทายกันเสร็จแล้ว ซูจิ้งได้เดินเข้าไปในสถาบันวิจัยอาวุธกับชายหน้าจีนคนนี้ในทันที ในขณะที่เดินเข้าไปนั้น ชายวัยกลางคนผู้ซึ่งมีผมขาวครึ่งหัวผู้นี้ก็ได้ถามออกมาว่า
“คุณซู ตอนที่คุณโทรหาผมแล้วบอกผมว่ามีวิธีเสริมกำลังทางการทหารและป้องกันได้นี่คุณหมายความว่ายังไงกัน”
“เดี๋ยวผมบอกคุณทีหลังแล้วกัน แต่ตอนนี้คุณแน่ใจรึเปล่าว่าเชื่อคนของคุณได้” ซูจิ้งพูดพลางมองไปรอบห้องในสถาบันวิจัยแห่งนี้ ทุกคนล้วนต่อดูยุ่งกับงานของตัวเองอยู่
“อย่ากังวลไปเลยครับ คนทั้งหมดนี่เป็นคนของผมเอง” ชายวัยกลางคนผมขาวครึ่งหัวได้พูดออกมาอย่างมั่นใจ
“ไม่หรอกม้างงงงง…” ซูจิ้งพูดออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า คุณก็รู้ว่านี่คือฐานวิจัยลับนี่นา ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าท่านผู้บริหารโจวออกไปเรื่องของคุณล่ะก็ แม้แต่เป็นคุณก็ไม่สามารถมาที่นี่ได้หรอก ทุกคนในที่นี้ได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวด วิทยาการที่คุณนำมาที่นี่เองก็ต้องให้พวกเขาเป็นคนดำเนินการต่อและพัฒนาต่อไปโดยคนพวกนี้ คุณไม่จำเป็นต้องซ่อนจากคนพวกนี้แต่อย่างใด”
“ตรวจสอบอย่างเข้มงวดเหรอ แล้วไอ้พวกสายลับซีไอเอที่แอบเข้ามาก่อนหน้านี้ล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
ทุกคนที่ได้ยินถึงกับหน้ากระตุกไปเล็กน้อยพร้อมความสงสัยที่ว่าซูจิ้งรู้ได้ยังไง เรื่องนี้เองก็เป็นหนึ่งในความลับสุดยอดของประเทศจีนเช่นเดียวกัน
ต่อให้เขาเข้าถึงข้อมูลลับที่ปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ได้ก็ตาม แต่ที่คนทั่วโลกเห็นนั้นมันก็แค่รหัสยืนยันตัวตันเท่านั้น
รหัสนั่นต่อให้รู้อย่างมากก็แค่บอกว่าสายลับพวกนั้นเข้าไปแฝงกับองค์กรไหนและมีเป้าหมายอะไรเท่านั้น แต่ที่พวกคนเหล่านี้ไม่รู้ก็คือซูจิ้งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการจัดการสายลับพวกนั้นเป็นการลับ
แน่นอนว่าเขานั้นย่อมรู้ข้อมูลที่แท้จริงทั้งหมดพร้อมทั้งลอบส่งข้อมูลให้กับรัฐบาลเพื่อจัดการสายลับเหล่านั้น ถึงแม้จะมองดูว่าแปลกที่เขารู้เรื่องแต่ในความเป็นจริงเขารู้อะไรมากกว่านั้นด้วยซ้ำไป
“อย่ามาใส่ใจดีกว่าครับว่าผมรู้อะไร หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือคนพวกนี้ใช่ว่าจะเชื่อใจได้ทุกคน งั้น….เอาเป็นว่าไปเรียกทุกคนมารวมกันที่นี่ก่อนก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมา
“นี่…” ชายวัยกลางคนหัวขาวครึ่งหนึ่งรู้สึกแปลกๆในทันทีว่าซูจิ้งต้องการทำอะไรกันน่า
คนพวกนี้ก่อนหน้านี้เองก็โดนตรวจสอบอย่างหนักมาแล้วนั่นก็เพราะเรื่องของสายลับของซีไอเอที่แฝงตัวเข้ามา หลังจากตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนแล้วเขาก็เชื่อว่าไม่หลงเหลือสายลับอยู่อีก ต่อให้ยังมีสายลับเหลืออยู่จริงแต่การที่เรียกรวมตัวกันแบบนี้ก็ไม่สมควรจะช่วยให้รู้ได้อยู่ดี
“ฟังซูจิ้งซะ” ผู้บริหารโจวพูดออกมา
ในเมื่อผู้บริหารโจวออกปากเองขนาดนี้มีหรือที่จะมีคนกล้าขัด พวกเขาได้ทำการเรียกรวมเหล่านักวิจัยและเจ้าหน้าที่ทุกคนมารวมกันที่นี่จนครบ ตอนนั้นเอง ซูจิ้งได้พูดออกมาว่า “นำกฎและระเบียบของกองทัพมาหน่อย”
“ห้ะ” ทุกคนพลันสงสัยในทันทีว่าจะเอามาทำไม
“เมื่อเอามาแล้วก็ให้ทุกคนอ่านมันออกมา” ซูจิ้งพูดออกมา
“……” ชายหัวขาวครึ่งหัวที่ได้ยินถึงกับพูดไม่ออก นี่ซูจิ้งจะให้คนเหล่านี้อ่านกฎและระเบียบของกองทัพออกมาแล้วหวังว่าจะให้สายลับก้าวออกมายอมรับผิดรึไงกัน
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อท่านผู้บริหารโจวได้ออกปากมาแล้วว่าให้ทำตามที่ซูจิ้งบอก ก็ไม่มีใครเลยที่จะกล้าขัด พร้อมทั้งนำป้ายกฎและระเบียบกองทัพออกมา
เมื่อสิ้นเสียงของซูจิ้ง ทุกคนได้ทำการกฎและระเบียบของกองทัพอย่างตั้งจังและอ่านจบลงอย่างรวดเร็ว
ตอนนั้นเอง ซูจิ้งได้เดินตรงไปยังชายวัยกลางคนหน้าหวานคนหนึ่ง เขาจับชายคนนั้นเอาไว้ในทันทีก่อนที่จะไปยังชายร่างสูงผอมคนหนึ่งแล้วลากออกมา
ชายหัวขาวครึ่งหัวที่เห็นถึงกับมึนงงและสับสนในทันทีพลางคิดขึ้นมาว่าสองคนนี้ทำอะไรผิดไปกัน ซูจิ้งขี้เกียจจะอธิบายอะไรมากจึงได้ทำการสะกดจิตโดยตรงโดยแกล้งทำเป็นแผ่รังสีสังหารออกมา นี่ทำให้ทั้งสองพูดออกมาอย่างรวดเร็ว
กลายเป็นว่า ชายหน้าหวานคนนี้เป็นสายลับจากฝรั่งเศษ ส่วนชายผอมสูงคนนี้ไม่ใช่สายลับแต่ได้ลับการติดต่อมาจากสายลับของประเทศอื่น
ด้วยการที่เขานั้นถูกยั่วยวนด้วยอำนาจของเงินตาและหลงไหลในตัวของสายลับจึงทำให้จิตใจของเขาสั่นคลอนและตัดสินใจทรยศประเทศในที่สุด
ถึงแม้ว่าทั้งสองคนนี้ไม่ได้มีตำแหน่งสูงและข้อมูลที่เข้าถึงได้นั้นมีจำกัด แต่ยังไงซะ เมื่อทั้งสองมาอยู่ที่นี่ได้ย่อมแน่นอนแล้วว่าข้อมูลลับบางส่วนน่าจะรั่วไหลไปแล้ว
เหล่าผู้ควบคุมแต่ละทีมต่างก็แสดงท่าทีโง่งมออกมา นี่มันเรื่องอะไรกัน กลายเป็นว่าสองคนนี้คือตัวปัญหาและถูกเปิดเผยได้อย่างง่ายดายขนาดนี้ ทุกคนในที่นี่ต่างหันไปมองซูจิ้งราวกับว่าได้พบเจอสัตว์ประหลาดร่างมนุษย์ พลางคิดสงสัยว่าชายคนนี้ทำได้ยังไงกัน
แน่นอนว่าทุกคนนี้ไม่มีทางรู้เลยว่าซูจิ้งจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ได้เป็นซูจิ้งได้ครอบคลุมพื้นที่นี้ไว้ด้วยกระแสจิตของเขาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว หรือก็คือเขาใช้วิธีการอ่านออร่าของแต่ละคนนั่นเอง
ต่อให้คนพวกนี้ฝึกภาษากายมาดูขนาดไหนก็ตามแต่ยังไงซะต่อให้เป็นสายลับมือฉกาจขนาดไหน หรือแม้แต่คนที่ตัดสินใจทรยศไปแล้ว เมื่อต้องทำสิ่งที่ขัดกับใจตัวเองเอาไว้ ออร่าของคนเหล่านั้นจะบ่งบอกในทันที
เหล่าทหารยศสูงได้ลากตัวสองคนนี้เข้าในห้องสอบสวนในทันที หลังจากทั้งสองได้เข้าไปห้องสอบสวนแล้ว ซูจิ้งจีงได้เปิดประตูหลังของรถที่ขนของมาจากสนามบินในทันที
ของเหล่านี้ดูแล้วล้วนแปลกตามากนะและหนึ่งในนี้คืออาวุธปืนเลเซอร์ที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯยอดทหารจ้าวนักรบ ปืนคลื่นพลังงานจากห้วงเวลาฯอเวนเจอร์ คลื่นเสียงอัมพาตจากห้วงเวลาฯไอร่อนแมน อาวุธแรงโน้มถ่วงจากห้วงเวลาฯตำนานผู้พิทักษ์ดวงดารา
เหล่าผู้คนที่เห็นสิ่งเหล่านี้มีท่าทีตกตะลึงในทันที พวกเขาจ้องมองของเหล่านี้อย่างกับเห็นผีที่หลุดออกมาจากหนังแนววิทยาศาสตร์ยังไงอย่างนั้น และยิ่งตกตะลึงขั้นสุด เมื่อได้เห็นซูจิ้งได้ใข้ของเหล่านั้นให้ดู
ปืนเลเซอร์นี้ ถึงแม้ว่าซูจิ้งจะได้ให้ทีมนักวิจัยของตนดัดแปลงปืนเลเซอร์นี้ไปเป็นเครื่องตัดเลเซอร์จนยอดสั่งซื้อถล่มทลายไปแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังมีความคิดว่านั่นเป็นการเอามีดฆ่าวัวไปเชือดไก่อยู่ดี
เขาจึงคิดว่าในเมื่อมันเป็นอาวุธก็สมควรจะทำให้มันเป็นอาวุธถึงจะดีที่สุด แน่นอนว่าด้วยปืนนี่เป็นของล้ำยุค อาวุธสมัยนี้ไม่มีทางเทียบได้เลยสักนิด
ส่วนอาวุธบางส่วนจากห้วงเวลาฯอเวนเจอร์นั้นล้วนแล้วแต่เป็นวิทยาการขั้นสูงเมื่อเทียบโลกยุคสมัยนี้ หากว่าสามารถศึกษาจนต่อยอดได้ล่ะก็พวกมันจะทำให้ประเทศจีนมีอำนาจไม่สิ้นสุด
“ของพวกนี้มาจากไหนกันแน่ ทำไมฉันคิดว่ามันออกมาจากหนังหลายๆเรื่องที่เคยเห็นกันล่ะ” นักวิจัยสูงอายุคนหนึ่งพูดออกมา
“จริงด้วย อย่างจานบินที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้เองก็เหมือนกัน ฉันยังสงสัยอยู่ว่านั่นเป็นสิ่งมีชีวิตต่างดาวรึเปล่า คุณซู นี่คุณไปพบเทคโนโลยีจากพวกต่างดาวหรือว่าไป….” ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งที่ได้ยินก็ได้แสดงความเห็นพร้อมตั้งคำถามในทันที
ซูจิ้งที่ได้ยินและฟังคำถามอันไม่สิ้นสุดเหล่านี้นถึงกับถอนหายใจออกมาดังๆ ด้วยการที่คนเหล่านี้ฉลาดมากๆ แน่นอนว่าการที่เขานำของต้นแบบเหล่านี้ออกมานั้นย่อมได้รับการสงสัยและอาจจะถึงค้นรู้เลยด้วยซ้ำว่าของเหล่านี้มาจากไหนบ้าง
หากเป็นเมื่อก่อน เขาเองคงจะทำการสะกดจิตสมบูรณ์ไปแล้ว แต่นั่นเองก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงไปหาที่มีต่อการวิจัยของเหล่านี้ได้ด้วยเช่นเดียวกัน เขาจึงเลือกวิธีการจัดการสายลับแทนซึ่งมีผลเสียน้อยที่สุด
“เอาเป็นว่าพวกคุณแค่ศึกษาพวกมันและพัฒนาเพื่อประเทศของเราก็พอ อย่าได้ไปสนใจที่มาของสิ่งเหล่นี้จะดีกว่า” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มที่เหี้ยมเกรียมก่อนที่จะพูดต่อว่า “อ้อ แล้วก็ผมหวังว่าในนี้จะมีใครสักคนที่พอจะศึกษาภาพร่างนี้ได้นะ”
เมื่อทุกคนได้ยินก็ได้หันไปมองภาพวาดที่ซูจิ้งว่า แต่ในตอนนั้นเองทุกคนต่างก็เกือบอุทานออกมาในทันที นั่นก็เพราะ ตรงหัวของกระดาษวาดแบบร่างนั้นมีตัวอักษรที่ขนาดใหญ่เล็กน้อย เขียนเอาไว้ว่า ระบบป้องกันดวงดาว